บทที่ 397
ความตื่นตระหนก
“แล้วยังไง?! เจ้าคิดว่าข้าแข็งแกร่งไม่พอจนต้องไปเอาใจกรรมการงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามออกมาอย่างเย็นชา
สีหน้าของโม่เสี่ยวหลิงแวบประกายตื่นตระหนก สายตาเป็นกังวลอย่างมาก “นายท่านข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฝีมือของนายท่านเราทุกคนต่างก็ได้เห็นกันแล้ว ในโลกนี้ข้าเกรงว่าคงจะมีแค่ไม่กี่คนที่จะสู้กับท่านได้ ถึงท่านไม่ชอบแต่ท่านก็ต้องกินข้าวใช่ไหม?” หลังจากที่พูดจบ เธอก็มองไปที่หน้าของเฟิงจือหลิงอย่างระวัง
อันที่จริงกรรมการที่มาวันนี้ก็แค่กรรมการที่คอยดูอยู่ข้างสนาม ไม่ใช่กรรมการการตัดสินจริงๆ การพูดถึงกรรมการก็แค่เพื่อที่จะสร้างความประทับใจเล็กน้อยเพราะพวกเธอไม่มีเรื่องพิเศษอะไรที่จะเอามาพูด
ยังไงซะนี่ก็เป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ใครๆก็อยากที่จะมาเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันทั้งนั้น
“ไม่ ไม่ต้อง ข้าหวังว่าจะไม่ถูกเจ้ามารบกวนอีกนะ” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเย็นชา
โม่เสี่ยวหลิวแวบประกายผิดหวัง “แต่ท่านก็ยังต้องกินนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านฝึกตนมาสูงแต่สุขภาพก็เป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกันนะเจ้าคะ ยังไงซะท่านก็ยังต้องเข้าร่วมการคัดตัวด้วย ข้าเป็นห่วงท่านนะ”
“ข้าจำได้ว่าตอนที่จะให้ข้าเข้ามาพัก ข้าบอกว่า “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามารบกวนข้า” ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ข้าจะไปหาที่พักอื่น” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินว่าเฟิงจือหลิงจะออกไปพักที่อื่น สีหน้าของ โม่เสี่ยวเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบพูดออกมาด้วยความกังวล “ไม่ ไม่ ข้าขอโทษ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว เชิญท่านพักผ่อนตามสบาย”
เฟิงจือหลิงเพียงแค่พยักหน้าอย่างเย็นชาแล้วจึงรีบปิดประตู
โม่เสี่ยวหลิงที่ยังเดินวนอยู่นอกประตู รู้ว่าเฟิงจือหลิงเย็นชาอย่างมากแต่เธอก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่ซ้ำๆและรู้สึกเศร้าอย่างมากด้วย อีกอย่างเธอก็เป็นท่านหญิงของที่นี่และได้รับการเอาใจจากสาวใช้นับพันด้วย
ถ้าไม่ได้ดีที่สุดเธอก็จะไม่เลือก เธอไม่เคยสนใจพวกผู้ชายที่เคยมาห้อมล้อมเธอเลย เธอรู้สึกว่าพวกเขาก็เป็นแค่คนต่ำช้า พวกเขาก็ต้องการเพียงแค่ความงามของเธอและสถานะของท่านพ่อเท่านั้น
บางทีอาจจะมีพวกเขาคนหรือสองคนที่จริงใจแต่แล้วไง ยังไงซะเธอก็ไม่ใจอ่อนหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอปฏิบัติกับผู้ชายอย่างตั้งใจต่อให้เขาจะเย็นชากับเธอทุกครั้งก็ตาม เธอก็ยังจะชอบเขา อีกอย่างนี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงที่ความงามและไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก เธอชอบคนแบบนี้อย่างมากจริงๆ
เขาทั้งหล่อ ความสามารถก็อันดับหนึ่งและเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง เธอคิดว่าเขาคู่ควรกับเธอที่สุดแล้ว
อีกอย่างจ้าวไห่เองก็แอบบอกกับเธอว่ามีไม่กี่คนในโลกที่สามารถเอาชนะเขาได้ แถมเขาก็ยังหนุ่มและยังมีอนาคตอีกไกล แค่ดินแดนเล็กๆแบบนี้ขังความสามารถของเขาไม่ได้หรอก เขาถูกกำหนดให้ขึ้นไปสูงกว่านี้อีก
แต่ก่อนเธอก็แค่อยากที่จะครองโลกแต่ตอนนี้เธออยากที่จะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ เธอหวังให้ตัวเองมีคุณสมบัติคู่ควรที่จะอยู่ข้างกายเขา บางทีความสามารถของเธออาจจะไม่เก่งเท่าเขาแต่เธอก็พร้อมที่จะพยายามอย่างหนักตราบใดที่มันจะทำให้เขาหันกลับมามองเธอบ้าง
ถึงแม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เธอจะพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มตำแหน่งของเธอในใจของเขา สักวันเขาจะได้เห็นความดีของเธอ
ต้องบอกว่าโม่เสี่ยวหลิงคู่ควรกับการเป็นดอกไม้อยู่ในเรือนกระจก เธอได้รับการปกป้องอย่างดีจากท่านพ่อของเธอและมีจินตนาการถึงความรักได้ดีเช่นกัน
ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “อยากได้แต่ไม่ได้” อยู่ด้วยเหมือนกันและโม่เสี่ยวหลิงก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนนั้นที่ไม่ได้เพราะเฟิงจือหลิงมีมู่หรงเสวี่ยแล้วและจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปตลอดชีวิต
โม่เสี่ยวหลิงมองไปที่ประตูของเฟิงจือหลิง ยืนจ้องอยู่นานแต่ก็ยังไม่เห็นเฟิงจือหลิงจะเปิดประตูจึงทำได้เพียงเดินจากไปอย่างผิดหวัง
เธอคิดว่าบางทีเขาอาจจะกำลังเตรียมตัวที่จะฝึกตนแล้วเธอไปรบกวนเขา เขาก็เลยไม่พอใจ ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นมาอยู่ในระดับสูงขนาดนี้ด้วยอายุที่ยังน้อยโดยไร้ซึ่งความพยายาม
ยิ่งเธอคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนรู้จากเฟิงจือหลิง เธอเองก็ต้องฝึกอย่างหนักเช่นกันเพื่อที่จะได้ตามเขาให้ทันโดยเร็วที่สุด
เฟิงจือหลิงรับรู้เรื่องที่อยู่ด้านนอกประตูและรู้สึกอยากที่จะอาเจียน เขาค่อยๆหยิบกำไลขึ้นมาแล้วพูดอย่างอ่อนโยนไปที่กำไล “เสี่ยวเสวี่ย ออกมาได้แล้ว!”
วินาทีต่อมามู่หรงก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้สีผมของเธอกลับไปเป็นสีดำแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะทำให้มันกลับเป็นเหมือนเดิม
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะออกมาเบาๆ “ดุเหมือนเราจะไม่ได้เจอกันมาตั้งพันกว่าปีแต่ในความคิดข้าเจ้าก็ดูสบายดีนะ ถึงขนาดมีสาวงามมาคอยเป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้ด้วย ดูเหมือนว่าเดือนหนึ่งที่ข้าหายไปเจ้าจะอยู่ดีสบายเลยใช่ไหม?” ในน้ำเสียงมีความหึงอยู่เล็กน้อย
เธอผลักเฟิงจือหลิงไปเบาๆแล้วก็เดินไปนั่นที่เก้าอี้ที่อยู่อีกด้านพร้อมทั้งรินชาให้ตัวเองและยกขึ้นมาดื่มอย่างขี้เกียจ เธอไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่เฟิงจือหลิงกลับรู้สึกกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก
“เสี่ยวเสวี่ย ข้าเปล่านะ ข้าไม่ได้สนใจนางเลยสักนิด อีกอย่างเจ้าก็รู้ว่าในสายตาข้าไม่มีหญิงอื่นนอกจากเจ้า” เฟิงจือหลิงนั่งตรงข้ามมู่หรงเสวี่ยอย่างกังวลพร้อมทั้งรีบอธิบายออกมา
“ฮึ!” มู่หรงเสวี่ยพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา พร้อมทั้งแสดงท่าทางออกมาอย่างชัดเจน
เฟิงจือหลิงมองไปที่เธออย่างงงๆ ไม่เจอกันแค่เพียงไม่นานแต่มุ่หรงเสวี่ยกลับดูสวยขึ้นมาก ใบหน้ารูปไข่ คิ้วและตาที่ได้รูป ผมดำขลับราวสายน้ำ ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบราวกับเป็นผลงานแกะสลัก จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากแดงระเรื่อ ทุกอย่างดูช่างงดงามจนยากที่จะหายใจได้เลย
“เสี่ยวเสวี่ย เจ้าไม่เชื่อข้างั้นเหรอ?” หัวใจเขาหนักอึ้ง เขาคงทนไม่ได้ถ้าเสี่ยวเสวี่ยต้องเข้าใจเขาผิด
มุ่หรงเสวี่ยหัวเราะ “โง่น่า ข้าแค่หลอกเจ้าเล่น แน่นอนสิว่าข้าต้องเชื่อเจ้า!” หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันมานานเธอก็เชื่อเขาจนหมดใจ ถ้าเธอไม่เชื่อเขางั้นสวรรค์ก็คงจะเศร้าน่าดู เฟิงจือหลิงเป็นคนที่จริงใจที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาเลย
เมื่อเทียบกับฟางฉีฮัวที่เธอได้เจอในชีวิตที่แล้ว เธอคิดว่าเขาดีกว่ามากเลยจริงๆ แค่ไม่รู้ว่าทำไมถึงแม้จะบอกว่าพวกเธอสองคนเป็นคนรักกันแต่เธอก็มักจะรู้สึกแปลกๆเสมอ ราวกับว่ามีเรื่องที่สำคัญมากที่เธอลืมไปและมันก็สำคัญมากๆแต่ช่วงนี้เธอเองก็เห็นเพียงแค่ร่างที่รางเลือน ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่สักวันเธอจะต้องจำเรื่องทั้งหมดได้ เพียงแค่ว่าเธอรู้สึกผิดกับเฟิงจือหลิงอยู่นิดหน่อยเสมอ บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอเคยเจ็บมากเลยไม่อาจที่จะรักได้อีกครั้งล่ะมั้ง เธอคิดว่าเป็นแบบนั้น
แต่เธอคิดว่าถ้าเฟิงจือหลิงชอบเธอจริงๆ พวกเธอก็สามารถที่จะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวไปได้ตลอดชั่วชีวิต ปล่อยให้มันเป็นไป กับคนที่จริงใจเธอไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขา งั้นมันจะต้องดีแบบนี้ต่อไป อย่างน้อยก็ไม่มีอันตราย อย่างน้อยก็จะได้มีความสุขไปตลอด เรียบง่ายและสวยงาม นี่คือสิ่งที่เธอต้องการในชีวิตที่แล้ว
“แค่เชื่อใจ เสี่ยวเสวี่ย เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ?” เฟิงจือหลิงมองมุ่หรงเสวี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าปลอดภัยดี ในนั้นก็แค่การฝึกตน ว่าแต่เหลืออีกแค่ไม่กี่วันก็จะถึงวันประเมินแล้ว” เวลาในมิติลับแตกต่างจากโลกข้างนอกและเธอก็หลับไปนานมากจนลืมเวลาไปเลย
“มีเวลาอีกอาทิตย์หนึ่ง อาทิตย์นี้ข้าไปลงทะเบียนไว้แล้ว แล้วค่อยไปทำความคุ้นเคยกับสนามแล้วก็อื่นๆ” เฟิงจือหลิงพูดเรื่องที่เขาได้ฟังมาพร้อมทั้งสังเกตท่าทางของมู่หรงเสวี่ยไปด้วยในระหว่างที่พูด
มุ่หรงเสวี่ยพยักหน้า หลักๆก็รางวัลส่วนเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแต่จากระดับการฝึกตนของพวกเธอในตอนนี้ก็น่าที่จะชนะการแข่งขันได้ไม่ยาก
“ที่นี่ที่ไหนเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆห้องและเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ในห้องไม่เหมือนกับโรงแรมดังนั้นนี่ก็น่าจะเป็นบ้านที่ซื้อมา
เธอรู้จักเฟิงจือหลิงดี เขาไม่ใช่คนที่จะซื้อบ้านอย่างแน่นอน ยังไงซะพวกเธอก็จะไม่อยู่ที่นี่นาน เป้าหมายก็เพื่อที่จะไปจากที่นี่
“ที่นี่เป็นบ้านของชายที่ข้าช่วยไว้ระหว่างทางเพราะโรงแรมคนจองเต็มไปหมดแล้วก็เลย…” ตอนที่เธอพูดถึงที่นี่ เฟิงจือหลิงก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างกังวล กลัวว่าเธอจะคิดมากเรื่องโม่เสี่ยวหลิง
“ฟิ้ว” มู่หรงเสวี่ยพ่นลมออกมาพร้อมรอยยิ้มที่สดใส “จือหลิง เจ้าทำราวกับว่าข้าเป็นเสือที่พร้อมจะกินคน ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เฟิงจือหลิงหันหน้าไปทางอื่นแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ใช่เสือ เสือไม่สวยเหมือนกับเจ้า”
“อะไรนะ เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” มู่หรงได้ยินไม่ชัด เขาแค่พึมพำเสียงเบา ท่าทางของเขาก็ดูอึกอัก
เฟิงจือหลิงส่ายหัว “เปล่า คงเป็นเพราะข้าห่วงความรู้สึกเจ้ามากไง”
มู่หรงเสวี่ยหุบยิ้ม เฟิงจือหลิงห่วงความรู้สึกเธอมากกว่าที่เธอคิดไว้มาก ความรู้สึกแบบนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ถึงแม้เธอเองก็ชอบเขาแต่เห็นได้ชัดว่าระดับความรู้สึกของทั้งสองคนไม่เท่ากัน
“จือหลิง ข้าดีจริงๆงั้นเหรอ?! อันที่จริงข้ามีข้อบกพร่องมากมาย ข้าเป็นคนที่เอาแต่ใจมากๆ ข้าจะทำอย่างที่ตัวเองชอบ โดยบางครั้งก็ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น ข้าไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”
“เสี่ยวเสวี่ย เจ้าหมายความว่าไง?!” เขารู้สึกประหลาดใจและในหัวใจก็เกิดความตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูก
ความรู้สึกตื่นตระหนกนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นวันหรือสองวันแต่เมื่อความทรงจำของเธอเริ่มที่จะค่อยๆกลับมา เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆว่าเขาจะต้องเสียเธอไป ตลอดกาล
เขาไม่รู้ว่าถ้าถึงตอนนั้นเขาจะทำยังไง?! ถ้าเธอมองเขาด้วยสายตารังเกียจ เขาจะทำยังไง?!
ตอนนี้แค่คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เขารับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เขาคงจะปวดใจจนตาย
“จือหลิง อย่ากังวลมากขนาดนั้นสิ ข้าไม่ได้หมายความถึงอะไรเลยจริงๆ ข้าแค่รู้สึกว่าช่วงนี้ดูเจ้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี” นานแล้วก่อนที่เธอจะเข้าไปในมิติลับ เธอก็รู้สึกว่าเฟิงจือหลิงมักจะมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มุ่หรงเสวี่ยจึงถามออกไป “จือหลิง เจ้าปิดบังอะไรข้าอยู่หรือเปล่า?” มู่หรงถามออกไปอย่างจริงจัง
เฟิงจือหลิงยกมือขึ้นด้วยความตื่นตระหนกจนบังเอิญชนเข้ากับถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ เขาเก็บถ้วยชาอย่างลนลานแต่ก็ไม่อาจที่จะเก็บซ้อนสีหน้าที่ซีดเผือดได้ เขาจะสงบใจไม่ให้ตื่นตระหนกได้ยังไง