ท้ายที่สุดช้อนก็ถูกฟาดลงมาบนหน้าผากของโฮจินอีกสองครั้ง จากนั้นจึงกลับไปทำหน้าที่เดิมนั่นคือใช้ตักข้าว เขาศึกษายาพิษมาหลายชนิดจึงสามารถใช้สมุนไพรได้อย่างชำนาญ แต่เขาไม่ใช่หมอ ทว่าผู้คนที่มาหาในบางครั้งมักจะมารับสมุนไพรตามอาการของโรคและเรียกเขาว่าท่านหมออยู่บ่อยๆ ซึ่งฮาแบครู้สึกไม่ชอบจนขนลุก 

 

 

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านฮาแบค” 

 

 

น้ำเสียงของยอนฮวาที่เอ่ยถามด้วยความระมัดระวังเต็มไปด้วยความคาดหวัง ฮาแบคส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเบนสายตาไปยังเกล็ดหิมะที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ดูเหมือนว่าจะต้องนำสมุนไพรหลายชนิดมาเพิ่มอีกขอรับ แต่หิมะดันตกลงมาแบบนี้…” 

 

 

“แต่ถึงอย่างไรก็น่าทึ่งเจ้าค่ะ เพราะได้สมุนไพรที่ท่านฮาแบคเคี่ยวให้ ตอนนี้ฝ่าบาทจึงเสวยข้าวต้มได้เยอะขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“ฝ่าบาทคงจะทรงรับรู้ถึงความเอาใจใส่ของท่านด้วยเหมือนกันขอรับ” 

 

 

“ความเอาใจใส่นั้น ช่วยใส่ลงไปในกับข้าวด้วยได้ไหมขอรับ” 

 

 

เสียงของโฮจินซึ่งแทรกเข้ามาจากด้านข้างทำให้ยอนฮวาหน้าแดง คงจะเป็นเพราะไม่เคยเข้าไปในฝ่ายห้องเครื่อง จึงมีเพียงฝีมือการทำอาหารเท่านั้นที่ไม่พัฒนาขึ้นเลย แม้จะได้ทำอย่างอื่นมากมายก็ตาม ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย ฮาแบคก็กินจนเกลี้ยงอย่างเงียบๆ แต่โฮจินมักจะต้องพร่ำบ่นและถูกตีหน้าผากก่อนจึงจะคลุกข้าวลงในน้ำแกงแล้วกินได้ 

 

 

“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยทำอาหารมาก่อนก็เลย…” 

 

 

“กลางป่ากลางเขาเช่นนี้ เท่านี้ก็ยอดเยี่ยมแล้วขอรับ” 

 

 

ใบหน้าของฮาแบคที่ยิ้มพร้อมกับตบไหล่ยอนฮวาเบาๆ ช่างคล้ายคลึงกับรยูฮวาเสียจริง เพราะภาพของเจ้านายที่มักจะลูบหัวเบาๆ และบอกว่าไม่เป็นไรเมื่อนางทำผิดเสมอยังคงติดตาอยู่ น้ำตาจึงคลอขึ้นบนดวงตากลมโตอีกครั้ง 

 

 

“ร้องไห้อีกแล้วหรือขอรับ ข้าคิดว่าผู้หญิงสวยที่สุดก็ตอนร้องไห้นี่แหละ” 

 

 

“ถ้ากินเสร็จแล้วก็ไปโกยหิมะเถอะ” 

 

 

ฮาแบคใช้เท้าเตะไล่โฮจินให้ออกไปข้างนอกอย่างแรง ก่อนจะถือช้อนกับตะเกียบขึ้นมาอีกรอบ ยอนฮวารีบเช็ดน้ำตาและยัดข้าวที่เหลืออยู่ใส่ปากก่อนจะลุกออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ไม่มีใครเฝ้าอยู่ข้างๆ ฝ่าบาทนานพอสมควรแล้ว ข้าขอตัวไปดูสักครู่นะเจ้าคะ” 

 

 

เนื่องจากเป็นบ้านพักชั่วคราวของมหาเสนาบดีจึงเป็นที่ที่ใกล้เคียงกับที่หลบซ่อนมากกว่า ในเรือนนี้มีห้องหับเพียงห้าห้องกับสวนหน้าบ้านเล็กๆ เท่านั้น สถานที่ที่ยอนฮวามุ่งตรงไปคือห้องของฮอนซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของยอนฮวาก็ดังก้องท่ามกลางเกล็ดหิมะที่ตกลงมา 

 

 

“ฝ่าบาท!” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“จะทรงทำเช่นนั้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงสัญญากับกระหม่อมแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เทียบกับฮวังควีบีซึ่งจิบชาอย่างผ่อนคลายแล้ว ก็พอรู้ได้เลยว่าจอนจูฮโยซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังข่มอารมณ์โกรธอยู่อย่างยากลำบากโดยไม่จำเป็นต้องสังเกต 

 

 

“อย่าได้รู้สึกไม่ยุติธรรมถึงขนาดนั้นเลย ตำแหน่งที่จะได้อยู่เคียงข้างองค์รัชทายาทก็มีเพียงแค่พระชายาที่ไหนกันเล่า” 

 

 

“ทั้งตำแหน่งพระชายาและตำแหน่งพระมเหสีต่างก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนี่พ่ะย่ะค่ะ! ทรงหลอกลวงกระหม่อมอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

เคยตรัสว่าจะรับบุตรีของเขาเข้ามาเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท แต่พอมาถึงตอนนี้ทรงปฏิเสธคำสัญญานั้นราวกับหินผาและเปลี่ยนคำพูดอย่างนั้นหรือ ไม่เพียงแค่ไม่จัดพิธีคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ ทั้งยังรับพระชายาของรัชทายาทองค์ก่อนซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้วมาเป็นพระชายาอีก ดูท่าว่าฮวังควีบีจะทรงตั้งใจทำเช่นนี้อยู่แล้วตั้งแต่แรก จอนจูฮโยจ้องมองฮวังควีบีด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางหวาดกลัว 

 

 

“องค์รัชทายาทตรัสมาเช่นนั้น แล้วข้าจะมีอำนาจไปทำอะไรได้อีกเล่าเจ้ากรมการคลัง ให้นางเข้ามาเป็นนางสนมเสียเถอะ แล้วหากองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ นางก็จะได้เป็นพระสนมเอก” 

 

 

“จะทรงทำเช่นนี้กับกระหม่อมไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงทราบไหมว่ากระหม่อมรู้เรื่องอะไร…!” 

 

 

คำพูดของจอนจูฮโยถูกขัดด้วยฮวังควีบีซึ่งหลุดหัวเราะเยาะออกมาจึงไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ 

 

 

“รู้แล้วเจ้าจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ คิดว่ามาเปิดโปงเอาตอนนี้จะทำให้องค์ชายที่เหลืออยู่เพียงพระองค์เดียวถูกตัดออกจากการสืบทอดราชบัลลังก์งั้นรึ หรือคิดจะตัดคอของข้าผู้ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ กันเล่า หืม เจ้ากรมการคลัง” 

 

 

น้ำเสียงของฮวังควีบีขึ้นๆ ลงๆ ราวกับคมมีดที่ละเมียดละไม 

 

 

“ผู้ที่จะมาแทนในตำแหน่งของเจ้ายังมีอีกตั้งมากมาย หากฝ่าบาททรงทราบว่าทรัพย์สมบัติของพระพันปีที่ถูกส่งมอบให้เพื่อช่วยเหลือราษฎรถูกใช้ไปกับอะไร คิดว่าพระองค์จะทรงปล่อยเจ้าไว้อย่างนั้นหรือ เจ้าควรนึกถึงบุตรีที่ยังอายุน้อยของเจ้าไว้ด้วยนะ” 

 

 

มันคือวิธีที่พระมเหสีเคยใช้กับนางเมื่อนานมาแล้ว หลังจากใช้คำพูดสวยหรูเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ จากนั้นก็ใช้วิธีการตรงกันข้าม ใช้จุดอ่อนในการทำให้ปิดปากสนิท แต่ถึงกระนั้นก็ย่อมมีสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ฮวังควีบีเหยียดมุมปากออกอย่างขมขื่น 

 

 

“หลังจากได้เข้ามาเป็นพระสนมเอกแล้วก็จงประคับประคองความโปรดปรานไว้ให้ดี ใครจะไปรู้ นางอาจจะประสูติองค์ชายและได้ตำแหน่งฮวังควีบีเหมือนข้าก็ได้ แล้วตำแหน่งพระมเหสีจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า ผู้ที่กุมอำนาจไว้ได้เป็นคนสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นใคร ผู้นั้นนั่นแหละที่จะได้เป็นพระพันปี” 

 

 

จอนจูฮโยกลืนความต้องการที่อยากจะฉีกริมฝีปากที่ยิ้มอย่างเยือกเย็นตรงหน้านั้นลงไปแล้วลุกขึ้นยืน สิ่งที่ฮวังควีบีกล่าวถูกต้องหมดทุกอย่างจึงทำให้รู้สึกไม่ยุติธรรมและแค้นเคืองยิ่งกว่าเดิม สักวันหนึ่งข้าจะล้างแค้นให้กับความอับอายขายหน้านี้ ฮวังควีบีมองดูเบื้องหลังของจอนจูฮโยซึ่งกัดฟันกรอดแล้วหายลับออกไปข้างนอก จากนั้นจึงลบรอยยิ้มทิ้งไปและพิงตัวลงกับพนักพิง 

 

 

“พระสนมเอก พระสนมเอกงั้นรึ” 

 

 

ในตอนที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งแรก นางทั้งดีใจและงุนงงจนพูดอะไรไม่ออก แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้คนที่มีความโลภมากมายพึงพอใจได้ ความจริงแล้วตนเองในตอนนั้นซึ่งเป็นแค่เพียงนางสนมไม่ใช่พระสนมเอกก็ดีใจเหมือนกัน หญิงสาวที่ได้รับอนุญาตให้มาอยู่เคียงข้างชายหนุ่มที่ตนรักใคร่และถวิลหาก็คงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันหมด พระราชาหนุ่มแต่งตั้งให้นางซึ่งไม่ผ่านการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสให้มาเป็นพระสนมเอกช่างเป็นชายหนุ่มที่งดงามเหลือเกิน 

 

 

“เป็นเวลานานแล้วเพคะ… ที่หม่อมฉันได้ใช้ชีวิตในฐานะพระสนมเอก ทำไมตอนนั้นถึงทรงไม่ให้หม่อมฉันออกไปจากวังหรือเพคะ ถ้าทรงทำเช่นนั้นก็คงจะมีแต่ความทรงจำดีๆ ในช่วงนั้นให้นึกถึงขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว” 

 

 

พอพระราชาในอดีตที่นั่งอยู่ตรงหน้ายิ้มเล็กน้อย แววตาอันอบอุ่นของฮวังควีบีก็ตอบกลับรอยยิ้มนั้น เสียงที่พูดอย่างแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย แต่หนึ่งในนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเกลียดชัง 

 

 

“แต่ก็ต้องขอบพระทัยเพคะ เพราะฝ่าบาท หม่อมฉันจึงได้มีความสุขที่ได้แบ่งปันความรักร่วมกันกับคนรัก แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ทั้งยังได้ให้กำเนิดลูกชายที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตด้วย แต่หม่อมฉันไม่มีหนทางที่จะตอบแทนพระคุณอันใหญ่หลวงนั้นจึงทำได้เพียงเท่านี้เพคะ” 

 

 

ฮวังควีบีลุกขึ้นจากที่นั่ง พระราชาที่อยู่ตรงหน้าเลือนหายไปราวกับควัน หลังจากที่นางเดินออกไป ห้องสีแดงจึงสูญเสียความอุ่นและเริ่มหนาวเหน็บ มีเพียงแค่แหวนหรูหราซึ่งถูกวางเรียงอย่างสวยงามบนโต๊ะอยู่ตรงนั้นอย่างเปล่าเปลี่ยวเหมือนกับเจ้าของ 

 

 

 

 

 

“องค์รัชทายาท ฮวังควีบีเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“พาเข้ามาได้” 

 

 

แม้ตะวันจะยังไม่ตกดิน แต่ห้องบรรทมก็มืดสนิทราวกับกลางดึก ชานที่พังเก้าอี้ออกเป็นสองท่อนไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยแม้ผู้เป็นแม่จะเข้ามาแล้วก็ตาม ฮวังควีบียืนมองดูเขานิ่งๆ และออกคำสั่งอย่างแข็งกระด้าง 

 

 

“จุดไฟซะ” 

 

 

นางในจึงรีบนำเชื้อไฟมาจุดไฟในตะเกียงที่เย็นเฉียบ ห้องที่ปรากฏขึ้นภายใต้แสงไฟช่างน่าสังเวช เสื้อผ้ากระจัดกระจายไปทั่วราวกับซากศพ ขวดเหล้าเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกสารทิศ ไปจนถึงเตียงนอนที่รกรุงรัง ฮวังควีบีมองดูรอบๆ ห้องก่อนจะย่นหน้าผากขาวอย่างน่ากลัวและยืนข้างหน้าปลายเท้าของชาน 

 

 

“องค์รัชทายาท” 

 

 

“…ทรงลองคิดดูแล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เพียะ เสียงอันแหลมคมดังขึ้นพร้อมรอยฝ่ามือสีแดงที่ปรากฏขึ้นบนแก้มของเขาที่ถูกฮวังควีบีตบ ในตอนนั้นเอง ชานที่เอียงคอบ่นพึมพำอย่างสิ้นหวังจึงหันไปมองฮวังควีบีซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มที่ยิ้มเย้ยนั้นยิ้มให้ใคร 

 

 

“ตั้งสติเสียทีเถอะ ผู้หญิงพรรค์นั้นมีดีอะไรนัก เจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้…!” 

 

 

“ผู้หญิงพรรค์นั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ชานลุกพรวดขึ้นพร้อมกับจ้องมองแม่ของตนเองราวกับจะจับกิน นั่นทำให้เก้าอี้ซึ่งเขาฝังตัวอยู่ก่อนหน้านี้ล้มลงพื้นไปกระแทกกับขวดเหล้าที่กลิ้งไปมา 

 

 

“อย่าได้พูดจาดูหมิ่นพระชายาด้วยคำพูดต่ำช้า! ต่อหน้าข้า! แม้อีกเพียงครั้งเดียว!”