ดวงตาที่อ่อนเพลียลุกโชนด้วยความโกรธและพยายามปรับสายตาให้มองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ตอนนี้ค่อยดูเป็นคนขึ้นมาหน่อย ฮวังควีบีจ้องดวงตานั้นตรงๆ พร้อมกับพูดเน้นหนักทีละคำ ทีละคำ 

 

 

“ดูหมิ่นอย่างนั้นหรือ ใครกันแน่ที่ดูหมิ่นพระชายา คนที่ปฏิบัติต่อนางเหมือนกับสิ่งของที่โยนให้กันไปมา คนที่ปฏิบัติต่อนางราวกับลูกหมาที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของ คือใครกันแน่เพคะ” 

 

 

“ฮวังควีบี!” 

 

 

ชานก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โน้มตัวลงและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่ ความโกรธเกรี้ยวที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยค่อยๆ ลอดไรฟันที่ปิดสนิทออกมา และเข้าปกคลุมฮวังควีบีตั้งแต่ศีรษะ 

 

 

“แม้ว่าพระสนมจะทรงเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ทรงกล้าแตะต้องตัวนาง อีกทั้งยังเรียกพระชายาว่าลูกหมาอีก ยังทรงหวังว่าจะอยู่รอดปลอดภัยอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“แม่คนนี้จะเคยหวังว่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อตายไปอย่างไรก็เน่าเสียอยู่ดี” 

 

 

“เหอะ นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ นั่นก็ถูกต้อง” 

 

 

จู่ๆ ชานก็ระเบิดหัวเราะออกมา หากไม่ใช่มุมปากที่ยิ้มยกขึ้นก็คงจะไม่คิดว่านั่นคือเสียงหัวเราะ การหัวเราะเช่นนั้นใกล้เคียงกับการร้องไห้มากกว่า 

 

 

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้หวังว่าตนเองจะอยู่รอดปลอดภัยเขาทำกัน” 

 

 

เป็นเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ตอนนี้หูของฮวังควีบีได้ยินแต่เสียงของลูกชายที่พูดพร่ำเช่นนั้น 

 

 

“ทั้งข่มเหงองค์ชายซึ่งทรงคลอดออกมาจากท้องตัวเอง กำจัดพระมารดาขององค์ชายพระองค์อื่น เผานางสนมขององค์รัชทายาท ทั้งยังฆ่าเหล่านางในที่ไม่รู้ชื่ออีกมากมาย และสุดท้ายก็ทรงได้ขึ้นเป็นฮวังควีบีเช่นนี้ ทรงพอพระทัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“…องค์รัชทายาท” 

 

 

“กระหม่อมเกลียดพระสนมพ่ะย่ะค่ะ กลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก แต่ดูสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็มีสายเลือดเดียวกับพระสนมเช่นกัน พอได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะทำให้น้องชายเพียงคนเดียวกลายเป็นคนที่ตายทั้งเป็น แต่ก็ไม่สามารถตัดลมหายใจอันริบหรี่นั้นได้จึงได้กระวนกระวายใจอยู่แบบนี้ ตอนนี้กระหม่อมเข้าใจพระสนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้กระหม่อมได้กลายเป็นปีศาจเหมือนกันกับพระสนมแล้ว” 

 

 

“แม่…” 

 

 

ขอโทษ ฮวังควีบีพยายามกลืนคำพูดที่เกือบจะหลุดออกจากปากลงไป นางไม่ได้ตั้งใจจะข่มเหง นิสัยโดยกำเนิดของนางไม่ได้อ่อนหวาน แถมยังคอยเข้มงวดกับเขาอยู่เสมอเพราะเป็นบุตรชาย แต่นางเพียงแค่กลัวว่าชานจะได้รับการโจมตีจากนางสนมที่จ้องจะขึ้นไปยังตำแหน่งพระมเหสีเท่านั้น 

 

 

ถ้ารู้ว่าจะกลายเป็นแบบนี้ก็คงจะโอบกอดเขาให้มากที่สุด คงจะกอดลูกชายที่ยังเยาว์วัยไว้อย่างอบอุ่นและร้องเพลงกล่อมเด็กให้ฟังแม้เพียงสักครั้ง คงจะเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาและบอกว่าแม่รักลูกสุดหัวใจ แต่มาพูดตอนนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร 

 

 

“ดีใจที่ได้เห็นหน้าเจ้า” 

 

 

ยกมือขาวซีดขึ้นมาลูบแก้มซึ่งโดนตนเองตบก่อนหน้านี้หนึ่งทีแทนคำพูดที่สั่งสมอยู่ภายในใจ ภาพของชานในวัยเด็กซ้อนทับบนใบหน้าของลูกชายซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องไฟไหม้วังไม่ใช่ความผิดของชาน และรู้อีกด้วยว่าหากไม่ทำเช่นนั้น เขาก็จะถูกพระมเหสีลากตัวไปลงโทษ โทษฐานที่ทำให้องค์รัชทายาทตกอยู่ในอันตรายและจะประสบกับความทุกข์ทรมานกว่านี้อีกหลายเท่าตัว 

 

 

“อีกอย่าง คำขอร้องขององค์รัชทายาทในคราวที่แล้ว แม่เกรงว่าคงจะไม่สามารถรับฟังได้เพคะ” 

 

 

“เสด็จแม่!” 

 

 

เสด็จแม่ ชานมักจะเรียกแม่แท้ๆ ของตนว่าเสด็จแม่ด้วยความฝืนใจเฉพาะในตอนที่มีเรื่องจะขอร้องเท่านั้น แต่เพียงแค่นั้น ฮวังควีบีก็รู้สึกยินดีแล้ว 

 

 

“แม่ขอตัวก่อน” 

 

 

ฮวังควีบีหมุนตัวออกไปจากห้องบรรทมและกวักมือเรียกโนซังกุงซึ่งยืนอยู่ไกลๆ 

 

 

“ช่วยจัดเตียงบรรทมให้เรียบร้อยและจุดไฟให้สว่างหน่อยนะ และต้องทำให้แน่ใจว่าองค์รัชทายาททรงสวมชุดเต็มยศอยู่เสมอ เข้าใจหรือไม่” 

 

 

“เพคะ ฮวังควีบี” 

 

 

คิดว่าจะเป็นการสั่งแบบตวาดจึงโค้งตัวเตรียมไว้ก่อนแล้ว แต่กลับเป็นเพียงแค่คำพูดที่เป็นการฝากฝังอย่างเข้มงวดเท่านั้นต่างจากที่คาดไว้ โนซังกุงโค้งศีรษะลงต่ำกว่าเดิมด้วยความขอบคุณ ฮวังควีบีจ้องมองศีรษะที่ก้มลงสักพักก็หมุนตัวอย่างช้าๆ ออกจากวังจงซูไป 

 

 

ในท่วงท่าการเดินของนางผู้ซึ่งใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงของพระราชามาอย่างยาวนาน มีเพียงความสง่างามซึ่งแผ่ออกมารอบตัวเท่านั้นที่ติดตามนางราวกับเงา 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ ฮวังควีบีถึงได้มาขอเข้าเฝ้าอย่างนี้” 

 

 

พระราชาที่ทรงงานอยู่ในห้องทรงงานจนดึกดื่นเพียงลำพังเป็นประจำยกยิ้มเล็กน้อย เห็นเช่นนี้แล้วช่างเหมือนกับลูกชายเสียจริง ฮวังควีบีตั้งใจจะยิ้มตอบ แต่ริมฝีปากที่ไม่ได้ยิ้มมานานกลับทำเพียงแค่วาดเส้นโค้งที่ดูประหลาดเท่านั้น 

 

 

“ฝ่าบาททรงแต่งตั้งตำแหน่งให้แก่หม่อมฉัน แต่หม่อมฉันช่างโง่เขลานักจึงไม่ได้มาแสดงความขอบพระทัยแด่ฝ่าบาทเลยสักครั้งเพคะ” 

 

 

เหล่านางในที่ตามหลังฮวังควีบีเข้ามาแต่ละคนวางสำรับอาหารไว้บนโต๊ะยาวและถอยหลังกลับไป 

 

 

“พวกนี้คืออะไรงั้นหรือ” 

 

 

“เป็นสิ่งที่หม่อมฉันนำมาจากวังจานยองเพคะ สีสันของมันงดงามเป็นอย่างยิ่ง ไหนๆ ก็มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว หม่อมฉันจึงนำมาให้ฝ่าบาททรงเสวยด้วยเพคะ” 

 

 

“ข้ารู้สึกหิวอยู่พอดีเลย ขอบใจเจ้านะ” 

 

 

“ให้หม่อมฉันรินชาให้ไหมเพคะ” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงจะต้องขอบใจเจ้ากว่าเดิมเสียอีก” 

 

 

ขณะที่ฮวังควีบีกำลังอุ่นอุปกรณ์ชงชา พระราชาก็หันกลับไปมองม้วนกระดาษที่กำลังตรวจสอบอย่างขะมักเขม้นอีกครั้ง แต่พอรู้สึกถึงสายตาของฮวังควีบีที่มองตรงมา เขาก็ก็ปิดมันและดันออกไปข้างๆ ในทันที 

 

 

“ใบหน้าของข้าจะเป็นรูเอานะ” 

 

 

ทั้งการพูดที่ขี้เล่น ทั้งสีหน้าที่มีเอกลักษณ์เวลายิ้ม ยังคงเหมือนเดิมอ เหมือนสมัยที่ยังทรงเยาว์วัย อย่างน้อยก็ในสายตาของฮวังควีบี 

 

 

“หม่อมฉัน…ชอบตอนที่ฝ่าบาททรงใช้คำพูดแบบเป็นกันเองมากกว่าเพคะ” 

 

 

พระราชาเอียงคอและสำรวจมองฮวังควีบีอย่างช้าๆ การพูดความในใจออกมาเป็นการกระทำที่ไม่สมกับเป็นนางเอาเสียเลย 

 

 

“อย่างนั้นหรือ แต่ไม่ว่าจะเป็นนางสนมหรือพระมารดาขององค์รัชทายาท ข้าก็ไม่สามารถใช้คำพูดเป็นกันเองได้หรอก” 

 

 

“แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นไม่ใช่หรือเพคะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้พบกันสองต่อสองอีก โปรดทรงใช้คำพูดอย่างสบายๆ สักหน่อยเถิดเพคะ” 

 

 

“ถ้าฮวังควีบีขอร้องเช่นนั้น ข้าควรที่จะรับฟังสินะ” 

 

 

มือขาวซีดเทน้ำแรกที่อยู่ในถ้วยทิ้งไป แล้วจึงเติมน้ำชาที่ซึมซาบออกมาอย่างงดงามลงไปในถ้วย 

 

 

“ขอบใจนะ อ๊ก” 

 

 

ชื่อที่นางลืมไปแล้วดังออกมาจากปากของทัน ทันใดนั้นฮวังควีบีจึงอมยิ้มออกมาอย่างสดใสซึ่งไม่เคยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้และวางถ้วยหน้าลงตรงหน้าเขา 

 

 

“หม่อมฉันดีใจที่ได้ยินฝ่าบาททรงเรียกเช่นนั้นเพคะ เสวยก่อนที่มันจะเย็นเถิดเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“ข้าเองก็ชอบที่เจ้ายิ้มแบบนั้นนะ” 

 

 

กี่ปีมาแล้วนะ ที่ได้อยู่กับนางสนมซึ่งเหลือเพียงผู้เดียวสองต่อสอง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ยออ๊กก็ยังคงสวยและสง่างามเหมือนเดิม 

 

 

วันที่จัดพิธีเลือกคู่อภิเษกสมรสครั้งที่สาม ทันได้สบตากับแววตาหลักแหลมซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าที่งดงามและรับมุนยออ๊กเข้ามาเป็นพระสนมเอกแทนที่จะให้ออกจากพระราชวัง เพราะแววตานั้นช่างคล้ายคลึงกับหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เขาตกหลุมรักสุดหัวใจเป็นครั้งแรกแต่ไม่สามารถครอบครองได้ 

 

 

นั่นคือจุดเริ่มต้น แต่ไม่นานนักทันก็รู้สึกถึงความรู้สึกอย่างอื่นได้จากยออ๊ก ความเชื่อถือ ความสบายใจและความมั่นคง แทนที่จะใจเต้นจนนอนไม่หลับหรือเป็นความรักและถวิลหาซึ่งทำให้ใจสั่น ทันปลอบประโลมความทรงจำเก่าๆ พร้อมกับจิบชาอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาใส่ปาก ขนมซึ่งมีรสหวานกำลังพอดีละลายไหลลงคอไปอย่างรวดเร็ว ยออ๊กมองภาพนั้นและเรียกทันเบาๆ 

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

“ว่าอย่างไรหรือ ยออ๊ก” 

 

 

“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ที่ตอนนั้นนำยาพิษให้พระสนมเอกยอนเสวย” 

 

 

“ฮวังควีบี!” 

 

 

เสียงของทันที่เรียกนางสูงขึ้นเล็กน้อย มันคือเรื่องที่เขาอุตส่าห์ปิดบังอำพรางไปแล้ว เขาไม่กล้าขับไล่หญิงสาวซึ่งไม่มีที่ไปได้จึงตัดสินใจที่จะปิดบังอำพรางเรื่องนั้น แต่ทำไมถึงมาพูดเอาตอนนี้ ขนมชิ้นที่สองที่เขาหยิบขึ้นมาก่อนที่นางจะพูดเรื่องนั้นร่วงและกลิ้งตกลงไปกับพื้น 

 

 

“ระหว่างทางที่ทรงเสด็จไป… หม่อมฉันจะนำทางไปเองเพคะ” 

 

 

ยออ๊กก้มตัวลงไปที่พื้นและหยิบขนมที่ตกลงไปขึ้นมา ใส่สิ่งที่มือของคนรักสัมผัสเป็นคนสุดท้ายเข้าปากและเคี้ยวมัน ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ลูกชายจะได้ขึ้นครองราชบัลลังก์โดยสวัสดิภาพ และผู้หญิงคนนี้ที่โอบกอดความรักไว้เต็มหัวใจจะได้อยู่กับคู่ชีวิตไปตลอดกาล ยออ๊กอมยิ้มและกุมมือของทันที่ห้อยลงมาอย่างหมดแรงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วพิงลงบนไหล่นั้น 

 

 

 

 

 

* * *