ผู้ฝึกตนหญิงสองคนไม่ได้บาดเจ็บหนักมากมาย ถึงแม้โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งจะพูดจาขวานผ่าซากกับพวกนาง และพวกนางก็เห็นความรู้สึกดูถูกที่โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งแสดงออกมาต่อพวกนางอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แม้กระนั้นพวกนางก็ไม่กล้าพูดอะไร ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนมีระดับการฝึกตนสูงกว่าพวกนางนั้นก็เป็นความจริง นอกจากนี้พวกนางยังได้เผชิญกับพละกำลังในการต่อสู้ของทั้งสองคนโดยตรง ในทางกลับกัน พวกนางเป็นแค่ผู้ฝึกตนหญิงที่อ่อนแอในการต่อสู้ด้วยพลังเวท หากพวกนางจะโจมตีขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าใครคนหนึ่งในสองคนนั้นก็มีพลังมากพอที่จะฆ่าพวกนางได้
ทันทีหลังจากที่พวกนางรักษาบาดแผลอย่างเชื่อฟังเสร็จ พวกนางก็ตามโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งไปโดยไม่กล้าพูดอะไร
ถึงแม้โม่เทียนเกอจะตั้งใจให้บทเรียนสั่งสอนพวกนาง แต่นางก็ไม่ได้ทำให้จุดสำคัญในร่างกายของพวกนางบาดเจ็บ หลังจากใช้คาถารักษาง่ายๆ บาดแผลของหญิงทั้งสองคนก็บรรเทาลง
หลังจากทนกับเรื่องชวนหัวเช่นนี้ กลุ่มคนทั้งสี่ยังคงออกตามหาอย่างเงียบๆ จนถึงสุดทางที่กำหนดไว้ เป็นไปตามที่คาด พวกเขาไม่เจออะไรจึงรีบกลับไปที่รูปปั้นหิน
พวกเขาเดินไปที่ก้นหุบเขาจากนั้นเลี้ยวเข้ามุม เมื่อสายตามองเห็นรูปปั้นหิน อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอก็ต้องตกตะลึง
แท่นบูชาหินว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น รวมถึงเหยียนรั่วซูด้วย
โม่เทียนเกอรู้สึกอ่อนแรง ถึงแม้นางจะยอมรับว่าพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกตนหญิงยังห่างชั้นจากผู้ฝึกตนชายมากนัก แต่นางก็ได้เผชิญกับผู้ฝึกตนหญิงมาค่อนข้างมากนับตั้งแต่นางเริ่มฝึกตน และส่วนใหญ่ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายเลย นอกเหนือจากสาวใช้ที่อยู่ข้างกายประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งมีความทะนงตัวสูงมากเกินไป หวังเชี่ยนอีและมู่หรงเยียนแห่งสำนักอวิ๋นอู้ หลัวเฟิงเสวี่ย หันชิงอวี้ และคนอื่นๆ จากโรงเรียนเสวียนชิง ทุกคนล้วนมีวิธีการในการทำสิ่งต่างๆ และภาวะจิตใจที่เทียบเท่าได้กับพวกผู้ฝึกตนชาย พวกนางไม่เคยลากคนอื่นให้ต้องมาลำบากด้วย
ผู้ฝึกตนหญิงสามคนนี้จากสภาปี้เซวียนทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกโกรธเคืองอย่างแท้จริง คนหนึ่งเป็นคนขี้ขลาด อีกสองคนเป็นศัตรูหัวใจที่ขี้อิจฉา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีแค่ผู้หญิงในกลุ่มการฝึกตนของพวกนางและไม่มีผู้ฝึกตนชายเป็นข้อเปรียบเทียบ พวกนางถึงได้หมกมุ่นกับตัวเองเช่นนี้และไม่มีความทะเยอทะยานอยากจะพัฒนาเอาเสียเลย
โม่เทียนเกอสงบสติอารมณ์ของตัวเองและพูดว่า “ข้าบอกสหายนักพรตเหยียนว่าเราจะมาพบกันที่นี่ก่อน ข้าไม่รู้ว่านางหายไปไหน”
สีหน้านักพรตฟางเจิ้งหม่นหมองลงหลังจากเขาได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด เขาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าผู้หญิงพวกนี้จากกลุ่มการฝึกตนทำตัวไร้ประโยชน์เหลือเกิน เขาก็ยิ่งโมโห ผู้ฝึกตนเดี่ยวอย่างเขาต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเท่าไรแค่เพื่อสร้างฐานแห่งพลังงาน ภัยอันตรายและความท้าทายมากมายแค่ไหนที่พวกเขาต้องอดทน ศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนพวกนี้มีคำแนะนำจากกลุ่มและอาจารย์ให้นับถือ แต่กระนั้นพวกนางก็ยังลงเอยด้วยการทำตัวน่าผิดหวัง
“รออยู่ที่นี่เถอะ คงเป็นปัญหาแน่หากเราแยกกันอีก” นักพรตฟางเจิ้งกล่าว “และการตามหาต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาเหมือนกัน ถ้าเราต้องเสียใครไปอีก…”
นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้พูดจนจบประโยคแต่โม่เทียนเกอก็เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงพวกนี้เลยสักนิด ในเมื่อพวกเขายังแทบไม่สามารถดูแลตัวเองได้ตอนนี้ พวกเขาก็น่าจะปล่อยให้พวกนางเอาตัวรอดกันเองไปก่อน
อาจจะฟังดูโหดร้ายแต่ก็สมเหตุสมผล ถ้าพละกำลังของโม่เทียนเกอมีเหลือล้น นางคงไม่ถือสาอะไรกับการช่วยเหลือพวกนาง แต่ในเมื่อนางก็มืดแปดด้านเกี่ยวกับม่านพลังมายานี้เช่นกัน นางคิดว่านางควรหลีกเลี่ยงการถูกพวกนางลากเข้าไปพัวพันจนตัวตายก่อนดีกว่า
นักพรตฟางเจิ้งเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยวแต่เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเพราะเขาสามารถทำตัวเ**้ยมโหดได้เมื่อจำเป็น ที่จริงแล้วเป็นโม่เทียนเกอนั่นแหละที่เขากลัวว่าจะใจอ่อน แต่ในเมื่อโม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ เขารู้ว่านั่นอาจถือได้ว่ายอมรับความคิดของเขาไปโดยปริยาย ดังนั้นในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย ในระหว่างการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เขาได้เห็นพละกำลังของโม่เทียนเกอ เพื่อจะมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ เขาจึงต้องการจะร่วมมือกับนาง
ณ ขณะนั้น หญิงแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วทั้งสองคนยังไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของพวกเขา ครั้นเห็นหน้าตาดูสงสัยและไม่รู้เรื่องรู้ราวของพวกนาง โม่เทียนเกอก็รู้สึกทั้งสงสารทั้งรังเกียจ สุดท้ายนางก็แข็งใจกับการตัดสินใจของนางและแสร้งทำเป็นว่านางไม่ได้สังเกตเห็นอะไร ถึงแม้นางจะมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่ในครอบครอง แต่ตอนนี้นางอยู่ในม่านพลังมายาของคนอื่น ต่อให้นางเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหากนางไม่สามารถออกจากม่านพลังนี้ได้ เพราะเหตุนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการออกจากม่านพลังมายานี้อย่างปลอดภัย นางไม่จำเป็นต้องคอยรับผิดชอบความเป็นความตายของคนอื่น
คนทั้งสี่รออยู่บนแท่นบูชารอบๆ รูปปั้นหินอยู่สักพักก่อนที่ผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังจะกลับมาในที่สุด
เมื่อจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอรับรู้ถึงการมาถึงของพวกเขา นางตั้งใจเพ่งดูพวกเขามากขึ้นแล้วจึงพบว่ามีแค่สองคนนั้น เหยาจื่อซิวและซางหรูหว่านยังไม่ปรากฏ นางรู้สึกทั้งดีใจและผิดหวังในขณะเดียวกัน นางดีใจเพราะชายทั้งสองคนนี้กลับมาโดยไม่มีปัญหา แต่นางก็ผิดหวังเพราะนางมีความประทับใจที่ดีต่อซางหรูหว่าน นางอดรู้สึกเศร้าไม่ได้หากซางหรูหว่านหายตัวไปเช่นนั้น
เมื่อชายแซ่ลู่และแซ่หวังมาถึง พวกเขาก็มองทุกคนลวกๆ แล้วจึงถามว่า “แล้วคู่รักเหยาและแม่นางเหยียนเล่า”
ด้วยว่านักพรตฟางเจิ้งสู้กับสองคนนี้มาก่อน จึงไม่สนใจพวกเขา โม่เทียนเกอเป็นคนตอบว่า “เรายังไม่เจอคู่รักเหยาเหมือนกัน สหายนักพรตเหยียนเคยอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ เราไม่รู้ว่านางไปที่ไหน แต่นางหายไปแล้วตอนที่เรากลับมา”
ชายสองคนแซ่ลู่และแซ่หวังต่างมองกัน ทั้งคู่รู้สึกเป็นกังวล “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เราจะมีผลกระทบไปด้วยหรือไม่”
“ข้าก็ไม่รู้” โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “เราตามหาพวกเขาทั่วทั้งหุบเขา ถ้าสหายนักพรตมีความคิดอะไร เจ้าบอกเรามาได้เราจะได้ลองดู”
เมื่อพวกเขายืนอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าสี ผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาชำนาญในด้านม่านพลัง ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอก็มาจากตระกูลที่ชำนาญในด้านม่านพลังและนางยังมีหนังสือหลายเล่มจากยุคอดีตอันไกลโพ้นอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ดังนั้นความรู้ของนางในด้านม่านพลังจึงแน่นกว่าพวกเขาเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยมากนัก นางจงใจไม่แสดงให้เห็นขอบเขตความรู้ของนางเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยจุดอ่อนของนาง
ลู่และหวังดูตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด แต่ในชั่วขณะต่อมา ทั้งสองคนก็ขยับไปด้านข้างและเริ่มปรึกษากัน
โม่เทียนเกอฟังพวกเขาคร่าวๆ ทักษะของพวกเขาในม่านพลังนั้นค่อนข้างดีพอควร อย่างไรก็ตาม ม่านพลังมายานี้สมจริงเกินไป ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาของพวกเขาจึงไม่น่าจะใช้ได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงเคลื่อนตัวไปด้านข้างอย่างเงียบๆ นั่งลงและเริ่มครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง
ทุกม่านพลังจำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณจากวัตถุภายนอกเพื่อคอยหนุนมัน ม่านพลังบนแท่นบูชาของหุบเขาจริงถูกโม่เทียนเกอทำลายอย่างง่ายดายก็เพียงเพราะมันอายุเก่าแก่มากแล้ว ดังนั้นพลังงานทางจิตวิญญาณจึงลดลง ส่วนม่านพลังมายานี้ ในเมื่อมันสามารถสร้างสัตว์ปีศาจระดับสอง ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน และแม้แต่พืชวิญญาณอายุกว่าพันปีที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณได้ มันก็จะต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่ทำให้นางสับสน ทำไมม่านพลังนี้ถึงสามารถแสดงพลังเช่นนั้นได้ถึงแม้มันจะอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว การที่จะกักขังพวกเขาในสถานที่นี้และสร้างภาพลวงตาของสิ่งเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ ปริมาณพลังงานทางจิตวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ต้องมากมายเหลือเชื่อ มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ด้วยศิลาวิญญาณอายุหลายร้อยถึงหลายพันปีแน่นอน ศิลาวิญญาณที่ใช้ในม่านพลังประณีตเช่นนี้จะต้องเป็นของระดับสูงแน่
ศิลาวิญญาณก็ถูกแบ่งประเภทออกเป็นระดับที่แตกต่างกัน ศิลาวิญญาณทั่วไปที่ไม่ได้พูดถึงคุณภาพถือว่าเป็นระดับต่ำ นอกเหนือจากนั้นคือศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูง ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงถือว่าไม่ธรรมดาในโลกแห่งการฝึกตน แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังต้องยากลำบากกว่าจะได้มาครอบครอง แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโม่เทียนเกอเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ส่วนแบ่งของศิษย์ที่นางได้รับจึงรวมถึงศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงด้วย แต่ถึงแม้นางจะมีศิลาวิญญาณอยู่ ก็ยังใช้ศิลาวิญญาณระดับต่ำตามปกติและใช้ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงแค่เฉพาะตอนนางต้องการวางม่านพลังระดับสูงเท่านั้น
ยิ่งม่านพลังระดับสูงขึ้น พลังงานทางจิตวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้วางม่านพลังก็ต้องยิ่งหนาแน่นขึ้น หลังจากถึงจุดหนึ่ง ความหนาแน่นของพลังงานทางจิตวิญญาณจะไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยการแค่เพิ่มศิลาวิญญาณ ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงต้องถูกนำมาใช้เพื่อให้ม่านพลังนั้นได้ผล เนื่องจากม่านพลังนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณปริมาณมากจนน่ากลัว โม่เทียนเกอเดาว่าศิลาวิญญาณระดับสูงที่ต้องใช้จะต้องมากกว่าหลายพันอันหรืออาจมากกว่าหลายหมื่นอัน
ศิลาวิญญาณระดับสูงมากกว่าหมื่นอัน! โม่เทียนเกอแค่คิดทบทวนคร่าวๆ แต่นางก็คิดแล้วว่ามันช่างน่ากลัว เพราะนางเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ส่วนแบ่งของนางจึงน้อยกว่าที่แบ่งสันปันส่วนไปให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแค่นิดหน่อย และมากกว่าที่แบ่งให้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานหรือศิษย์หัวกะทิหลายเท่าตัวนัก ทั้งๆ อย่างนั้น นางก็ได้รับแค่ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงประมาณสิบอันในแต่ละปีเท่านั้น หากนางไม่ได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปก็จะต้องใช้เวลามากกว่าพันปีในการเก็บสะสมศิลาวิญญาณระดับสูงหมื่นอัน!
นางรับผิดชอบดูแลทุกเรื่องในตำหนักซ่างชิงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงรู้ว่าในหมู่เครื่องบรรณาการประจำปีที่มอบให้กับประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขาได้รับแค่ศิลาวิญญาณระดับสูงราวๆ ร้อยอันเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรือร้อยปีเพื่อรวบรวมศิลาวิญญาณหมื่นอัน ถ้าเขาต้องใช้บางส่วนไปกับการฝึกตน การวางม่านพลังและอื่นๆ อีกมากมาย ก็คงจะไม่มีอะไรเหลืออยู่มากนักในทรัพย์สินของท่านอาจารย์ขี้งกของนาง จริงไหม
เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นคนแบบใดกัน ท่านอาจารย์ของนางเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จากหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ดีที่สุดในขั้วท้องฟ้า ถึงแม้ว่าเขาจะถือว่าร่ำรวยทรัพย์สมบัติและศิลาวิญญาณแม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ด้วยกัน แต่เขาก็ไม่มีทางใช้ศิลาวิญญาณระดับสูงหมื่นอันไปแค่เพื่อวางม่านพลังหรอก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นผู้ฝึกตนในดินแดนที่เหนือกว่าดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามา โม่เทียนเกอส่ายหน้า
นางเคยเจอจงมู่หลิงและหยวนเป่า สืบเนื่องจากม่านพลังมายาของพวกเขา ม่านพลังนี้ยังด้อยกว่าของจงมู่หลิงและดูไม่เหมือนจะเป็นผลงานของเทพผู้ฝึกตน อีกอย่างหนึ่ง จะพบเจอเทพผู้ฝึกตนได้ง่ายนักหรือ ตามคำของหยวนเป่า โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ขั้วท้องฟ้าก็เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งของโลก มีสถานที่อย่างขั้วท้องฟ้าอีกมากกว่าสิบๆ แห่ง ยิ่งไปกว่านั้น เทพผู้ฝึกตนหน้าใหม่หนึ่งคนจะปรากฏตัวขึ้นทุกๆ หลายพันปีเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะมีดวงบังเอิญเจอถ้ำเซียนของเทพผู้ฝึกตน
โม่เทียนเกอส่ายหน้าและครุ่นคิดต่อไปว่าจะทำลายม่านพลังนี้อย่างไรดี พลังงานทางจิตวิญญาณ… จริงสิ! ม่านพลังขนาดมหึมาเช่นนี้จะไม่สามารถใช้งานได้นานอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาไม่สามารถทำลายม่านพลังได้ ถ้าพวกเขาจะทนอยู่ไปได้อีกหลายเดือนก็ยังถือว่าดี!
สีหน้าดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอ ทว่าวินาทีถัดมารอยยิ้มของนางก็จางหายไป นางคิดผิด นางแค่คิดว่าม่านพลังมายาจะต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณปริมาณมาก แต่นางลืมไปว่าม่านพลังมายายังสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ของคน หนึ่งวันที่จริงแล้วอาจจะรู้สึกเหมือนหนึ่งปี! ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ การติดอยู่ที่นี่หลายเดือนก็อาจเหมือนหลายร้อยปีก็เป็นได้ พวกเขาอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าไม่สามารถหนีออกไปได้มาเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ความก้าวหน้าในการฝึกตนของพวกเขาจะไม่ได้เท่ากับหลายร้อยปีไปด้วย สุดท้ายแล้วทุกคนจะไม่เป็นบ้าไปหมดหรือ
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้โดยยังไม่มีทางแก้ โม่เทียนเกอก็ได้แต่ถอนหายใจในที่สุด