กระบี่เทพสังหาร
“พระเจ้า ขยะพวกนี้มาจากห้วเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหารงั้นหรอ”
ซูจิ้งตกใจไม่น้อย ประตูชิงหยุน(สำนักเมฆาเขียว) การเผาหมู่บ้านที่ตีนเขา และวัดเทียนหยิน สามคำนี้เป็นคำหลักๆ ที่ใช้อธิบายเรื่องราวต่างๆในห้วงเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหาร ไม่ผิดแน่นอนแล้ว
“สังหารเทพ” มันคือโลกที่มีทั้งมนุษย์และผู้ครองความอมตะ มีการบ่มเพาะวิถีเซียน(เต๋า) วิถีพุทธ ภูติผีปีศาจ(มาร) สัตว์โบราณ สรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ เป็นเรื่องของตัวเอกที่ชื่อจางเซี่ยวฟานเด็กบ้านๆที่ชีวิตผลิกผันคนในหมู่บ้านถูกฆ่าเกือบหมด ถูกรับเข้าสำนักเมฆาเขียว เป็นศิษย์ดอยไผ่ใหญ่ จากนั้นก็เริ่มฝึกฝนจนกลายเป็นตำนานที่มีชีวิต
สำนักเมฆาเขียวเป็นสถานที่ฝึกการบ่มเพาะวิถีเซียน มีทรัพยากรบ่มเพราะมากมาย สถานที่อาคารเปรียบได้ดั่งอยู่ในสรวงค์สวรรค์ พื้นห้องโถงอาคารหลักทำด้วยหินอ่อนขาวนวล ถ้าตรงไหนมีตำหนิก็แค่รื้อออกเปลี่ยนใหม่แค่นั้นเอง
กระบี่เทพสังหารเป็นโลกที่ค่อนข้างจะโหดร้าย มีม้าน้ำ ลิงสามตาอยู่ในสำนักเมฆาเขียว มีจิ้งจอกเก้าหาง งูน้ำทมิฬ มังกรเขียว นกอมตะ(ฟีนิกซ์) และสัตว์ในตำนานจีนหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ ไม่มีมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ตะพาบน้ำจีนแบบที่เขาเจอเป็นเพียงสัตว์พื้นบ้านในห้วงเวลาฯในเรื่องกระบี่เทพสังหาร
เป็นไปได้ว่าของที่เขาเจอมาทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของพื้นๆ แม้แต่ไผ่ดำที่เจอก็เป็นแค่ไผ่ที่ใช้ฝึกซ้อมในสำนักเมฆาเขียวเท่านั้นเอง ตอนที่จางเซียวฟานเข้าสำนักเมฆาเขียวนั้น เขาต้องตัดไผ่ดำนี่ทุกวันเพื่อเป็นการฝึกตน ในวันแรกเขานั้นตัดไม่ได้ซักต้นเดียว ต่อมาเมื่อศิษย์พี่หญิงของเขาที่มีนามว่าเทียนหลิงเอ๋อช่วยเขาตัดอยู่หลายหน
พอนึกถึงเจ้าต้นหญ้าที่คล้ายหอมป่านั่นอีกทีซูจิ้งก็ตกใจเล็กน้อย เขานึกอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาลอยๆว่า “เจ้าหญ้าต้นนี้ไม่ใช่ว่ามันคือ “ซูหยู” ในตำนานนั่นหรอกหรอ”
ในตำราได้บันทึกไว้ว่า “ซูหยู” คือพืชที่ลักษณะคล้ายหอมป่าแต่มีมีสีเขียวสด เป็นอาหารที่กินแล้วจะทำให้หายหิวได้
ในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียน ซูหยู ถึงแม้จะไม่ใช่ต้นไม้วิญญาณแต่มันก็มีประโยชน์อย่างมาก มันช่วยให้ชาวบ้านจนๆไม่ต้องอดตาย ชาวบ้านที่เจอนั้นถือได้ว่าโชคดีสุดๆ อย่างไรก็ตามพวกคนรวยและผู้ฝึกตนต่างไม่เห็นค่าของมันเพราะพวกมันมีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือช่วยให้หายหิว ถึงแม้มันจะไม่มีโทษแต่ก็ถือได้ว่าไม่เห็นประโยชน์เพราะมันทำให้ร่างกายไม่ต้องการสารอาหารอะไรเพิ่มเติม ซึ่งแน่ว่ามันส่งผลต่อการฝึกตนของเหล่าผู้ผึกตนในเรื่อง ถึงรถชาติมันจะไม่ได้แย่แต่หลังจากซูหยูหมดฤทธิ์จะทำให้ร่างกายหิวอย่างมาก
การใช้ประโยชน์ต้นซูหยูอย่างเดียวที่ซูจิ้งนึกออกในตอนนี้ก็คือการใช้เป็นเสบียงทางการทหาร ความจริงชูหยูนั้นมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการน้อยมาก แต่สารอาหารเหล่านั้นจะตกค้างในกระเพาะนานเป็นพิเศษส่งผลให้กระบวนการย่อยเกิดขึ้นช้าลงมาก และร่างกายจะไปดูดซึมพลังรูปแบบอื่นในร่างกายมาใช้แทนอย่างเช่นพวกไขมันตามร่างกายส่วนต่างๆ หากมีการกินเป็นเวลานานร่างกายที่ไม่ได้รับสารอาหารและพลังงานเพิ่มเติมจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ซูจิ้งยังได้ทดลองเกี่ยวกับซูหยูเพิ่มเติมพบว่า มันสามารถปลูกบนดินจอมเขมือบได้แต่ไม่สามารถปลูกลงบนดินบนโลกมนุษย์ได้ นั่นทำให้พวกกระจายอยู่ไปทั่วกองขยะจากห้วงเวลาฯ ถึงอย่างนั้นซูจิ้งก็ยังเชื่อว่าเขามีหนทางที่จะปลูกมันในจำนวนที่มากพอต่อการทำเป็นสินค้าของบริษัทแน่นอน เจ้าขยะกองนี้น่าจะมาจากแถวๆ สำนักเมฆาเขียวไม่ก็พื้นที่ที่มีพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกเชื่อมต่อกัน มันจึงให้ขยะพวกนี้ประเมินค่าไม่ได้เมื่อเทียบกับของบนโลกมนุษย์เลย
ซูจิ้งยังคงสารวนอยู่กับต้นซูหยู การที่พกเจ้านี่ไปไม่ต้องกังวลเรื่องอดตายเลยซักนิด ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์แบบไหน แต่ให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารจนร่างกายต้องอ่อนแอ แต่ยังไงซะก็ยังดีกว่าอดตายอยู่ดี มันเหมือนกับเครื่องช่วยชีวิตฉุกเฉิน มันมีค่าเหมือนกับพกข้าวหนึ่งชั่ง ไม่สิร้อยชั่งไว้กับตัวได้เลย
“ในเมื่อขยะพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหารล่ะก็ มันก็สมควรจะมีสมบัติดีๆหลุดออกมามั่งสิน่า” เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาไม่รอช้ารีบเข้าไปจัดการขยะที่เหลือทันที เขาได้ขุดซูหยูไปปลูกนอกจากนั้นยังได้ไผ่ดำมาเพื่ม ซึ่งคราวนี้เขาได้ต้นที่ค่อนข้างสมบูรณ์และยังมีรากอยู่ เขาก็จะนำพวกมันไปปลูกด้วยเช่นกัน เพราะยังไงซะมันก็ต้องมีประโยชน์กับเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หลังจากคุ้ยกองขยะต่อไป ซูจิ้งได้พบกับแจกันลายครามจำนวนหนึ่ง ถึงส่วนใหญ่จะแตกหักแต่เขาก็ยังเก็บมันด้วย ในเวลาเดียวกันเขายังได้พบวัตถุดิบบางชนิด แต่ก็ยังถือว่าเขายังไม่เจอของดี สิ่งที่เขาหวังอยากเจอมากที่สุดในตอนนี้ก็คืออาวุธวิญญาณ
“นี่คือ” ทันใดนั้นซูจิ้งได้สังเกตุผงขาวเล็กๆ กองหนึ่งในขวดแตกขวดนึง ต่อให้มันเครอะขนาดไหนเขาก็ยังรู้ว่านั่นคือขวดยา แถมกลิ่นที่เตะจมูกเขานั่นคือผงยาอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงจะดูไม่มีปัญหาในการใช้งานแต่ด้วยการที่ขวดแตกแถมมีสิ่งเจือปนหลุดเข้าไปทำให้มันดูสกปรกอยู่เหมือนกัน
“สิ่งเจือปนในยาขวดนี้สีเหมือนกับกองขยะที่ขุดไผ่ดำออกมา มันควรเป็นยาที่มาจากสำนักเมฆาเขียว นี่คือยาวิเศษจากสำนักเมฆาเขียวงั้นหรอ”
ซูจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่ให้มันมีสิ่งเจือปนอยู่บ้างแต่เขาก็ยังเชื่อในผลของยา แต่ให้เอาขยะทั้งกองมาเทปน มันก็ยังคงเป็นยาวิเศษของสำนักเมฆาเขียวอยู่ดี นั่นก็เพราะว่าถ้ามันเป็นยาวิเศษแห่งสำนักเมฆาเขียว ผลจากการใช้ก็ยังถือว่าดีมากๆ ต่อให้เป็นยาเกรดต่ำก็ยังดีกว่ายาทุกชนิดบนโลกมนุษย์
“อยากรู้จริงๆแหะว่ายานี่เป็นยาของศิษย์ภายนอกหรือศิษย์ภายใน” ซูจิ้งลองคิดถึงความเป็นไปได้ เขานั้นดูรอบขวดยาแต่เขาก็ไม่พบอะไรที่พอจะใช้บอกได้ว่ามีนคือยาอะไร
ซูจิ้งบอกให้หลีน้อยและอาลี่ให้ไปจับหนูแถวนี้มาสองตัว เขาลองให้พวกมันกินยาไปนิดหน่อย หลังจากรอซักพักเหมือนยาจะไม่ออกฤทธิ์ ซูจิ้งลองถามมันโดยตรงแต่พวกมันก็บอกว่าไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
“เป็นไปได้ว่ายานี้ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อร่างกาย แต่อาจมีผลในด้านอื่นทำให้พวกหนูบอกผลของยาไม่ได้ นี่ค่อนข้างยุ่งยากเลยแหะ ถ้าสมมุติว่ามันเป็นยาที่ใช้รักษาโรค นี่ฉันไม่ต้องตระเวนไปรอบรักษาคนรอบโลกเลยรึ ต่อให้ทำอย่างนั้นจริงก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นยารักษาโรคจริงๆรึเปล่า” ซูจิ้งลองนึกหาวิธีทดลองที่จะประหยัดตัวยาให้ได้มากที่สุด เขาลองศึกษาลักษณะตัวยาอีกครั้งก่อนที่จะทำการทดลองเพราะว่าตัวยานั้นมีน้อยมากๆ
ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสพลังจิตของเขาออกมา เขาได้ใช้กระแสพลังจิตทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่ในตัวยาออกทีละนิดทีละนิดจนยะบริสุทธิ์หมดจด หลังจนากนั้นเขานำมันไปไว้ในพื้นที่ที่ลมไม่พัดผ่านและแห้งสนิทเพี่อที่จะพยายามรักษาตัวยาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และได้ให้หมาป่าสงครามคอยเฝ้าไว้
ซูจิ้งกลับไปจัดการขยะต่อ พอจัดการไปได้ซักพักเขาได้สังเกตุเห็นกิ่งไม้สีเขียวที่ใบติดอยู่เล็กน้อย หลังจากดูลักษณะใบของมันใบค่อนข้างส่งกลิ่นฉุน และที่ปลายกิ่งยังมีผลติดอยู่ด้วย ผลของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงไปได้ครึ่งหนึ่ง พวกมันดูเหมือนจะยังไม่สุกดี บางส่วนสุกแล้ว บางส่วนโดนกินไปนิดหน่อย แต่ก็มีบางส่วนเริ่มเน่าแล้วเหมือนกัน
“เจ้านี่มันผลของต้นอะไรหว่า” ซูจิ้งพยายามวิเคราะห์ผลไม้พวกนี้อยู่พักใหญ่แต่นึกไม่ออกซักที ลักษณะของมันไม่เหมือนผลไม้ใดๆ บนโลกที่เขารู้จัก ซูจิ้งตัดสินใจจะลองกินมันทีหลัง เพื่อจะดูว่ามีฤทธิ์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง เขาได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมาอีกสองตัวและจับปลามาให้อีกสองตัว
มีผลไม้ที่เสียแล้วทั้งหมดสามลูก ซูจิ้งบังคับหนูสองตัวและปลาอีกหนึ่งตัวกินสามผลนี้ แล้วเขาก็กลับไปจัดการขยะต่อไป หลังจากทั้งไว้ซักพักทั้งหนูและปลาที่กินไปต่างก็บอกว่าไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น แต่ดูจากสภาพเหมือนมันไม่กล้าบอกมากกว่า