ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 34.2 ทหารแต่กำเนิดตลอดกาล (2)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 34 ทหารแต่กำเนิดตลอดกาล (2) โดย Ink Stone_Fantasy

 

          “ครั้งนี้ข้าพ่ายแพ้อย่างยุติธรรม ทว่าศิษย์พี่หญิงท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะ”

          ข้างกายเขา ศิษย์พี่หญิงเย่เฟยเฟยที่กำลังดูแลเขาอยู่ก็พยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าได้เห็นการต่อสู้ของเขาแล้ว ข้ารู้ดีว่าจะต้องรับมืออย่างไร”

          เจ้าเจียงยวันเอ่ยปากเตือน “อย่าประมาทไป ความสามารถในการตั้งรับของเขาแข็งแกร่งมากและ…”

          “ใจเย็น ข้าไม่บุ่มบ่ามใส่เขาหรอก” เย่เฟยเฟยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนทำให้เจ้าเจียงยวันคลายกังวล

          แม้ความปราดเปรื่องของนางจะถูกศิษย์พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่กลบอยู่เสมอ ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนมากพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในสำนักเซียนหมื่นเวท หนำซ้ำหากมองอย่างไม่ลำเอียงแล้ว รูปแบบการต่อสู้ของนางก็น่าจะรับมือหวังลู่ได้อย่างดี

          ข้อได้เปรียบนี้ทำให้ในการแข่งขันกับศัตรูอย่างหวังลู่ โอกาสที่จะเอาชนะของศิษย์พี่หญิงนั้นมีมากกว่าศิษย์พี่ใหญ่ด้วยซ้ำ

          “ศิษย์พี่หญิง ท่านทำได้แน่!”

——

          อีกด้านหนึ่ง หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง หวังลู่ก็ถูกกักอยู่ในความฝันประหลาด

          ในความฝันของเขา เขาจำได้เพียงว่าถูกหามลงมาหลังจากบาดเจ็บสาหัส และเพื่อที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงถูกทำให้อยู่ในภาวะหลับลึก ก่อนที่สติของเขาจะดับลง เขายังถอนหายใจอย่างยินดีเรื่องความเฉียบขาดของกระบี่ไร้ชื่อ จากนั้นเขาก็จมลงไปในโลกลวงตาที่มีรูปร่างคล้ายหมอก

          เศษเสี้ยวแสงและเสียงที่ปรากฏขึ้นในใจนั้นกระจัดกระจายและถูกโอบล้อมด้วยหมอกหนา ซึ่งเขาระบุได้อย่างเลือนรางว่าเป็นดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง ทว่ากลิ่นเลือดรุนแรงกระตุ้นประสาททั้งห้าของเขา เสียงคำรามของใครบางคนดังก้องเข้ามาในหู แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นกลับฟังไม่ได้ศัพท์

          หลังจากนั้นความเจ็บปวดก็ดูเหมือนจะมากมายจนล้นท้องฟ้า จากอาการบาดเจ็บก่อนหน้าไปจนเจ็บแปลบที่อก เป็นความเจ็บปวดที่ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าความทรมานจากการตาย มันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่เขารู้สึกบนเวทีประลองหลายต่อหลายเท่านัก ดังนั้นแม้เขาจะรู้ตัวดีว่ากำลังอยู่ในโลกลวงตา แต่หวังลู่ก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้

          ความเจ็บปวดมหาศาลในกายเขาเหมือนก็ลวดที่มีแรงบีบอัดรุนแรงกำลังรัดโล่ที่ปกป้องเขาไว้อย่างหนาแน่น ทว่าแรงกดนั้นดูเหมือนจะต้านไฟอยู่ ในโลกลวงตานี้ หวังลู่เหมือนจะเห็นลาวาและได้ยินเสียงฟ้าผ่า ทว่าด้วยการสกัดกั้นของโล่ทำให้มันไม่อาจระเบิดออกมาได้

          สุดท้ายแล้ว ‘ลวด’ ก็ถูกบีบกดจนถึงขีดสุด แม้มันไม่สามารถทะลวงโล่เข้ามาได้ แต่ทั้งโล่และโลกที่อยู่ในนั้นก็สั่นไหวรุนแรง

          เพราะแรงสั่นนั่นเอง หวังลู่จึงตื่นขึ้น

          “อ้าว เจ้ายังไม่ตายนี่นา”

          เป็นเสียงของอาจารย์

          “ดูท่าว่านอนสบายน่าดูเลยนะ แต่ถ้าอยากจะนอนต่อก็ไม่เป็นปัญหา ข้ารักษาเจ้าเรียบร้อยแล้ว”

          หวังลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ยปากถาม “อาจารย์ เมื่อกี้ข้าเหมือนได้เห็นอะไรบางอย่าง”

          “เฮ้ เจ้าเห็นข้าโป๊เหรอ ไม่จริงใช่ไหม”

          “เอ่อ ข้าหมายถึง…”

          โชคร้ายที่ก่อนหวังลู่จะได้ทันอธิบายสถานการณ์ในโลกลวงตา ผู้เป็นอาจารย์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

          “เจ้าอ้วนเดนตายสุนัขผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าแพ้แน่ะ”

          หวังลู่ตกใจ รีบลุกขึ้นและเอ่ยปากถาม “ไม่จริงน่า ข้าให้ถุงผ้าไหมกับเขาไปแล้วไง!”

          ผู้เป็นอาจารย์หยิบชามรูปร่างคล้ายดอกทานตะวันออกมา “เจ้าดูเองเถอะ”

          พลังอิทธิฤทธิ์ถูกเทลงไปในชามรูปดอกไม้หน้าตาประหลาดนั่น กลีบของมันคลี่ออก ที่เกสรก็ฉายภาพการแข่งขันในรอบที่สี่บนลานเมฆาที่เกิดขึ้นตอนหวังลู่ยังนอนหลับอยู่ออกมา

          ด้านหนึ่งหวังลู่ก็หยอกขึ้นอย่างขบขัน “นี่ท่านจนขนาดไม่มีเงินซื้อเครื่องบันทึกไม้ไผ่หยกเชียวหรือ” อีกด้านเขาก็มองไปยังภาพที่เคลื่อนไหวด้วยความกระตือรือร้น

          ที่ยืนอยู่บนลานเมฆาคือตัวแทนอันดับสองของสำนักเซียนหมื่นเวท เย่เฟยเฟยและเหวินเป่าจากสำนักกระบี่วิญญาณ

          ในรอบนี้ ความแตกต่างด้านพละกำลังของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองเรียกได้ว่าสุดโต่งอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นก่อนการแข่งจึงไม่มีใครกระหายใคร่รู้มากนัก แม้การที่เหวินเป่าเอาชนะจูฉินมาได้จะพิสูจน์ว่าพละกำลังของเขาก็ไม่ใช่น้อย ทว่าต่อหน้าตัวแทนอันดับสองของสำนักเซียนหมื่นเวท โอกาสที่จะชนะของเขาก็แทบไม่มี เย่เฟยเฟยเป็นคนกระฉับกระเฉง ใจเย็น ระแวดระวัง ทั้งยังมีพลังอิทธิฤทธิ์ในขั้นสร้างฐาน สิ่งเหล่านี้สามารถยับยั้งเหวินเป่าที่เอาแต่หลับหูหลับตาพุ่งตรงเข้าใส่ได้เป็นอย่างดี เมื่ออยู่บนเวทีแม้แต่เหวินเป่าเองก็ไม่กล้าคิดถึงชัยชนะ มีเพียงหวังลู่เท่านั้นที่คาดหวังกับการต่อสู้ของเจ้าอ้วนเดนตายนี้…

          ทว่าเมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น เหวินเป่าก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง เมื่อต้องเผชิญกับการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวของเย่เฟยเฟย ซึ่งดูไม่ต่างจากวิชาภาพลวงตา เหวินเป่าเลือกที่จะโต้กลับด้วยการพุ่งเขาหาเหมือนหมู เป็นการโจมตีของหมูที่ต่อเนื่อง ความรุนแรงที่เขาส่งออกมานั้นราวกับเขาบ้าคลั่งไปแล้ว

          การพุ่งเข้าหาอย่างบ้าบิ่นนี้ทำให้เย่เฟยเฟยเข้าตาจน เพราะคู่แข่งที่นางต้องเจอคนต่อไปคือหวังลู่ นางจึงยังไม่อยากเผยไพ่ในมือให้มากนัก เย่เฟยเฟยจะใช้ความสามารถที่แท้จริงในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้… นางรู้สึกว่าการจู่โจมแบบไร้สมองเช่นนี้นั้นไม่ยากที่จะรับมือ แม้พลังการโจมตีของเหวินเป่าจะรุนแรง แต่ช่องโหว่ของเขานั้นเด่นชัดอย่างไม่น่าเชื่อ ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐาน เกราะพลังนั้นก็ไม่ต่างจากของเด็กเล่น ทว่าครั้งนี้ผิวของเหวินเป่ากลับกลายเป็นสีแดงฉานราวกับว่าเป็นชั้นของเลือด แรงต้านทานของเขาทะยานออกมา เย่เฟยเฟยจัดการมันด้วยอาคมหลายชุด แต่ไม่มีชุดใดส่งผลเลย กลับกันลมที่เกิดจากการกวัดแกว่งกระบี่ของเขากลับรุนแรงขึ้น บางครั้งลมที่เกิดจากการกวัดแกว่งกระบี่เพียงครั้งเดียวก็สร้างความปั่นป่วนให้กับพื้นที่รอบตัวเขาได้ไกลถึงห้าวา เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้บนลานประลอง เหล่าผู้ชมต่างก็พากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก

          หมอนี่อยู่ในขั้นฝึกปราณจริงๆ หรือ

          เย่เฟยเฟยเองก็ประหลาดใจไม่เบา แผนแรกของนางคือเอาชนะคู่ต่อสู้แบบที่เสียเหงื่อน้อยที่สุด เพื่อเลี่ยงการเผยไพ่ในมือมากเกินไป ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าภาวะเช่นนี้ มันยากยิ่งที่นางจะยังคงซ่อนไพ่เอาไว้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจสังเวยไพ่แห่งชัยชนะออกมา

          เวหาวิเศษ

          การบินได้คือความฝันของมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างปรารถนาอยากครอบครองกระบี่บินของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียน ทว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้วนั้น การจะบินได้จริงๆ ต้องมีตบะขั้นพิสุทธิ์ก่อน

          อาคมบินได้ที่ง่ายที่สุดนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับต้นๆ ก็สามารถร่ายได้ ทว่าพวกขาจะบินได้ช้าๆ และดูเงอะงะ ไม่อาจคล่องแคล่วและว่องไวได้เหมือนเวลาเคลื่อนไหวบนพื้นดิน และกลายเป็นเป้าที่บินได้ในทันที ไม่สามารถเอามาใช้ในการประลองจริงๆ มีเพียงเมื่อพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกที่บรรลุถึงขั้นพิสุทธิ์แล้วนั่นละที่จะเหาะเหินกลางอากาศได้อย่างอิสระ และมีความสามารถที่จะเหาะขึ้นไประดับสูงๆ ได้จึงจะใช้ในการต่อสู้ได้จริง

          ทว่าแม้ตบะเซียนของเย่เฟยเฟยเพิ่งจะอยู่เพียงขั้นสร้างฐาน แต่นางสามารถเริงระบำอย่างอ่อนช้อยกลางอากาศได้ ซึ่งทิ้งภาพติดตาไว้มากว่าสิบภาพและทำให้คนอื่นๆ ตาพร่ามัว

          ก่อนที่ผู้ชมจะทันได้ทอดถอนใจชื่นชมความทรงพลังของเย่เฟยเฟยในฐานะไพ่แห่งชัยชนะใบที่สอง เหวินเป่าก็กวัดแกว่งกระบี่เล่มโตอย่างดุเดือน จนเกิดเป็นพายุหมุนที่รุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งกวาดภาพติดตาทั้งหมดของเย่เฟยเฟยไปสิ้น มีเพียงร่างจริงของนางเท่านั้นที่ยังอยู่เพราะนางเองก็กวัดแกว่งโล่วายุอยู่เช่นกัน

          ลมหยุดนิ่ง ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด

          “เป็นไปไม่ได้!”

          ผู้คนนับไม่ถ้วนที่ได้เห็นภาพที่น่าตื่นเต้นนี้ต่างก็อุทานออกมา ไม่ว่าการโจมตีของเหวินเป่าจะดีงามเพียงใด แต่ถ้ามีตบะเพียงแค่ขั้นฝึกปราณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างลมพายุที่รุนแรงได้เพียงแค่กวัดแกว่งกระบี่!

          “ว่าแต่ว่าเจ้าทำได้ยังไง” ผู้เป็นอาจารย์ถามหวังลู่

          “ถุงผ้าไหมนั่น”

          “ในถุงมีอะไร”

          “กลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญิงสาวที่งดงามและสูงส่งคนหนึ่ง”

          “…” แม้แต่เจ้าของยอดเขาไร้ลักษณ์ที่เป็นที่เลื่องลือเรื่องความน่ากังขาด้านศีลธรรมยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม “โชคร้ายที่พลังของเขามาจากถุงผ้า ความพ่ายแพ้ของเขาจึงมาจากถุงผ้าเช่นกัน”

          หญิงสาวในชุดขาวส่ายศีรษะ และให้หวังลู่ดูภาพตรงหน้าต่อ

          การแข่งขันครั้งนี้รวดเร็วมาก มันกินเวลาเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น

          ตอนที่เหวินเป่าคิดว่าเขาสามารถฝืนลิขิตสวรรค์และเอาชนะการแข่งขันครั้งนี้ได้ เขาก็เปิดถุงผ้าอีกรอบ ขณะที่เขาพยายามซึมซับพลังจากกลิ่นหอมเฉพาะตัวนั่นเอง…

          เลือดก็กระฉูดออกจากจมูกลอยหวือขึ้นสูงไปในอากาศ ตัวของเหวินปาโคลงเคลงอยู่หลายรอบ จากนั้นร่างอวบอ้วนก็ร่วงลงมาเสียงดังตุ้บใหญ่

          หวังลู่ตาค้างไปพักใหญ่

          “เจ้าไก่อ่อนนี่ยังไม่เคยผ่านมือสาว…”

……………………………………………….