พิธีราชาภิเษก แม้จะไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้งตั้งแต่เกิดแต่ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือพิธีนั้น เหล่าเสนาบดีทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนที่แน่นขนัดเต็มลานด้านหน้าพระราชวังอันกว้างขวาง รวมไปถึงเหล่าข้าราชบริพารนับไม่ถ้วนต่างโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่สิ่งที่รอเขาอยู่ตรงสุดปลายนั้นไม่ใช่ราชบัลลังก์สีทอง
“ถวาบบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ชานผู้สวมมงกุฎเดินมาเรื่อยๆ เมื่อขึ้นมาสุดบันไดที่สูงตระหง่านจึงเห็นรยูฮาที่ยืนอยู่ตรงหน้ายื่นมือมาให้ แสงตะวันส่องสว่างกระทบกับชุดสีขาวและแยงเข้าไปในตาของเขา ช่างเจิดจ้าจนไม่อาจทนไหว ชานคิดเช่นนั้นพร้อมกับหลับตาลงครู่หนึ่งพลางจับกับมือของรยูฮาที่ยื่นมา หรือเป็นเพราะอากาศหนาว จึงรู้สึกถึงความเย็นที่ถูกส่งมาจากมือราวกับแผ่นน้ำแข็งจนเหน็บหนาวไปจนถึงหัวใจ
“พระมเหสี ทำไมมือถึง…”
ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น รยูฮาไม่ได้อยู่ตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่ชานมั่นใจว่าตัวเองกำลังจับมือนั้นอยู่อย่างแน่นอน รยูฮาหายไปและเหลือทิ้งไว้แค่เพียงข้อมือซึ่งมีเลือดหยดลงมาติ๋งๆ
“ทรงพอพระทัยไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”
เด็กชายตัวน้อยที่สูงเท่าเอวของชานเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยรอยยิ้ม แม้ปากจะยิ้มอยู่ แต่ดวงตาสีแดงก่ำนั้นกลับมีน้ำตาเลือดไหลลงมา
“เฮือก!”
หลังของชานที่ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวกระแทกกับอะไรบางอย่างพร้อมกับอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว มันทั้งแข็งทั้งนิ่ม ทั้งเย็นและทั้งร้อน แม้ไม่อยากหันกลับมามองแต่ก็ต้องทำ ชานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ทำจิตใจให้แน่วแน่และในตอนที่กำลังหันกลับไปมองข้างหลังอย่างช้าๆ นั้นเอง
“ทรงพอพระทัยไหมพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงตะโกนซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธสั่นสะเทือนพระราชวัง ฮอนซึ่งอยู่ตรงหน้ามีหน้าตาอัปลักษณ์คล้ายซากศพที่เพิ่งถูกขุดออกมาจากหลุมศพแทนที่จะเป็นสภาพแบบมีชีวิตอยู่ ตรงกลางใบหน้าถูกเผาไหม้จนเกรียม ตรงที่เคยมีดวงตาอันอบอุ่นอยู่กำลังจ้องมองชานด้วยความคับแค้นใจ ข้อมือของรยูฮาที่กำไว้ในมือสะบัดเขาออกก่อนจะบินไปเกาะบนมือของฮอนซึ่งคล้ายกับกิ่งไม้ที่ผุกร่อน ฮอนจับมือนั้นเอาไว้และก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว ต้อนชานให้เข้ามุม
“รยูฮาอยู่ไหนพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนนางมาให้ข้าเถิดเสด็จพี่ นางคือภรรยาของข้า”
“แต่ตอนนี้นางคือภรรยาของข้าแล้ว! นางเป็นพระมเหสีของข้า!”
เสียงของชานซึ่งร้องตะโกนอย่างน่าสมเพชไม่ถูกเปล่งออกมาจากปากและหายไป ตุบ เท้าของชานที่เดินถอยหลังเหยียบอะไรบางอย่างเข้าและสิ่งนั้นก็กลิ้งไปกับพื้น ถ้วยใส่น้ำขนาดเล็กที่ฮอนใช้ขโมยถ่านที่ยังคุอยู่ออกมาในสมัยเด็ก ถ่านซึ่งกระเด็นออกมาจากข้างในนั้นกระเด็นใส่ชายเสื้อคลุมมังกรทองที่ชานสวมอยู่ ก่อนจะลุกไหม้ขึ้นมาในพริบตาราวกับไฟบรรลัยกัลป์
“อ๊ากกก! อ๊าก!”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!”
เสียงผู้หญิงที่ฟังดูร้อนรนพาเขาซึ่งกำลังถูกไฟเผาไหม้ไปทั้งตัวกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง
“แฮ่กๆ”
สายตาของชานซึ่งลืมตาขึ้นมาพร้อมกับหอบหายใจมองเห็นเตียงนอนหรูหราเหมือนปกติอย่างเลือนราง
“ฝันร้ายหรือเพคะ”
“…ขอน้ำหน่อย”
มินอาลงไปล่างเตียง หยิบกาน้ำและรินน้ำลงในถ้วยอย่างช้าๆ ชานจ้องมองแผ่นหลังของนางและเมื่อมินอาเดินมาหาอีกครั้งจึงรับถ้วยใส่น้ำมาพร้อมกับถอนหายใจ
“อ๊ากกก!”
“ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ”
น้ำซึ่งหกออกมาจากถ้วยที่ชานทำร่วงทำให้เกิดรอยเปื้อนสีเข้มบนเครื่องนอนผ้าไหม
“ไฟ ไฟ”
มั่นใจว่ามีไฟอยู่ในนั้นแน่ๆ แต่ทำไมสิ่งที่ตกลงบนผ้าห่มถึงเป็นน้ำไปได้ ชานพึมพำพร้อมกับลุกขึ้นไปยกกาน้ำซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากระดกอึกๆ จนหมด ก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้
“ไปเอาเหล้ามาสิ”
“ฝ่าบาท”
“ตอนนี้ แม้แต่เจ้าก็ยังจะเมินข้าอย่างนั้นรึ!”
เพล้ง กาน้ำที่ชานขว้างทิ้งแตกกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง แต่สีหน้าของมินอาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ทรงบรรทมอีกสักหน่อยเถิดเพคะ หมู่นี้ฝ่าบาทไม่ได้บรรทมจนพระวรกายย่ำแย่แล้วเพคะ”
“เหล้า ต้องดื่มเหล้าก่อนสิ ตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลยรึ! ไปเอาเหล้ามาให้ข้า!”
“อย่าให้เข้ามา! ทุกคนถอยออกไปยี่สิบก้าว!”
“เจ้า!”
ชานขว้างสิ่งที่ถืออยู่ในมือใส่มินอา ในบรรดาสิ่งของที่ถูกขว้างปาไปอย่างมั่วซั่วมีรูปปั้นขนาดเล็กซึ่งทำมาจากทองคำอยู่ด้วย เกิดเสียงหนักๆ ขึ้นพร้อมกันกับเลือดที่ไหลอาบแก้มลงมาจากหน้าผากที่ถูกกระแทก ภาพนั้นทำให้นึกถึงน้ำตาเลือดของฮอนที่อยู่ในฝันของชานเมื่อสักครู่ ชานลุกพรวดขึ้นจับไหล่ของมินอาที่นั่งตัวตรงและเขย่าตัวนาง
“ทำไมถึงไม่หลบล่ะ หลบได้ไม่ใช่รึ! เจ้าจงใจโดนเพื่อหลอกลวงข้าใช่ไหม!”
“หากเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงมอบให้ หม่อมฉันหลบไม่ได้เพคะ แม้ว่าจะเป็นดาบก็ตาม เพราะนั่นคืองานของหม่อมฉันเพคะ”
เสียงราบเรียบของมินอาเหมือนกับปกติเหนี่ยวรั้งชานไว้ได้อย่างแปลกประหลาด เขายิ้มอย่างหดหู่พร้อมกับเช็ดเลือดซึ่งไหลลงมาด้วยแขนเสื้อ ก่อนจะพิงหน้าผากอันเหนื่อยล้าลงบนไหล่ของมินอา
“มินอา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่”
แม้จะเป็นประโยคซึ่งละประธาน แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าคนที่ชานพูดถึงคือใคร ควรจะตอบว่าอย่างไรดี มินอาลังเลระหว่างโกหกกับความจริง แล้วจึงค่อยๆ ขยับปากขึ้น ในตอนนั้นเอง
“องค์รัชทายาท!”
ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาราวกับจะพังประตูและตะโกนด้วยความรีบร้อน ชานจึงทำท่าทางไม่พอใจและหันไปมองเขาในทันที
“มีเรื่องอะไร”
“ฝ่าบาท พระราชา…ทรงเสด็จสวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สมองที่เย็นราวกับน้ำแข็งไม่ยอมรับคำพูดได้ที่ยินเมื่อสักครู่ได้อย่างง่ายดาย แต่การกระทำย่อมเร็วกว่าหัว สถานที่ที่เขารีบวิ่งตามขันทีออกไปคือห้องทรงงาน ห้องทรงงานนั้นที่ชานเพิ่งจะปักมีดลงบนหน้าอกของผู้เป็นพ่อเมื่อไม่นานมานี้
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่”
นี่คือฝันร้าย มันคงจะเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ความคาดหวังสุดท้ายกลับพังย่อยยับเพราะอุณหภูมิร่างกายที่เย็นเฉียบซึ่งสัมผัสได้จากปลายนิ้ว ตายแล้ว ทั้งพ่อ ทั้งแม่ พร้อมกับมีดที่ชานปักลงบนหน้าอก ฝันร้ายที่น่ากลัวกว่าความจริงไม่มีอยู่บนโลกใบนี้
พระราชพิธีพระศพ ทั้งขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือน ราษฎร แม้กระทั่งทาสชั้นต่ำต่างละมือจากงานที่ตนทำอยู่และสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว เวลาห้าวันในประเทศเหมือนถูกหยุดลงเพื่อรอคอยให้ดวงวิญญาณของพระราชาซึ่งออกจากร่างไปหวนคืนมา ผู้ใกล้ชิดซึ่งคอยดูแลพระราชาในขณะที่ยังคงมีพระชมน์ชีพอยู่นั่งรวมตัวกันอยู่ตรงด้านหน้าเตียงบรรทมซึ่งมีร่างของพระราชานอนอยู่ราวกับกำลังหลับใหล และข้างหน้าสุดนั้นมีชานและรยูฮานั่งอยู่เคียงข้างกัน
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท”
พระพันปีซึ่งแก่ลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาไม่กี่เดือนมองดูพระพักตร์ที่ซีดเซียวพร้อมกับกระซิบ แต่เปลือกตาที่ปิดสนิทก็ไม่แม้แต่จะขยับ ทั้งในตอนที่หยดน้ำตาไหลผ่านริ้วรอยลงไปอย่างเงียบๆ และหยดลงบนนั้น ความโศกเศร้าของพระพันปีนั้นช่างเงียบเชียบไร้สุ่มเสียง เหล่าข้าราชบริพารจึงเบือนหน้าหนีเพราะไม่สามารถทนดูภาพที่เศร้าโศกเช่นนั้นได้ต่างร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังแทนนาง
“ทุกคนออกไปซะ”
เสียงของรยูฮาตะโกนแทรกเสียงร้องไห้คร่ำครวญซึ่งดังระงมไปทั่วห้องบรรทมขึ้นมา จึงเหลือเพียงแค่ชานที่นั่งอยู่เพียงลำพังเมื่อทุกคนออกไปกันหมดแล้ว รยูฮาลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปยังห้องบรรทมและโอบกอดไหล่ที่สั่นเทาของหญิงชรา
“ทรงกรรแสงออกมาเถิดเพคะเสด็จย่า สตรีของราชวงศ์มีบาปอะไรกันเพคะถึงไม่สามารถกันแสงได้ แม้ว่าบุตรของตนเองจะจากไปก่อนก็ตาม ทรงกรรแสงเถิดเพคะ เสด็จย่าทรงมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นมากกว่าผู้ใดนะเพคะ”
ศักดิ์ศรีและความมีเกียรติที่ผูกมัดพระพันปีมาตลอดชีวิตถูกสะบั้นลง ในตอนนั้นเองนางจึงได้เริ่มร้องไห้รำพันอย่างโศกเศร้า มืออันแห้งเ**่ยวลูบใบหน้าของลูกชายที่ไม่สามารถสัมผัสได้และไม่สามารถมองดูอย่างเต็มที่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะดึงเขาเข้ามากอดในอ้อมอก ร้องไห้คร่ำครวญให้กับลูกชายซึ่งด่วนจากไปเสียก่อนด้วยเสียงอันแหบแห้งระคนด้วยความโศกเศร้า
“ฝ่าบาท ลืมตาขึ้นมาสิ เจ้ารีบอะไรเช่นนั้นถึงได้ด่วนจากแม่คนนี้ไปก่อนเล่า หากตั้งใจจะไปก็พาแม่คนนี้ไปด้วยเถิด ไม่น่าเลย ลูกชายของข้า ลูกชายผู้น่าสงสารของข้า…”
ชานที่หมอบกราบอยู่กับพื้นซุกใบหน้าลงกับแขน ร้องไห้ออกมาจนเปียกชุดไว้ทุกข์สีขาว ในตอนนั้นเองชานจึงได้รู้ว่าตนรักท่านทั้งสองสุดหัวใจ
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่…”