ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 21 การเข่นฆ่าของฝูงมาร (2)

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 21 การเข่นฆ่าของฝูงมาร (2) โดย Ink Stone_Fantasy

ในด้านจิตใจ เกรงว่าแม่ทัพโม่กู่ที่ยังเยาว์วัยเป็นอย่างยิ่งจะเป็นผู้ที่ย่ำแย่ที่สุดในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายที่มายังมหาโลกทิพย์ทั้งห้า เพราะผู้อื่นที่ถูกพามาล้วนมีพลังในการควบคุมตนเองอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด หากไม่นับเคล็ดวิชา ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ อันล้ำเลิศของเขา ความจริงแล้วตอนนี้แม่ทัพโม่กู่ก็นับได้ว่ามีพลังยุทธ์เพียงแค่ระดับ ‘ชั้นที่เจ็ดขั้นสุดยอด’ เท่านั้น เขาก็ยังได้รับผลกระทบจากความกระหายในการทำลายล้างอยู่เป็นประจำ

ก่อนหน้านี้อยากจะสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ล้วนถูกลูกน้องห้าคนที่อยู่รอบๆ ปรามเอาไว้ ต่างก็พูดว่า “พวกเราต้องระมัดระวัง ต้องฆ่าความปรารถนาจะสังหารในใจให้ได้ ในเวลาปกติจะต้องเก็บงำเอาไว้บ้าง อย่าได้เปิดเผยร่องรอย ถ้าหากไปยุแหย่เทพจักรวาลของทางฝั่งผู้บำเพ็ญเข้า เช่นนั้นก็คงวุ่นวายใหญ่โตเสียแล้ว”

ถึงอย่างไรก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทอง ต่อให้จิตใจของเขาย่ำแย่กว่านี้ ก็ยังมีพลังควบคุมตนเองอยู่บ้าง จึงอดทนมาได้ตลอดจนถึงตอนนี้

“เตรียมตัวให้ดี”

“ลงมือ”

ประมุขวังอวี้เฉี่ยนผู้ถูกเลือกเป็นเป้าหมาย พลังยุทธ์ของตนเป็นเพียงแค่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนชั้นที่เจ็ดขั้นสุดยอดเท่านั้น เผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทองที่น่าหวาดหวั่นห้าตน ก็ย่อมไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

“ปัง” สีหน้าของประมุขวังอวี้เฉี่ยนที่ยืนอยู่หน้าราวระเบียงแปรเปลี่ยนในทันที พอหันหน้าไปมองก็เห็นเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มมาทางนางในทันใด ภายใต้ความนึกคิดหนึ่งของนางก็มีลำแสงสีเขียวพรั่งพรูออกมา แต่กลับถูกเส้นสายเหล่านั้นตัดขาดอย่างง่ายดาย เส้นสายฝืนแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายของนาง ผนึกเอาพลังยุทธ์ของนางเอาไว้ นี่ทำให้ประมุขวังอวี้เฉี่ยนหัวใจสั่นสะท้าน

การประจันหน้าคราหนึ่งก็จับเป็นนางได้แล้วอย่างนั้นหรือ หรือว่านี่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว

“ท่านแม่ทัพ” คนชุดดำห้าคนยืนทักทายอย่างเคารพอยู่ด้านข้าง

แม่ทัพโม่กู่ บุรุษผอมเกร็งในอาภรณ์สีทองเดินมาพลางมองประมุขวังอวี้เฉี่ยนด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

“เจ้าเป็นใครกัน” ประมุขวังอวี้เฉี่ยนพูด

“ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า… คนที่จะมากินเจ้าให้เรียบน่ะสิ” แม่ทัพโม่กู่ยื่นมือออกไปบีบลำคอขาวผ่องของประมุขวังอวี้เฉี่ยนเอาไว้จนร่างของนางยกลอยขึ้นมา ทันใดนั้นลิ้นก็แลบออกมาจากปาก เพียงชั่วครู่ลิ้นของเขาก็พุ่งออกไปไกลหลายเมตรแล้วตวัดรัดประมุขวังอวี้เฉี่ยนเอาไว้ พรึ่บ ก็ตวัดเอาประมุขวังอวี้เฉี่ยนกลืนลงท้องไป

แม่ทัพโม่กู่ในอาภรณ์ทองตื่นเต้นจนสั่นสะท้านอยู่บ้าง

นี่คือครั้งแรกที่เขาสังหารผู้บำเพ็ญขั้นอลวนคนหนึ่งจนตาย ความกระหายในการทำลายล้างอันเต็มเปี่ยมและความอิ่มเอมในดวงวิญญาณทำให้เขาจ่อมจม

“ขวับ”

แม่ทัพโม่กู่ในอาภรณ์ทองอ้าปากกว้าง ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันน่าหวาดกลัวก็แผ่ปกคลุมทั่วทั้งคูเมือง ภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ในหอสุราหรือโรงเตี๊ยม หรือว่าลานบ้านภายในที่พักอาศัย ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนแต่ละคนต่างก็เหินลอยขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้

ทั่วทั้งคูเมืองมีอาณาเขตถึงสิบล้านลี้ ผู้บำเพ็ญที่อาศัยอยู่ภายในก็มีอยู่ราวๆ ล้านล้านคน ทว่าสำหรับสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนแล้วการที่กระบวนท่าหนึ่งปกคลุมไปหลายล้านลี้ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อยๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนชุดดำทั้งห้าเบื้องหลังแม่ทัพโม่กู่… ระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดสองคน กับระดับชั้นที่แปดขั้นสุดยอดสามคน ภายใต้ความนึกคิดเดียวก็สามารถควบคุมทั้งคูเมืองเอาไว้ได้แล้ว

“อ๊ะ”

“นี่มันอะไรกัน”

“ไม่นะ”

บรรดาศิษย์ในสำนักจำนวนมากมายภายในวังเทพแห่งนี้แต่ละคนต่างก็ลอยคว้างอย่างมิอาจควบคุมได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังลอยไปทางแม่ทัพโม่กู่ในอาภรณ์ทอง ร่างกายก็หดเล็กลงอย่างฉับพลัน แต่ละคนล้วนถูกเขากลืนกินลงไปในท้อง! แม้กระทั่งคนชุดดำทั้งห้าที่อยู่ด้านข้างก็ลอบสำแดงวิชาเช่นกัน ทำให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งบางคนที่สามารถต้านทานการกลืนกินได้จากที่ไกลๆ เหล่านั้นถูกส่งเข้าไปในปากของแม่ทัพบ้านตนด้วยการควบคุมความยับยั้งชั่งใจ

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือแกร่งกล้า ก็ล้วนถูกกลืนลงไปในท้องจนหมดสิ้น

ภายใต้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ ของพวกเขาทั้งห้า และภายใต้พลังยุทธ์ของตัวแม่ทัพโม่กู่เอง สิ่งมีชีวิตราวล้านล้านชีวิตภายในคูเมืองปห่งนี้ล้วนถูกกลืนกินลงไปจนสิ้น สองตาอันตื่นเต้นของแม่ทัพโม่กู่ล้วนแดงก่ำ กินผู้บำเพ็ญไปมากมายเช่นนี้ สำหรับฝูงมารผลาญทำลายคนหนึ่งแล้วช่างสุขสันต์ยิ่งนัก ทันใดนั้นเขาก็ชมชอบรสชาติเช่นนี้เสียแล้ว

******

ทางเดินโลกาพิศวง

ร่างแปรหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิกำลังสำรวจต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศภายในพื้นที่รังระดับเกราะทอง ส่วนร่างแปรอีกร่างหนึ่งก็เดินทางอยู่ภายในทางเดินโลกาพิศวง ทำการค้นหาต่อไป

“หืม”

ด้วยความที่เป็นผู้บำเพ็ญที่ได้รับการคัดเลือกล่วงหน้า ในอนาคตจะต้องไปเสาะหาฝูงมารผลาญทำลายที่แฝงตัวเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าเหล่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับข้อมูลอยู่เป็นประจำ  จึงได้ค้นพบข้อมูลของฝูงมารผลาญทำลายที่แฝงตัวอยู่เหล่านั้นแล้ว

“อะไรกันนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเสียแล้ว

ประมุขวังอวี้เฉี่ยนกับผู้บำเพ็ญห้าล้านสามแสนล้านชีวิตทั้งเมืองอวี้เฉี่ยน…

ถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้นแล้ว!

แน่นอนว่าฆาตกรก็คือฝูงมารผลาญทำลาย!

“ผู้บำเพ็ญห้าล้านสามแสนล้านชีวิตอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากจะเชื่อ แม้กระทั่งที่มหาโลกทิพย์ทั้งห้า เมืองที่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญมากมายเช่นนี้ได้ก็เป็นเมืองขนาดใหญ่แล้ว นี่คือที่มั่นของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่ง แม้กระทั่งตัว ‘ประมุขวังอวี้เฉี่ยน’ เองก็ถูกกลืนกินไปเช่นกันแล้วหรือ

“สมควรตาย สมควรตาย” แววสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิงเยียบเย็นยิ่ง

ต่างก็พูดว่าฝูงมารผลาญทำลายมีชีวิตขึ้นมาก็เพื่อการผลาญทำลาย

เป็นเพราะถูกขัดขวางเอาไว้ที่ชายขอบของห้วงอากาศ การรับสัมผัสก็มิได้เข้มข้นมากนัก แต่ว่าขนาดของการกลืนกินในครั้งนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น

“นี่คือกฎเกณฑ์สูงสุดกระมัง กฎเกณฑ์สูงสุดก็คือบ่มเพาะฝูงมารผลาญทำลายที่ร้ายกาจระดับนี้ออกมาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม “หรืออาจจะพูดได้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์สูงสุด พวกเราก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง”

“สมควรตายนัก”

……

ณ ป้อมห้วงอากาศ เทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าล้วนเป็นร่างแปรด้วยกันทั้งสิ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับข้อมูลเช่นกัน เหล่าเทพจักรวาลทุกคนย่อมได้รับข่าวอยู่แล้ว

“ถึงกับกลืนกินมากมายขนาดนี้ในคราวเดียว ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามาสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าช่างบ้าคลั่งเสียจริง”

“อวี้เฉี่ยนนาง…” ประมุขเหยากวงถอนหายใจเบาๆ หว่างคิ้วมีรอยขมวดมุ่น นางจำแม่นางน้อยผู้ที่ตนเคยชี้แนะในยามที่นางท่องไปในโลกทิพย์ในตอนนั้นได้ ภายหลังแม่นางน้อยผู้นั้นก็พัฒนาจนกลายเป็นขั้นอลวนคนหนึ่ง นางก็พลอยยินดีเบิกบานใจไปด้วย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะพบจุดจบเช่นนี้ได้

ประมุขเหยากวงมองไปทางบรรพชนเทียนอวี๋ “เทียนอวี๋ เจ้าบอกว่าเคล็ดวิชาของตัวตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นค่อนข้างร้ายกาจ สามารถต่อกรกับภยันตรายได้ ทั้งยังมีการหนีเอาชีวิตรอดผ่านการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ด้วย เมื่อใดเขาจึงจะสามารถไปติดตามฝูงมารผลาญทำลายฝูงนี้ได้กันเล่า”

“ถึงอย่างไรวันเวลาที่เขาได้เป็นขั้นอลวนก็ยังสั้นนัก ทั้งยังไม่รู้เลยว่าเขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงไปถึงระดับขั้นใดแล้ว ข้าเองก็มิได้ติดตามถามไถ่อีกด้วย” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เช่นนี้ก็แล้วกัน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปลองถามเขาดู ถ้าหากเขาประสบความสำเร็จในการบำเพ็ญอย่างยิ่งใหญ่แล้วก็ให้เขาเคลื่อนไหวได้เลย ใช่แล้ว บรรพชนทิพย์ เขารับผิดชอบการติดตาม… มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไปพบกับเทพจักรวาลในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายเข้า ของกำนัลที่พวกเราคุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้เล่า”

“ของกำนัลคุ้มกันชีพที่ควรเตรียมเอาไว้ให้กับเขา ข้าได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ” บรรพชนทิพย์พยักหน้า

ทันใดนั้น

บรรพชนเทียนอวี๋ประหลาดใจเล็กน้อย ถึงขนาดที่เผยสีหน้าตื่นเต้น กระทั่งโบกมือคราหนึ่งด้วย

พรึ่บ

ด้านข้างมีร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์ขาวเนื้อหนาปรากฏขึ้น บรรพชนเทียนอวี๋ประจำตำแหน่งเป็นหนึ่งในสามเทพจักรวาลของป้อมห้วงอากาศ เป็นร่างจริงที่นั่งอยู่ ทั้งยังสามารถควบคุมพลานุภาพทั้งหมดของป้อมห้วงอากาศ ก็ย่อมเคลื่อนย้ายร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงมายังที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย

“เป็นอะไรไปหรือ”

“เทียนอวี๋”

คนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็ประหลาดใจและฉงนสงสัยอยู่บ้าง

“ตงป๋อเขาสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเป็นครั้งคราว ส่งร่างแปรเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวง สถานที่ที่ถูกส่งไปก็คือรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่ง” บรรพชนเทียนอวี๋ถ่ายเสียงพูดโดยตรงด้วยไม่กล้าปล่อยให้เวลาเนิ่นช้า

“อะไรนะ!”

“รังระดับเกราะทองอย่างนั้นหรือ”

ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึง พวกบรรพชนทิพย์ล้วนประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เร็วเข้า เปิดทางเดินเร็วเข้าสิ! ”บรรพชนทิพย์เองก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง แววตาคมกริบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ขอรับ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่กล้าชักช้า ยื่นมือชี้นิ้วออกไปไกลเบื้องหน้าในทันใด โครม… ห้วงอากาศตรงหน้าบิดเบี้ยวอย่างฉับพลัน แล้วสามารถมองเห็นอีกฝั่งได้อย่างรางๆ

“ข้าไปก่อนล่ะนะ” ประมุขเหยากวงพูดขึ้นทันที นางก็เป็นหนึ่งในสามเทพจักรวาลประจำป้อมห้วงอากาศเช่นกัน ทั้งยังเป็นเทพจักรวาลระดับที่สองเพียงหนึ่งเดียวในสามคน

พรึ่บ

มิติด้านข้างแปรเปลี่ยนเป็นมายา ร่างจริงของบรรพชนห้วงอากาศในอาภรณ์สีเขียวก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน “ข้าเข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

มีบรรพชนห้วงอากาศผู้เชี่ยวชาญด้านห้วงอากาศเป็นที่สุดเข้าไปพร้อมกัน พวกเขาสองคนร่วมมือกันก็สามารถรับมือกับเหล่าอ๋องทั้งหมดของฝูงมารผลาญทำลายได้อย่างไร้ซึ่งความกลัว

“ไปกันเถิด”

ประมุขเหยากวงและบรรพชนห้วงอากาศเหยียบย่างบนทางเดินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเปิดไว้แล้วเดินก้าวยาวๆ เข้าไปด้านใน

……………………………………………..