ตอนที่ 34 ทหารแต่กำเนิดตลอดกาล (1) โดย Ink Stone_Fantasy
“ฟังข้านะ วิชาไร้ลักษณ์ของเราคือหนึ่งในวิชาบำเพ็ญเซียนร่างและจิตชั้นนำที่สุดวิชาหนึ่ง มันสูงส่งกว่าวิชาอื่นๆ…”
“เลิกพล่ามเถอะ หากมันห่วยด้านการโจมตีก็บอกมาว่ามันห่วยด้านการโจมตี ยังไงเสีย ท่านก็เป็นได้แค่ตัวตลกอยู่ดี”
“…ไม่มีวิชาใดในโลกที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าวิชาไร้ลักษณ์นั้นไร้ความสามารถด้านการโจมตีเพราะมันโดดเด่นด้านการตั้งรับเป็นที่สุด ทว่าหากอยู่ในสถานการณ์ที่จำเพาะ การเอาตัวรอดเพียงลำพังเป็นเรื่องไม่สมควร ดังนั้นจริงๆ แล้วมันจึงมีวิธีในการโจมตีอยู่”
“ใช่ ข้ารู้ ด้วยลิ้นของท่านไง หลังจากที่ดูถูกฝ่ายตรงข้ามด้วยคำพูดที่ร้ายกาจที่สุดของท่าน เจ้าก็เรียกใช้การตั้งรับกระดองเต่าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรท่านได้ อีกฝ่ายก็จะรู้สึกย่ำแย่ยิ่งกว่าตายเสียอีก นี่คือการผสมผสานกันที่หลักแหลมที่สุดในโลกเลยละ”
“…หากเจ้าไม่อยากเรียน งั้นก็ตามใจ ข้าจะกลับไปนอนละ”
“ข้าบอกเมื่อไรกัน ในเมื่อท่านขอร้องให้ข้าเรียน เช่นนั้นข้าจะน้อมรับวิชาของท่านสักหน่อยก็ได้!”
“…”
คำพูดเหล่านี้เกิดขึ้นที่ยอดเขาไร้ลักษณ์เมื่อสองวันก่อน หลังจากนั้นหวังอู่ก็สอนเพลงกระบี่ที่นางถือว่าเป็นไพ่แห่งชัยชนะให้กับผู้เป็นศิษย์
“วิชาไร้ลักษณ์ไร้ความสามารถในการปล่อยพลังโจมตีและการปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ ดังนั้นหากเจ้าต้องการให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ ทางเดียวที่เป็นไปได้คือใช้พลังของพวกเขาเอง… แต่มันไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เพราะไม่มีใคร่โง่พอที่จะยืนดูเฉยๆ ให้เจ้าโยกพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกเขากลับไปเล่นงานตัวเอง ทว่าหากเจ้าใช้หลักการสะท้อนกลับมันก็ไม่ยากนัก ทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บ 800 ในขณะที่ตัวเองบาดเจ็บ 1,000”
หลังจากอธิบายหลักการเรียบร้อย หวังอู่ก็สาธิตวิชากระบี่สะท้อนกลับด้วยตัวเอง เมื่อพลังการโจมตีของอีกฝ่ายเข้าปะทะร่าง ก็ใช้กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์เป็นแกนในการสะท้อนพลังกลับและใช้วิชากระบี่ไร้ลักษณ์ส่งผ่านการสะท้อนนั้นออกไป แม้ตอนแรกการกระตุ้นให้เกิดการสะท้อนกลับภายในร่างจะทำให้บุคคลนั้นบาดเจ็บ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะย้อนพลังเกือบทั้งหมดกลับไปยังเจ้าของเดิมและทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ มันคือการทำให้ศัตรูบาดเจ็บ 800 ในขณะที่ตัวเองบาดเจ็บ 1000 แม้จะฟังดูบ้าบิ่นและเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นวิทยายุทธ์ชั้นครู
เพราะเน้นที่การตั้งรับและเอาตัวรอด วิชาไร้ลักษณ์ซึ่งโดยพื้นฐานเป็นวิชาประเภทที่ขายเลือดเพื่อให้มีชีวิตรอดจึงไม่เคยกังวลต่อกระบวนท่าที่ต้อง ‘แลกด้วยเลือด’ เช่นนี้ เป็นไปได้ว่ายิ่งเลือดออกเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้นด้วยซ้ำ และดูเหมือนว่า ‘โล่กายเนื้อ’ ของเขาจะบรรลุถึงขั้นโล่หนามไปแล้ว จากนี้ไปมีเพียงท้องฟ้าเท่านั้นที่จะขวางกั้นเขาได้!
“อาจารย์ อาจารย์ เพลงกระบี่ที่เอาแต่ใจและคุกคามนี้มีชื่อว่าอะไร”
ผู้เป็นอาจารย์ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง “วิชากระบี่ไร้นาม”
“…”
“โธ่เอ๊ย ไอ้เรื่องไร้ความสามารถด้านตั้งชื่อน่ะมันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักกระบี่วิญญาณเรา อย่ามองข้าเหมือนข้าเป็นพวกไร้หนังสือเชียว มันแค่… เจ้าก็เห็น เขากระบี่วิญญาณมียอดเขาสิบสองยอด ยอดเขาประกายดาว ยอดเขาไร้ลักษณ์ ยอดเขากระจ่างและเทือกๆ นั้น ยอดเขาหลักๆ ของเขากระบี่วิญญาณเคยเป็นที่อยู่ของเจ้าสำนักคนก่อนๆ มาก่อน แล้วในตอนนั้นสำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่ได้ชื่อว่าสำนักกระบี่วิญญาณ”
“แล้วมันชื่อว่าอะไร”
“ทุกครั้งที่เจ้าของยอดเขาได้เป็นเจ้าสำนัก ชื่อของยอดเขานั้นก็จะกลายมาเป็นชื่อสำนัก ดังนั้นในอดีตจึงมีทั้งสำนักกระบี่ประกายดาว สำนักกระบี่กระจ่างใจ สำนักกระบี่เร้นลับ… หลังจากนั้นพอมาถึงในยุคของเรา หลังจากคิดทบทวนกันอย่างดีแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจยกเลิกเรื่องการเปลี่ยนชื่อไป ทว่าการจะเปลี่ยนชื่อสำนักให้เป็นชื่อที่ถาวรก็ค่อนข้างน่ารำคาญ ดังนั้นพวกเขาจึงแค่เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักกระบี่วิญญาณ เพราะว่ามีวิญญาณ และมีกระบี่… เห็นไหม ธรรมเนียมมันก็เริ่มจากตรงนี้”
หวังลู่จึงได้รู้ว่าเหตุใดชื่อวิชาไร้ลักษณ์จึงฟังดูเหมือนชื่อที่อับจนถ้อยคำอื่นจะมาตั้ง นั่นเพราะยัยผู้หญิงที่ไม่รู้หนังสือคนนี้เป็นคนตั้งชื่อยอดเขาไร้ลักษณ์ ดังนั้นวิชาที่นางคิดค้นเองจึงกลายมาเป็นวิชาไร้ลักษณ์… อย่างไรเสีย ไม่สำคัญว่ากระบี่โต้กลับนี้จะมีชื่อหรือไม่ ที่สำคัญก็คือผลที่ได้ในการประลองต่างหาก
——
ตอนนี้ดูเหมือนว่าผลที่ได้จะสมบูรณ์แบบ
เวลาที่หวังลู่ใช้ในการฝึกกลยุทธ์ของกระบี่นี้มีจำกัด นั่นคือไม่ถึงสามวัน เขาเพิ่งทำเพียงแค่ ‘แง้มประตูเข้าไป’ เท่านั้น ดังนั้นหวังลู่จึงไม่กล้าโต้กลับการโจมตีที่รุนแรงนับพันชั่งครั้งแรกของเจ้าเจียงยวันด้วยกระบี่ไร้นาม เขารอจนกว่าคู่ต่อสู้จะหลงกลและบาดเจ็บ เสียความตั้งใจที่จะปิดการต่อสู้ให้ได้ไวที่สุด จากนั้นหวังลู่จึงค่อยๆ เผยกระบี่ไร้นามออกมาและโต้กลับพลังของฝ่ายตรงข้ามทีละนิด
จริงๆ แล้วหวังลู่บาดเจ็บกว่าเจ้าเจียงยวัน ทว่าด้วยพื้นฐานของกระดูกกระบี่ที่มี เขาสามารถแบกรับความเจ็บปวดได้มากกว่าอีกฝ่าย ดังนั้นหลังจากที่ปะทะกันหลายต่อหลายครั้ง เป็นเจ้าเจียงยวันเองที่ไม่อาจทนต่อไปได้และหยุดการโจมตีของกระบี่ไร้ขอบเขตลง
“…ข้ายอมแพ้ให้กับวิทยายุทธ์ที่เก่งฉกาจของเจ้า”
ภายใต้สถานการณ์ที่วิหารหยกของเขาใกล้จะแตกเป็นเสี่ยง สีหน้าของเจ้าเจียงยวันซีดเผือดอย่างหนักขณะพยายามคุมตัวเองไม่ให้กระอักเลือดออกมาอีก พร้อมกันนั้นเขาก็อ้าปากยอมแพ้การแข่งขันอย่างไม่เต็มใจ
หากเขาดึงดันสู้ต่อไป มันจะกระทบต่อรากฐานของเขา และหากวิหารหยกพังทลาย แม้เขาจะได้รับการรักษาสารพัดแขนงจากสำนักเซียนหมื่นเวท แต่ก็ยังจะเป็นปัญหาอยู่ดี เจ้าเจียงยวันเป็นผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่ไม่ใช่พวกบ้าระห่ำ
เมื่อได้ฟังคำยอมแพ้ของอีกฝ่าย หวังลู่ก็ยิ้มให้อย่างมีน้ำใจ “ไม่ต้องเกรงใจไป ฮ่าๆๆ แค่กๆๆ”
เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ทำเอาทั่วบริเวณดูเละเทะไปหมด… จากนั้นหวังลู่ที่ยื่นอยู่ในบ่อเลือดก็คร่ำครวญออกมา”
“โอ้ บิดาของเจ้าคนนี้ทนไม่ไหวอีกแล้ว ข้าเกรงว่าหากข้าไม่ได้กินซุปโอสถราคาหลายแสนศิลาวิญญาณ ข้าคงไม่อาจฟื้นฟูกำลังได้ หากค่าใช้จ่ายของสำนักไม่ถูกหักไปละก็ เราคงได้ครอบครองยอดเข้าสระวิญญาณถึงเก้าส่วนแล้ว! จะว่าไป ไหนพยาบาลสาวสวยเล่า”
อีกด้านหนึ่ง เจ้าเจียงยวันเองก็แทบจะประคองตัวก้าวลงจากลานประลองไม่ได้ เขาพยายามวางท่าเยือกเย็นของผู้แพ้แต่ก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป จึงกระอักเลือดสีเข้มออกมาเต็มปากจากนั้นก็สลบไป
——
การแข่งขันในรอบที่สามซึ่งเป็นที่คาดหวังอย่างสูงจบลงด้วยชัยชนะของสำนักกระบี่วิญญาณ
แม้หลายคนจะเก็งไว้ว่าหวังลู่จะชนะในการประลองครั้งนี้ แต่มีไม่กี่คนที่คิดว่าหวังลู่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายและเอาชนะได้ด้วยความสามารถของตัวเอง โดยเฉพาะในตอนท้ายที่เขาใช้วิชาแผลแลกแผล ซึ่งทำเอาผู้ชมกัดลิ้นแน่นด้วยความตื่นเต้น หนำซ้ำเขาซึ่งเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงกลับมีร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกเซียนตบะขั้นสร้างฐานเสียอีก! ผลจากการขัดเกลาร่างกายของวิชาไร้ลักษณ์นี่ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักค่อนข้างใช้อารมณ์เล็กน้อยขณะวิจารณ์หลังการแข่งขัน
“หวังลู่แสดงให้เห็นผลงานระดับสูงที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวก่อนแข่ง การตอบโต้ระหว่างแข่งและการเอาตัวรอดในการแข่ง เขาแสดงให้เราเห็นมาตรฐานที่สูงส่ง แน่นอนว่าผลงานของเจ้าเจียงยวันนั้นวิเศษมากเช่นกัน ที่เขาพ่ายแพ้นั้นหลายส่วนเป็นเพราะขาดโชคด้วย”
หยวนฉาวเหนียนวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา “เจ้าเจียงยวันพ่ายแพ้เรื่องกลยุทธ์ เขาเกรงกลัวเล่ห์กลของอีกฝ่ายมากเกินไป ตั้งแต่ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้นเขาก็พ่ายแพ้เรื่องจิตใจแล้ว เขากังวลเรื่องที่ต้องรีบจบการแข่งขัน หากไม่เป็นเช่นนั้น อาศัยแค่ข้อได้เปรียบเรื่องความเร็ว เขาก็จะสามารถเอาชนะได้!”
ในฐานะที่เป็นคนเสนอกลยุทธ์นี้ขึ้นมา ไห่อวิ๋นฟานจึงอดรู้สึกผิดไม่ได้ พวกเขาพิจารณาหมดทุกแง่มุม ยกเว้นเพียงมุมที่ว่าหวังลู่จะหันหน้าสู้อย่างเปิดเผย! นี่ถือเป็นข้อผิดพลาดใหญ่หลวงของสำนักเซียนหมื่นเวทในการวิเคราะห์ก่อนการแข่งขัน
ทว่าแม้แต่เจ้าเจียงยวันผู้แพ้ก็ไม่อาจตำหนิศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องเล็กของเขาตรงๆ ได้ อย่างไรเสีย…อีกฝ่ายก็คือหวังลู่ หากไม่ได้เป็นคนที่ไปยืนต่อหน้าเขา ก็ยากที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกกดดันจนทำให้ใจเต้นแรง
ไม่อาจคาดเดาจังหวะต่อไปของเขาได้ และไม่อาจคาดเดาไพ่ที่เขาซ่อนไว้ได้… แน่ละว่าขั้นตบะของเขาไม่ได้สูง แต่ก็เหมือนภูเขาสูงที่ยากจะพิชิตซึ่งทำให้คนรู้สึกอ่อนแอ หงุดหงิด และขาดเหตุผล! ไม่กี่อึดใจก่อนหน้า เจ้าเจียงยวันล้อมหวังลู่ไว้ด้วยตาข่ายของกระบี่ไร้ขอบเขตที่ไม่อาจหลบหนีได้ แต่เพราะการโต้กลับของกระบี่ไร้นาม อาการบาดเจ็บของเขาจึงลามไปอย่างรวดเร็ว… ในช่วงเวลานี้เจ้าเจียงยวันจะไม่รู้สึกได้อย่างไร แต่เป็นเพราะเขาฮึกเหิมในชัยชนะเกินไปจึงไม่ได้ใส่ใจมันจนสายเกินไป
…………………………………………..