บทที่ 398 งานเลี้ยง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 398

งานเลี้ยง

มู่หรงยิ่งรู้สึกมากขึ้นไปอีกว่าเฟิงจือหลิงมีเรื่องปิดบังเธออยู่ ไม่งั้นคงไม่มีท่าทีแบบนี้หรอก

“จือหลิง เจ้าเป็นอะไร?! มีเรื่องอะไรที่ข้ารู้ไม่ได้งั้นเหรอ?” มู่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามออกไปเสียงเบา

เฟิงจือหลิงฝืนยิ้ม “ไม่มีอะไรจริงๆ ข้าก็แค่ไม่ได้เจอเจ้ามานานมากก็เลยตื่นเต้นเกินไป” ตอนที่พูดสายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหว เขาโกหกเสี่ยวเสวี่ยไม่ได้

เมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่พวกเขาได้ใช้ด้วยกันมา ตั้งแต่ต้นตอนที่เธอปลอมเป็นผู้ชายแล้วหัวใจเขาก็ค่อยๆถูกเปิดออกทีละน้อยจนตอนนี้เขาก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

บางครั้งเธอก็ไม่มีเหตุผล บางครั้งก็เอาแต่ใจมากๆ บางครั้งก็อ่อนโยนแถมเธอก็ยังมีคนที่รักอยู่แล้ว แต่คนคนนั้นไม่ใช่เขา ตอนนี้เป็นแค่ช่วงเวลาที่เขาขโมยมาและช่วงเวลานี้ก็อาจจะหายไปได้ทุกเมื่อ

แล้วแบบนี้เขาจะกล้าเปิดปากอธิบายได้ยังไง มีแต่จะทำให้ช่วงเวลามันสั้นลงไปอีก เขาพูดไม่ได้หรอกและก็ไม่อยากพูดด้วย ถ้าเขาทำได้ก็อยากที่จะให้เป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตที่เธอจะไม่รู้ด้านมืดและสกปรกของเขา

ในสายตาของเธอไม่มีความรัก เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอเพียงแค่รู้สึกสงสารเขาแต่เขาก็ไม่สนใจ ตราบใดที่เธอยังอยู่ข้างกายเขา น่าเสียดายที่ของที่ขโมยมาไม่ใช่ของเขา

สีหน้าของเฟิงจือหลิงบิดเบี้ยว ความตื่นตระหนกในหัวใจกดเขาไว้ตลอดเวลา เขาหายใจไม่ออก แล้วเขาก็ยังกังวลอย่างมากด้วย ที่คิ้วของเขาจะมีร่องรอยความเศร้าอยู่จางๆเสมอซึ่งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้

เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก เธอยื่นมือไปจับที่ชีพจรของเฟิงจือหลิง เขาไม่ยอมบอกว่าเป็นเพราะร่างกายหรือว่าการฝึกตนที่เป็นปัญหา

มือเฟิงจือหลิงสั่นเทิ้มอยู่ชั่วครู่ ความห่วงใยของเธอเป็นดั่งพิษร้ายแรงสำหรับเขา แล้วเขาจะยอมแพ้ได้ยังไง

นิ้วของเธอเย็นอยู่เล็กน้อย สายตาของเธอก็ดูจริงจังมาก ใบหน้าน่ารักที่ดูงดงามเหลือเกิน

เฟิงจือหลิงยื่นมือออกไปอย่างหลงใหลแล้วแตะไปที่วงหน้าที่ขาวนวลของมู่หรงเสวี่ยแต่ดูเหมือนเขาจะได้สติจึงรีบดึงมือตัวเองกลับมา เขาจะคู่ควรไปแตะเธอได้ยังไง? เขารู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไป เขาจะทำยังไงดี?

ถ้ามู่หรงฟื้นความทรงจำมาได้ เธอจะไม่พอใจเขาหรือเปล่า?! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นเฟิงจือหลิงก็นึกถึงบางเรื่องที่เลวร้ายขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด เขาจับมือมู่หรงเสวี่ยอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเสวี่ย!”

มู่หรงยังตรวจอาการร่างกายของเขาอยู่แล้วจู่ๆเธอก็ต้องตกใจกับท่าทางของเขาแล้วจึงพึมพำออกมา “มีอะไรเหรอ?” เขาสีหน้าไม่ดีเท่าไรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องทำให้เขากลัวมาก เมื่อกี้ตอนที่เธอตรวจอาการเขามันก็ยังปกติดีอยู่เลย เธอคิดว่าตัวเองพลาดอะไรไปแล้วเธอก็พยายามหาอย่างจริงจังอยู่หลายครั้ง

“ถ้าเจ้าเจออะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับข้า เจ้าต้องโทษทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง” เฟิงจือหลิงพูดอย่างจริงจัง

เขาลืมไปได้ยังไงว่าถ้าเธอยังมีคนรักอยู่งั้นการมาอยู่กับเขาก็เป็นการทรยศคนรักของเธอน่ะสิ ถ้าเธอฟื้นความทรงจำได้ เธอก็คงจะทนไม่ได้แล้วก็ต้องอยู่กับการกล่าวโทษตัวเอง

เขามันเลวจริงๆ เขาทำแบบนี้เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้ยังไง

มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เธอนึกถึงเรื่องอะไรที่จะทำให้ เฟิงจือหลิงตื่นตระหนกขนาดนี้ในช่วงก่อนสองเดือนที่ผ่านมาไม่ออกเลย เขาเอาแต่ย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่าเขาเป็นคนผิด

เธอถอนหายใจเบาๆแล้วก็จับไปที่มือเฟิงจือหลิงและพูดออกมา “จือหลิง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าเชื่อว่าเจ้าก็ยังเป็นเจ้า ต่อให้เจ้าจะทำเรื่องที่ผิด ข้าก็เชื่อว่าเจ้าต้องมีเหตุผล ข้าจะไม่หนีไปเพราะเรื่องอะไรทั้งนั้น และก็หวังว่าเจ้าจะไม่ด้วย โอเคไหม?” ไม่ว่าจะเป็นการทรยศที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่เธอต้องทุกข์ทรมานในชีวิตที่แล้วไม่ได้หรอก

เธอไม่เข้าใจ เธอจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำอะไรลงไป? ดวงตาของเฟิงจือหลิงแดงระเรื่อ ความรู้สึกผิดที่แรงกล้าพุ่งขึ้นมา เขา…!

ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่เข้าใจอีก? เขามันงี่เง่า

เฟิงจือหลิงเงยหน้าขึ้นมาและเปิดปาก ยังไงซะเขาก็ยังพูดไม่ได้ “ข้าขอโทษ!”

มู่หรงเงียบไปและก็รู้ได้เลยว่าเฟิงจือหลิงต้องทำเรื่องอะไรไว้ ตอนนี้ก็เลยขอโทษออกมา

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาไม่อยากที่จะพูดและเธอก็ไม่อยากที่จะบังคับเขา

มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้น “ข้าจะออกไปเดินเล่น ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้วงั้นก็ช่างมันเถอะ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องอะไร ถ้าเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่บังคับ แค่อย่าโทษตัวเอง การโทษตัวเองไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงวันนั้นข้าจะเป็นคนตัดสินด้วยตัวเอง เจ้าสบายใจได้เลยว่าเชื่อตัวเองมากกว่าคนอื่น” เธอพูดประโยคนี้กับเฟิงจือหลิงแล้วก็กับตัวเองด้วย

ไม่มีอะไรที่ก้าวข้ามไม่ได้ เมื่อถึงเวลาก็แค่พุ่งเข้าใส่ โดยเฉพาะเมื่อเธอได้ประสบพบเจอกับทั้งสองช่วงชีวิต ต่อให้ยังเหลือความทรงจำแต่มันก็ไม่สำคัญ เธอยังรอดมาได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ร่างของเฟิงจือหลิงสั่นเทิ้มอยู่สักพัก คำพูดของมู่หรงช่วยปลอบโยนเขาและทำให้เขาสบายใจขึ้นมากด้วย

“เจ้าพักเถอะ ข้าไม่ได้ออกไปข้างนอกซะนานเลยจะออกไปเดินคนเดียวหน่อย” มุ่หรงพูดเสียงเรียบ

เฟิงจือหลิงลุกขึ้นมาทันที “ข้าจะไปกับเจ้า!”

“ไม่ต้อง ข้าอยากจะอยู่เงียบๆคนเดียว” อันที่จริงเหตุผลหลักก็เพราะเวลาอยู่ข้างเธอเฟิงจือหลิงกังวลเกินไปจนเธออดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความขอโทษและรู้สึกผิดอยู่ในสายตา ตอนนี้เธอยังนึกไม่ออกจริงๆว่าเฟิงจือหลิงจะทำอะไรที่เป็นการทำร้ายเธอ นอกจากการที่บอกว่าเขาทำเรื่องไม่ดี โดยที่มู่หรงเสวี่ยสงสัยว่าเขาอาจจะรู้สึกว่าตัวเองยังทำไม่ดีพอก็เลยโทษตัวเองหรือเปล่า

ไม่ใช่ว่าเธอต้องการอะไรเพิ่ม เฟิงจือหลิงเป็นคนแบบนั้นเอง เธอดูเย็นชาแต่เธอไม่มีเจตนาอะไร เพราะงั้นเธอจึงอ่อนโยนกับเขา

เฟิงจือหลิงนิ่งอยู่กับที่ ร่างของมู่หรงค่อยๆเดินออกไปจนหายไปจากสายตา อย่างที่เสี่ยวเสวี่ยพูด เขาเองก็รู้ดีว่าช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี เขาอยากที่จะสารภาพกับเธออยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่กล้า

อาการข้างนอกดีมาก เพราะใกล้จะค่ำแล้ว ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าไปอย่างเกียจคร้านจึงยังเหลือความอบอุ่นอยู่

ผมดำขลับของมู่หรงเสวี่ยพลิ้วไสวยิ่งช่วยขับใบหน้าของเธอให้ดูสมบูรณ์แบบราวกับงานแกะสลัก จมูกที่โด่งได้รูป ริมฝีปากแดงระเรื่อ ผิวที่ขาวเนียนและรูปร่างที่สวยงามสะท้อนอยู่ในสายตาของคนที่ผ่านไปมาจนคิดว่าเป็นนางฟ้าที่ร่วงลงมายังโลก เธอมองดูดอกไม้และต้นไม้ข้างทางไปเรื่อย รอยยิ้มที่มุมปากของเธอทำให้ผู้คนยากที่จะละสายตาไปจากภาพที่สวยงามนี้ได้

ผู้คนที่ผ่านไปมาแทบหยุดหายใจเพราะกลัวว่าลมหายใจจะทำให้นางฟ้ากลัวจนต้องหนีไป

มู่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าที่นี่จะมีคนมากมายขนาดนี้ เธอเพียงแค่อยากที่จะออกมาเดินเล่นเฉยๆ

และเมื่อมองไปที่สายตาของคนอื่นๆ เธอก็รีบหันหลังกลับและเดินไปทางประตูทันที ยังไงซะที่นี่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่โรงแรมแต่เหมือนกับเป็นบ้านคนมากกว่า และเธอก็ไม่รู้จักเจ้าของบ้านด้วย

คิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อยของมู่หรงเสวี่ยทำให้ผู้คนกลัวมาได้สติ แน่นอนว่ามีคนที่ดูจะไม่ค่อยพอใจอยู่ด้วยนั่นก็คือ โม่เสี่ยวหลิง

ที่นี่เป็นบ้านของเธอ แล้วเธอจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเธอเชิญใครมากเป็นแขกบ้าง แล้วเธอก็เดินเข้ามาพร้อมทั้งพูดว่า “นี่ เจ้าเป็นใคร?”

มู่หรงมองไปที่เด็กสาวที่เดินเข้ามา ชุดสีเขียวอ่อนของนางดูหรูหราพร้อมด้วยใบหน้าที่สวยยิ่งทำให้ดูน่ารักมากขึ้นไปอีก ถ้าสีหน้าของนางไม่ดูดุดันก็คงจะดีกว่านี้

อย่างไรก็ตามมู่หรงรู้ว่านางเป็นใคร ตอนที่เธอเข้าไปในมิติลับ เธอเห็นเฟิงจือหลิงคุยอยู่กับนาง ดูเหมือนว่านางจะเป็นท่านหญิงคนนั้น

“จือหลิงกับข้าอยู่ทีมเดียวกัน” มู่หรงตอบเสียงเรียบ

“จือหลิงเหรอ?” โม่เสี่ยวหลิวกัดริมฝีปาก เรื่องชื่อพี่เฟิงอย่างสนิทสนมเชียว ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและไม่พอใจ “เจ้าเป็นอะไรกับพี่เฟิง?”

ในตอนนี้จ้าวไห่เองก็เดินออกมาด้วย เขารู้สึกแย่เมื่อได้ยินเธอพูดไม่ดีกับเพื่อนของท่านเฟิง

ท่านหญิงของเขาต้องไม่ดูถูกคนอื่น อีกอย่างผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็งดงามมากและท่าทางของเธอก็ยังไม่ชัดเจนด้วย เขาเกรงว่าต้องเกี่ยวข้องกับท่านเฟิงอย่างแน่นอน

มู่หรงเผยรอยยิ้มและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าต้องรายงานความสัมพันธ์ของเรากับเจ้าด้วยงั้นเหรอ?! ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด จือหลิงไม่ได้ติดหนี้อะไรเจ้านี่”

ก่อนที่โม่เสี่ยวหลิงจะได้พูดอะไร จ้าวไห่ก็รีบเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทันที “ ท่านจะมาร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ด้วยหรือเปล่า?”

โม่เสี่ยวหลิงโกรธมากจนถึงกับเบิกตากว้าง “จ้าวไห่ เจ้าพูดเรื่องอะไร? ทำไมต้องเชิญนางมางานเลี้ยงของเราด้วย? อีกอย่างใครจะรู้ว่านางรู้จักกับพี่เฟิงจริงหรือเปล่า บางทีนางอาจจะโกหกก็ได้” ที่สำคัญที่สุดคือมู่หรงเสวี่ยสวยมากจนเธอรู้สึกเป็นภัย

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่เฟิงถึงไม่เคยสนใจเธอเลย เป็นเพราะมีผู้หญิงสวยขนาดนี้อยู่ข้างกาย แล้วแบบนี้จะหันมาสนใจเธอได้ยังไงกัน? เธอมีแผนที่จะสู้เคียงข้างกับเขาไปตลอดชีวิตของเธอ ไม่ว่าใครก็มาขวางทางเธอไม่ได้ เธอไม่ยอมแพ้หรอก

“ท่านหญิง ท่านลืมเรื่องอารมณ์ของท่านเฟิงไปแล้วงั้นเหรอ?” จ้าวไห่ยิ้มอย่างกังวลไปที่มู่หรงเสวี่ยแล้วหันมากระซิบกับโม่เสี่ยวหลิง

โม่เสี่ยวหลิงรีบลบความอิจฉาออกไปจากหัวทันที

“หลบไปให้พ้นทาง” โม่เสี่ยวหลิงผลักจ้าวไห่แล้วหันมาพูดกับมู่หรงเสวี่ยอย่างมาพอใจ “บ้านข้าไม่ต้อนรับเจ้า งั้นเจ้าก็ออกไปได้แล้ว”

ในตอนนี้เสียงซุบซิบเริ่มที่จะกระจายตัว

“ผู้หญิงสวยๆที่เดินมาเมื่อกี้เป็นใครกัน?”

“ข้าก็ไม่รู้ ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับเรื่องผู้ชายนะ คงเป็นเรื่องผู้หญิงสองคนแย่งผู้ชายคนเดียวกันน่ะแหละ”

“อย่ามานินทาอะไรแบบนี้ที่นี่สิ”

“ว่าแต่ข้า เจ้าก็เหมือนกันแหละ มัวแต่มองความสวยของคนอื่นจะตาแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว”

“งดงามเหลือเกิน ถ้าข้าได้คุยกับนางคงจะน่าพอใจอย่างมาก”

“…”

คืนนี้มีคนมากมายที่ได้รับเชิญให้มาบ้านตระกูลโม่ ทุกคนต่างก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง ถึงแม้จะไม่ได้ทรงอำนาจมากแต่ก็เป็นคนที่ไม่ควรจะลบหลู่