ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 19 เหล่าเทพจักรวาล

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 19 เหล่าเทพจักรวาล โดย Ink Stone_Fantasy

ณ ชายขอบของห้วงอากาศของแดนใน

“ฟิ้ว”

เดิมทีมารผลาญทำลายตนหนึ่งยังทะยานไปด้วยความเร็วสูง ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็พลันแปรเป็นลำแสงสีแดงโลหิตนับร้อยสายกระจายตัวออกแล้วมุ่งหน้าไป ส่วนใหญ่ยังคงเร่งเดินทางไปยังป้อมปราการอากาศ

“ทำลาย!” เสียงตะคอกเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสะท้อนก้องไปทั่วท้องฟ้า ทุกหนแห่งกลางอากาศล้วนแต่มีสายน้ำซัดสาด ปะทะเข้ากับลำแสงสีแดงโลหิตเหล่านั้นแล้วทำลายลำแสงสีแดงโลหิตเหล่านั้นลงไปอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นลำแสงแดงโลหิตก็ได้กระจายออกไปนับร้อยสายก่อนแล้ว นอกจากนี้ก็อยู่ห่างกันมากด้วย กระบวนท่าซึ่งกินวงกว้างนี้ก็ครอบคลุมทันแค่ลำแสงสีแดงโลหิตซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเพียงสิบกว่าสายเท่านั้น

“สมควรตาย” บุรุษอาภรณ์สีเงินผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศพลางขมวดคิ้ว “ฝูงมารผลาญทำลายนี้ไม่รับศึกเอาเสียเลย ถึงได้กระจายตัวหลบหนีไปตั้งนานแล้ว มีแต่ต้องทำลายลำแสงทั้งหมดให้สิ้นซากไปเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็จะมิอาจสังหารเขาได้เลย เมื่อสังหารเขาให้ตายไม่ได้ ก็มิอาจมั่นใจได้ว่าเขาพาสิ่งมีชีวิตระดับเทพจักรวาลเหล่านั้นมาด้วยหรือไม่!

สถานการณ์เดียวกันเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหน

ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ ร่างแปรของบรรดาผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนทั้งหลายมุ่งหน้าไปตามบริเวณต่างๆ ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างพวกประมุขตำหนักอลหม่านถึงขั้นส่งร่างแปรออกไปมิใช่เพียงร่างเดียว

ฝูงมารผลาญทำลายต่างก็เคลื่อนไหวเพียงลำพัง แม้พลังจะอ่อนแอ แต่ก็ได้แบ่งร่างออกเป็นลำแสงนับร้อยสายก่อนแล้ว จะโจมตีสังหารพวกมันให้สิ้นซากก็ยากมากทีเดียว

……

“ค้าง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน พลางมองดูลำแสงสีแดงโลหิตที่ทะยานอยู่ตรงหน้า เมื่อร่อนลงมาในโลกลวง ลำแสงสีแดงโลหิตเหล่านั้นก็ชะงักไป

เขตลวงนั้นพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ! มารผลาญทำลายกระจายตัวออกนับร้อยสาย แต่ขอเพียงลำแสงสายหนึ่งตกเข้าสู่เขตลวงก็เท่ากับตกเข้าสู่เขตลวงทั้งหมด แล้ววิญญาณก็จะดำดิ่งลงไป! พวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงทหารเลวที่ความเร็วค่อนข้างสูงซึ่งถูกเลือกมาเท่านั้นเอง แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่ง แต่โลกลวงที่สำแดงออกมากลับเพียงพอแล้ว

“นี่ไม่ใช่” เมื่อตกเข้ามาในเขตลวงอย่างสิ้นเชิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถเหนี่ยวนำให้วิญญาณของฝ่ายตรงข้ามพังทลายลงเองได้อย่างง่ายดาย ทำให้มารผลาญทำลายตนนี้ตายจากไป

……

“ตาย”

จักรพรรดิสิงหั่วกลับดีดเปลวเพลิงกองหนึ่งออกไปทันที เปลวเพลิงสีแดงสดกองนี้ปะทะเข้ากับลำแสงสายหนึ่งซึ่งกำลังหลบหนีไป ลำแสงสายนั้นสั่นสะท้านแล้วหยุดลงทันที ก่อนจะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นมารผลาญทำลายสีแดงโลหิตตนหนึ่ง มันร้องโหยหวนขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาทั้งคู่ของเขามีเปลวเพลิงแผดเผา แค่เพียงพริบตาเดียวก็ได้ตายจากไปแล้ว

……

เมื่อต้องรับมือกับลำแสงที่หลบหนีไปทั่วทุกทิศทุกทางพรรค์นี้…

ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ลำพังแค่อาศัยร่างแปรก็มีจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่สามารถรับมือพวกเขาได้ ยังมีเทพจักรวาลที่เคลื่อนไหวอย่างสุดกำลัง

ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นเจดีย์ดาวระดับชั้นที่หก เขตลวงที่ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้นั้นอ่อนแอเกินไป หากลงมือกับผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งพอในจำนวนนั้นกลับยากจะทำลาย ในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายที่ปลอมแปลงรูปร่างเหล่านั้นยังมีฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองอีกด้วย! ต่อให้เป็นพวกจักรพรรดิสิงหั่วหรือเจ้าลัทธิภาพจิต ลำพังอาศัยแค่ร่างแปรพวกเขาก็สังหารมิได้

ส่วนร่างจริงออกเคลื่อนไหวน่ะหรือ

เทพจักรวาลมีคำสั่งอันเข้มงวดออกมาก่อนแล้วว่า ร่างจริงของขั้นอลวนนั้นห้ามร่วมสงครามโดยเด็ดขาด! เพราะในบรรดาทหารเลวทั้งหลาย ก็มีกำลังหลักของฝูงมารผลาญทำลายแฝงตัวอยู่จริงๆ ซึ่งในกำลังหลักนั้นมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพจักรวาลอยู่ ซ้ำยังมิใช่เพียงคนเดียวอีกด้วย หากส่งร่างจริงออกไปก็เป็นไปได้มากว่าจะล่วงลับดับสิ้นไป

“พวกเราอับจนหนทางแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่กลางอากาศ ทหารเลวเหลือน้อยลงทุกทีๆ แต่กลับรับมือได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองไม่กี่สิบตนนั้น เนื่องจากแต่ละตนล้วนแบ่งร่างกายให้กระจายตัวออกแล้วหลบหนีไป ร่างจริงของเทพจักรวาลจะล้างทำลายพวกเขาให้สิ้นซากไปก็ยากนัก จะมีก็แต่ ‘บรรพชนทิพย์’ และ ‘ประมุขเหยากวง’ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีวิธีพอจะทำได้

“ตู้ม….”

แรงสั่นสะท้านอันน่าหวาดหวั่นแผ่รังสีมาทำให้ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านคราหนึ่งเขาหันขวับกลับไปมองทันที

ไกลออกไป

อสนีบาตสีดำสายหนึ่งแหวออกเป็นล้านล้านสาย รูปร่างเหี้ยมเกรียมอัปลักษณ์ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่น

“เป็นมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์ออกมาทันที

“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”

ไกลออกไปกำลังปะทะกัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงคลายใจลง เห็นได้ชัดว่าในที่สุดบรรดาเทพจักรวาลฝ่ายตนก็พบกำลังหลักของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายเข้าจนได้! แล้วเริ่มต่อสู้ซึ่งหน้า โดยทั่วไปแล้วกำลังหลักของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายล้วนแต่เป็นระดับเทพจักรวาลหลายคนทั้งสิ้น เนื่องจาหากมีเพียงแค่คนสองคน เกรงว่าคงจะถูกทางฝ่ายผู้บำเพ็ญร่วมมือกันสังหารไปแล้ว มีแต้ต้องหลายคนเท่านั้น…จึงจะสามารถร่วมมือต่อต้านทางฝ่ายผู้บำเพ็ญไว้ได้!

“แข็งแกร่งนัก”

คลื่นที่หลงเหลืออยู่ไกลออกไปทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง

ประกายกระบี่อันสะดุดตาสายหนึ่งแผ่คลุมไปทั่วบริเวณล้านล้านลี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงจำได้ว่า นั่นคือกระบี่สุดท้ายของสิบสามกระบี่ผลาญโลกา

เสียงคำรามอันสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้าทำเอาหัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปหมด เขามีความรู้สึกหนึ่งว่า…ต่อให้บัดนี้ตนภาคภูมิใจในการป้องกันของร่างกายนักหนา หากส่งร่างจริงไป ก็เกรงว่าคงจะต้องสิ้นใจตายในทันที! เสียงคำรามนี้นำความรู้สึกถูกคุกคามมาให้แก่เขามากกว่าสิบสามกระบี่ผลาญโลกเสียอีก!

“เตร๊ง…” เสียงดนตรีอันเสนาะหูดังก้องไปทั่วฟ้า

สัตว์ปีกขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังร้องคำรามเสียงแสบแก้วหู

โซ่สีดำซึ่งเป็นตัวแทนของความผิดบาปสายแล้วสายเล่าราวกับอสรพิษ…

“เทพจักรวาลสิบสองท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ในจำนวนนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นรองเพียงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หลายท่าน อย่างเช่นบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและบรรพชนโลกาอยู่ด้วย หากพวกเขาร่วมมือกันล้อมโจมตี เกรงว่าอานุภาพนี้คงจะแตกต่างกับสงครามที่ทำลายโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมในครั้งนั้นไม่มากเท่าใดนักหรอกกระมัง”

ความสามารถในการรักษาชีวิตของเขานับว่าไม่เลวนัก แต่คาดว่าก็คงมีเพียงเผชิญหน้ากับเทพจักรวาลระดับชั้นที่สามเท่านั้นที่พอจะใช้ได้บ้าง หากเผชิญหน้ากับพวกบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีด บรรพชนโลกาและประมุขเหยากวง เกรงว่าคงจะมีจุดจบคือถูกเข่นฆ่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายามนี้พวกเขากำลังร่วมมือกันต่อสู้เลย หากร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงไป เกรงว่าลูกหลงจากการต่อสู้ก็คงจะสามารถทำลายเขาได้แล้ว

……

ณ โถงตำหนักมหึมาในปราการอากาศ

ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิสิงหั่ว ประมุขตำหนักอลหม่าน เจ้าลัทธิภาพจิตและขั้นอลวนหลายร้อยคนล้วนอยู่ที่นี่ ต่อให้อยู่ภายในปราการอากาศ พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดหวั่นของการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป

“หากเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง ข้าก็ยังสามารถรับมือเทพจักรวาลที่ค่อนข้างอ่อนแอได้บ้าง” ประมุขตำหนักอลหม่านสัมผัสอยู่ห่างๆ เขาส่ายศีรษะพลางพูดว่า “ไม่เสียทีที่พวกบรรพชนทิพย์สามารถต้านทานจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ซึ่งหน้า อานุภาพของความเคลื่อนไหวนี้ เมื่อสัมผัสดูเล็กน้อยก็จะไม่มีจิตคิดช่วงชิงอีกแม้แต่น้อย”

“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพียงขั้นอลวนเท่านั้น” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว

“ถึงอย่างไรผู้ที่ตัดสินชะตาชีวิตของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือเหล่าเทพจักรวาลซึ่งยืนอยู่ในระดับสูงสุด” เจ้าลัทธิภาพจิตก็เอ่ยขึ้นบ้าง

แม้แต่ละคนจะกำลังพูดอยู่

แต่ในใจกลับปรารถนาว่าตนจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทพจักรวาลได้บ้างเช่นกัน

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่อันที่จริงกลับกำลังชมดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ โดยผ่านรูทรงกลมหมอกดำ เนื่องจากการต่อสู้รุนแรงเกินไป บริเวณใจกลางของการต่อสู้นั้นถูกทำให้บิดเบี้ยวจนมองไม่ชัดไปตั้งนานแล้ว  เขาทำได้เพียงสำรวจดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น ผู้ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในสนามรบก็คือ ‘บรรพชนทิพย์’ นั่นเองบรรพชนทิพย์แบ่งร่างออกมาเป็นร่างแปรที่น่าหวาดหวั่นถึงเก้าร่าง ส่วนพลังรบของร่างจริงของตนก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า เสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวแต่ละครั้งล้วนแต่สั่นสะท้านไปทั้งฟ้าดิน

บรรพชนโลกากลับตรงกันข้าม เขาร่างกายผอมเล็ก แต่ทุกครั้งที่ตะปบออกไปกลับนำเกราะเกล็ดและเลือดเนื้อทั้งหลายยัดตรงเข้าไปในปากแล้วกินลงไปจนหมด

ประมุขเหยากวงกลับต่อสู้แล้วงดงามที่สุด เขาดีดพิณอยู่ตรงนั้น เสียงพิณอันไพเราะดังก้องไปทั่วฟ้า…

เมื่อดูจากการต่อสู้แล้ว

ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญนั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง พวกเขากดดันฝูงมารผลาญทำลายอย่างสิ้นเชิงอยู่ฝ่ายเดียว ทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายมีสายฟ้าอันชั่วร้ายบุกสังหารออกมาเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็มีงูสายฟ้าบินลอดออกมาหมายจะกัดกินเทพจักรวาลทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ แต่ร่างแปรทั้งเก้าของบรรพชนทิพย์ ไม่ว่าร่างไหนก็น่าหวาดหวั่นจนสามารถจับงูสายฟ้ากินลงไปได้อย่างง่ายดาย

 ………………………………………….