ตอนที่ 20 การเข่นฆ่าของฝูงมาร (1) โดย Ink Stone_Fantasy
ภายในปราการอากาศ บรรดาขั้นอลวนทั้งหมดทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่ภายในโถงตำหนักมหึมาอย่างเงียบเชียบ พลางมองดูเงาอันเลือนรางที่ส่องสะท้อนลงบนกำแพงอันเรียบลื่นดุจกระจก เขาส่ายหน้าเบาๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามทำลายโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมหรือว่าสงครามอีกหลายครั้งที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก่อขึ้น หรืออย่างเช่นการสกัดกั้นฝูงมารผลาญทำลายในครั้งนี้…ผู้ตัดสินสงครามก็คือเทพจักรวาลอยู่วันยังค่ำ ขั้นอลวนอย่างพวกเขานี้ทำได้เพียงมองดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น
ราชันย์มีดหรือบรรพชนทิพย์คนใดคนหนึ่งก็ล้วนสามารถสังหารขั้นอลวนอย่างพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยพลังของตัวคนเดียว
นี่ก็คือความแตกต่างจากแก่นแท้
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิสิงหั่ว เจ้าลัทธิภาพจิตและขั้นอลวนทั้งหมดหลายร้อยคนมองไปพร้อมกัน ภายในโถงตำหนักมีชายชราหลังค่อมผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือบรรพชนเทียนอวี๋นั่นเอง
สายตาของบรรพชนเทียนอวี๋ปราดมองขั้นอลวนทุกผู้ในที่นั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นบ้างก็ตัวตาย บ้างก็หนีกลับไปแล้ว บัดนี้ภายในแดนในไม่มีฝูงมารผลาญทำลายหน้าไหนอยู่อีกแล้ว วิกฤตครั้งนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว”
“ฮ่า”
“ก็รู้อยู่แล้ว”
“ฝูงมารผลาญทำลายพวกนั้นจะดิ้นรนอย่างไรก็เป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้น”
จากนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังสนั่นไปทั่ว
บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นเงาร่างก็ค่อยๆ เลือนรางแล้วสลายหายไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทั้งหมด แต่กลับผ่อนคลายลงได้ยากนัก
“ตงป๋อ ไป ไปดื่มสุรากันสักหลายจอก” จักรพรรดิสิงหั่วเดินมาพลางพูดยิ้มๆ “จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีก กำลังคิดอะไรอยู่รึ”
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ มา ดื่มสุรากันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมาทันที เพียงแต่ในใจกลับลอบทอดถอนใจอยู่ตลอดเวลา…
โจมตีหรือ เป็นฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายที่เริ่มโจมตีก่อน
ถอยหรือ ฝูงมารผลาญทำลายก็เป็นฝ่ายถอยก่อนเช่นกัน
……
ภายในโถงตำหนักอันเงียบสงบอีกแห่งหนึ่งของปราการอากาศ เทพจักรวาลสิบสองท่านต่างคนต่างนั่งลง สีหน้าของพวกเขาไม่น่ามองสักเท่าใดนัก
“เจ้าคนที่เรียกตนเองว่า ‘จักรพรรดิจวิน’ พลังก็แตกต่างกับข้าไม่มากสักเท่าใดนัก” ราชันย์มีดนั่งอยู่ตรงนั้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“ฝูงมารผลาญทำลายมีการรักษาชีวิตที่ร้ายกาจโดยกำเนิดอยู่แล้ว เมื่อฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลเหล่านี้ร่วมมือกันขึ้นมา แม้พลังจะยังห่างชั้นกับข้าลิบลับ แต่พวกเราห้ำหั่นมากว่าสองชั่วยามแล้ว ก็ยังฆ่าให้ตายไม่ได้แม้แต่คนเดียว” บรรพชนคีรีมารถอนหายใจเสียงต่ำพูดว่า “พวกเราสังหารพวกเขามิได้ เมื่อเวลาผ่านไป ในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายก็จะมีเทพจักรวาลถือกำเนิดขึ้นมามากขึ้น ครั้งนี้ยังมีผู้ที่มีนามว่าจักรพรรดิจวิน ซึ่งพลังบรรลุถึงเทพจักรวาลระดับขั้นที่สองแล้ว สถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นทุกทีๆ แล้ว”
“อื้ม”
“สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ”
ทุกคนในที่นั้นล้วนเป็นเทพจักรวาลผู้ตัดสินชะตาชีวิตของทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่ยามนี้กลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
ฆ่าหรือ
ฆ่าไม่ตายหรอก!
ฝูงมารผลาญทำลายยังแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด แม้จะกล่าวว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็จะมีผู้แกร่งกล้าถือกำเนิดขึ้นมาจำนวนมากขึ้น แต่ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็ให้กำเนิดผู้แกร่งกล้าขึ้นมาเป็นปกติมากอยู่แล้ว ส่วนทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลาย…เมื่อรังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวันเข้า จำนวนของฝูงมารผลาญทำลายที่พวกเขาให้กำเนิดก็เพิ่มทวีขึ้นอย่างพรวดพราด ฝูงมารผลาญทำลายก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน จนใกล้เคียงกับทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ หรือแม้กระทั่งเหนือกว่า!
มองเห็นทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงพอจะทำอะไรได้
“ยังเร็วนัก พวกเขาคิดจะเติบโตจนมีพลังเทียบเท่ากับพวกเราได้ก็ต้องใช้เวลายาวนานนัก” บรรพชนทิพย์พูดเสียงเรียบ “ระหว่างเวลานี้ พวกเราก็จะพยายามทำให้การยกระดับพลังของฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายช้าลงอย่างสุดกำลัง ขอเพียงให้เวลาพวกเรามากพอ ปาฏิหาริย์ทั้งหมดก็สามารถเกิดขึ้นได้ ต่อให้การดิ้นรนในตอนสุดท้ายล้มเหลวไปหมด อย่างมากก็ดับสลายไปตามการทำลายล้างครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านก็เท่านั้นเอง”
“ฮ่าฮ่า อย่างมากก็แค่การล้างทำลายสักยกหนึ่งเท่านั้นเอง”
“เวลายังมีเหลือเฟือ
การบำเพ็ญบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้ ทุกคนก็สามารถทนรับทุกสิ่งได้โดยสงบเป็นธรรมดา
“ฝูงมารผลาญทำลายนี้โจมตีป้อมปราการอากาศมาหลายครั้งแล้ว” บรรพชนโลกาลูบคางเล็กแหลมของตนพลางพึมพำว่า “แต่กระนั้นทุกครั้งพวกเขาก็มิได้ทุ่มเทสุดกำลังอย่างแท้จริง”
“ใช่”
“ถูกต้อง พวกเขามิได้ทุ่มเทจนสุดกำลัง”
“อย่างผู้ที่มีนามว่าจักรพรรดิจวินคนนั้น ตอนเริ่มแรกก็มิได้ลงมือเลย ในช่วงท้ายสุดจึงค่อยลงมือ”
“จำนวนของฝูงมารผลาญทำลายที่อ่อนแอที่พวกเขาส่งไปตายนั้นก็ไม่นับว่ามากมายนัก หากทุ่มเทสุดกำลังจริง ก็สามารถส่งฝูงมารผลาญทำลายออกไปมากกว่านี้สับสิบเท่าหรือมากกว่านั้นได้อีกเพื่อทำให้พวกเราสับสน ความยากในการหากำลังหลักให้พบก็จะพุ่งสูงขึ้นเป็นอันมาก พวกเขาก็จะสามารถไปถึงป้อมปราการอากาศได้สบายขึ้น”
แต่ละคนในที่นั้นล้วนเห็นด้วย ทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายมิได้ทุ่มเทสุดกำลัง
บรรพชนโลกาพูดต่อไปว่า “มิได้ทุ่มสุดกำลังแต่กลับโจมตีป้อมปราการอากาศตั้งหลายครั้ง เพื่ออะไรกันหรือ ข้าคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่าพวกเขามาเพื่อสำรวจข้อเท็จจริงของป้อมปราการอากาศ แต่ทุกครั้งจะมาเพื่อสำรวจป้อมปราการอากาศเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ นอกจากนี้ในอากาศอันสับสนอลหม่านและโลกทิพย์ทั้งห้า ก็ได้มีการพบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายที่กบดานอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีฝูงมารผลาญทำลายทะลุผ่านป้อมปราการอากาศและมุ่งหน้าตรงมายังโลกทิพย์ทั้งห้าได้แล้ว ผ่านป้อมปราการอากาศมาได้อย่างไรน่ะหรือ ข้าเดาว่าอาจจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาโจมตีป้อมปราการอากาศนั่นเอง”
“ข้าก็สงสัยเช่นกัน” บรรพชนทิพย์เอ่ย “แต่ข้าตรวจสอบป้อมปราการอากาศมาตั้งหลายครั้ง และเสริมความแข็งแกร่งหลายครั้งแล้วด้วยเช่นกัน จวบจนบัดนี้ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวที่พวกเขาทะลุผ่านมาเลย”
“หรือว่าในหมู่ฝูงมารผลาญทำลายก็มีผู้ที่สามารถส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้เช่นกัน” บรรพชนกู่พูดเสียงแผ่ว
“เป็นไปไม่ได้”
“หากมีการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ก็ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับพวกเราเช่นนี้เลย คงจะบุกมายังโลกทิพย์ทั้งห้าตั้งนานแล้ว”
“ใช่ พวกเขาน่าจะมีวิธีพิเศษบางอย่างที่ทำให้สามารถทะลุผ่านป้อมปราการอากาศมาได้”
พวกเขาก็กำลังครุ่นคิด
******
จิตใจของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญค่อนข้างย่ำแย่ พวกเขาสงสัยตั้งนานแล้วว่าทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายโจมตีป้อมปราการอากาศ ‘มีปัญหา’ ส่วนในทางเดินโลกาพิศวง
“ฮ่าฮ่า…”
‘อ๋อง’ ทั้งห้าอยู่ในวังอันหรูหรางดงามแห่งหนึ่ง พลางดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ผู้ที่นั่งอยู่กลางสุดก็คือบุรุษร่างผอมซูบผู้มีหางเกราะเกล็ดยาวเหยียด หางของเขาแบ่งออกเป็นข้อๆ หางนั้นล้อมรอบที่นั่งของตนถึงสองรอบ เขาก็คือ ‘จักรพรรดิจวิน’ ผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายในตอนนี้
“บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านั้นยังลงมือกับพวกเราอย่างโง่งม ไม่รู้เสียเลยว่าตอนที่ฝ่ามือหนึ่งของข้าปะทะลงบนป้อมปราการอากาศนั้น ก็ได้ส่งอ๋องเข้าไปถึงสามคนแล้ว”
“พรสวรรค์ไร้เงาร้ายกาจมากอย่างแท้จริง”
“ฝ่ามือนี้ของข้าส่งผลกระทบไปถึงแม่ทัพโม่กู่ แม่ทัพโม่กู่มิได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย”
พวกเขาก็กำลังชื่นชมบางคนถึงขั้นอิจฉาเสียด้วยซ้ำไป
พรสวรรค์ ‘ไร้เงา’ นั้นเป็นขั้นสุดของหลักการกลายเป็นอากาศธาตุ แทบจะสามารถทะลุผ่านข้อห้าม ป้อมปราการและการปิดผนึกทั้งมวลได้ การโจมตีของผู้อื่นก็ยากที่จะทำร้ายพวกเขาได้แม้แต่ปลายผมเช่นกัน เมื่อกลายเป็นอากาศธาตุแล้วก็ถึงขั้นมองไม่เห็นเลยทีเดียว
“คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้พี่ใหญ่จักรพรรดิจวินก็จะกลับมาแล้วเช่นกัน”
“ฮ่าฮ่า เมื่อมีพี่ใหญ่จักรพรรดิจวินอยู่ พวกเราก็จะรับมือผู้บำเพ็ญเหล่านั้นได้สบายขึ้น”
หางยาวเหยียดของจักรพรรดิจวินซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นรายล้อมที่นั่งเอาไว้กำลังขยับไหวเล็กน้อย เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ครั้งนี้อ๋องอีกสามท่านก็ออกไปด้วยเช่นกัน ‘อ๋อง’ ทั้งหมดล้วนเคยออกไปแล้ว พวกเราไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำสงครามอีกเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ทุกคนสงบขจิตสงบใจบำเพ็ญให้ดีๆ เถิด และต้องมีใจอดทน ค่อยๆ สั่งสมพละกำลังของฝูงมารผลาญทำลายเราด้วย”
“อื้ม” อีกสี่คนในที่นั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
……
วันคืนต่อจากนั้นเหมือนที่แล้วมา จิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงส่วนใหญ่ก็มุ่งไปที่การบำเพ็ญและตามหารังระดับเกราะทองแห่งใหม่ในทางเดินโลกาพิศวง บางครั้งก็ต่อสู้ในแดนในบ้าง
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามร้อยล้านปีแล้ว
ณ ดินแดนที่ค่อนข้างไกลโพ้นแห่งหนึ่งของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา มีคูเมืองอันรุ่งเรืองอยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่คือดินแดนของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ‘ประมุขวังอวี้เฉี่ยน’ นั่นเอง ประมุขวังอวี้เฉี่ยนบุกเบิกลัทธิอยู่ที่นี่ และถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์ และยังได้สร้างคูเมืองอันใหญ่โตเพื่อปกป้องผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ ประมุขวังอวี้เฉี่ยนก็เป็นบรรพชนของทางฝ่ายหนึ่ง รัฐจำนวนไม่น้อยมาสวามิภักดิ์ต่อนาง ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นในจำนวนนั้นจึงมีคุณสมบัติพอจะเข้าร่วมในสำนักของนางได้
“ท่านประมุขวัง”
“ท่านประมุขวัง”
ภายในวัง เหล่าคนที่ประตูมองเห็นประมุขวังอวี้เฉี่ยนเข้าก็พากันเคารพนบนอบ
ประมุขวังอวี้เฉี่ยนสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ทั้งร่าง นางเดินเท้าเปล่าเปลือยไปทั่ววัง หว่างคิ้วของนางแฝงแววกังวลสายหนึ่งเอาไว้ เดิมทีนางเก็บตัวอยู่ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น” ประมุขวังอวี้เฉี่ยนยืนอยู่หน้าราวลูกกรงบนชั้นสูงของวัง พลางเหลือบมองลงไปยังคูเมืองอันกว้างใหญ่เบื้องล่าง
แต่ในยามนี้เอง
กลางท้องฟ้าไกลออกไปกลับมีเงาร่างอยู่ถึงหกสาย นำโดยคนอาภรณ์สีทองผู้หนึ่ง นัยน์ตาสามเหลี่ยมเหลือบมองลงไปยังรัฐเบื้องล่าง ใบหน้าฉายแววเหี้ยมเกรียม
“จับตัวประมุขวังอวี้เฉี่ยนมาให้ข้าทั้งเป็น ข้าจะกลืนกินนางลงไปด้วยตัวเอง” บุรุษร่างผอมซูบในอาภรณ์สีทองพูดเสียงเย็นชา “ยังมีผู้บำเพ็ญทั้งหมดทั่วทั้งคูเมืองด้วย ข้าจะกินลงไปให้หมด”
“ขอรับ ขอรับแม่ทัพโม่กู่” ผู้ใต้บังคับบัญชาด้านหลังทั้งห้าคนต่างก็รับคำ
บุรุษร่างผอมซูบในอาภรณ์สีทองเผยรอยยิ้มตื่นเต้นและรอคอยออกมา เขาก็คือแม่ทัพโม่กู่ผู้มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ ส่วนบรรดา ‘อ๋อง’ อีกสามท่านต่างก็กระจายตัวออกไป ต่างคนต่างเก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริงแล้วท่องไปในโลกของผู้บำเพ็ญ ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้านี้…ต่างก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง มีสองคนที่พลังรบบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้า ส่วนอีกสามคนที่เหลือมีพลังชั้นที่แปดระดับยอด
ทั้งห้าคนนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะถูกพามาพร้อมกันในตอนนั้น! ภารกิจของพวกเขาทั้งห้า ก็คือปกป้อง ‘แม่ทัพโม่กู่’ ให้ดี
“นานแสนนาน นานแสนนานแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่ยอมให้ข้ากิน ครั้งนี้จะต้องกินให้อิ่มหนำสำราญกันเลยทีเดียว” บุรุษร่างผอมซูบในอาภรณ์สีทองแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก
………………………………..