ตอนที่ 160-2 หาทางออกไม่ได้

ลำนำสตรียอดเซียน

นักพรตฟางเจิ้งสังเกตเห็นสีหน้านาง จึงเข้ามาถาม “สหายนักพรตเยี่ย เป็นอะไรหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดหาวิธีที่จะทำลายม่านพลังนี้ไม่ออก” จากนั้นนางก็หันไปมองผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวัง พวกเขาก็ส่ายหน้าและถอนหายใจเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า พวกเขาก็ไม่สามารถหาทางทำลายม่านพลังนี้ได้

 

 

ส่วนศิษย์ผู้หญิงสองคนจากสภาปี้เซวียน เมื่อเห็นว่าพวกคนที่เหลือดูระมัดระวังตัวมากแค่ไหน ในที่สุดพวกนางก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันอันตรายขนาดไหน พวกนางจึงหมดไฟกับการทะเลาะกันเองไปในที่สุด

 

 

ทั้งหกคนจนปัญญา พวกเขานั่งอยู่บนแท่นบูชามาทั้งวันจนกระทั่งท้องฟ้ามืดลงแต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถคิดหาทางแก้ได้ คู่รักเหยาและเหยียนรั่วซูก็ยังไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน

 

 

เมื่อนางเห็นท้องฟ้ามืดลง โม่เทียนเกอหาที่ว่างบนแท่นบูชาอย่างลวกๆ นั่งลงและเริ่มทำสมาธิ นางไม่รู้ว่าที่นี่ปลอดภัยหรือไม่นางจึงไม่กล้าฝึกตน นางเพียงแค่ปรับลมปราณในตอนนี้

 

 

สภาพแวดล้อมรอบตัวเงียบสงัด แต่จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นขึ้นมา

 

 

โม่เทียนเกอลืมตาและหันไปมองหญิงแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วทั้งสอง

 

 

คนที่กำลังสะอื้นคืออวิ๋นหันเยียน ด้วยใบหน้าที่วาวไปด้วยน้ำตา นางนั่งกอดเข่า ดูราวกับว่านางอยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้า

 

 

“แม่นางอวิ๋น” ผู้ฝึกตนแซ่ลู่เดินไปหาหญิงทั้งสองและถามอย่างอ่อนโยน “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”

 

 

อวิ๋นหันเยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเอ่อไปด้วยน้ำตา นางดูทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน นางตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ข… ข้า…” นางอยากจะพูดแต่ไม่กล้า

 

 

ผู้ฝึกตนแซ่หวังก็เข้าไปหาพวกนางเช่นกัน ครั้นเห็นว่าอวิ๋นหันเยียนดูเป็นอย่างไร ผู้ฝึกตนชายทั้งสองคนก็มีสีหน้าเห็นใจ ผู้ฝึกตนแซ่ลู่เริ่มพูดปลอบใจ “แม่นางอวิ๋นอย่ากังวลไปเลย ข้าอยู่ที่นี่! ข้า… เราจะปกป้องเจ้า”

 

 

หลังจากได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นหันเยียนกะพริบตาทำให้น้ำตาหยดลง “จริงหรือ”

 

 

ผู้ฝึกตนชายทั้งสองคนพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

 

แต่เดิมโม่เทียนเกอคิดว่า “ศิษย์พี่หลิ่ว” จะพูดอะไรเพื่อล้ออวิ๋นหันเยียนแต่น่าประหลาดที่นางไม่ได้ทำ เมื่อโม่เทียนเกอเหลือบดูนาง นางถึงได้รู้ว่า “ศิษย์พี่หลิ่ว” กำลังนั่งเหม่อ ดวงตานางว่างเปล่า ดูประหนึ่งว่าวิญญาณของนางหายไป บางครั้งรอยยิ้มมีความสุขก็จะปรากฏขึ้นบนหน้านาง แต่สุดท้ายสีหน้าของนางมักเต็มไปด้วยความเศร้าไม่รู้จบ

 

 

โม่เทียนเกอจำได้ว่าตอนระหว่างวัน “ศิษย์พี่หลิ่ว” คนนี้และอวิ๋นหันเยียนสู้กันแย่งความรักจากผู้ชาย… นางคงกำลังคิดถึงพี่ใหญ่ถังของนางอยู่ตอนนี้ แต่ดูจากสีหน้าของนางและนึกถึงคำพูดของพวกนางตอนกลางวัน โม่เทียนเกอคิดว่านางน่าจะกำลังคิดถึงเรื่องเศร้าอยู่

 

 

เปรียบเทียบกับอวิ๋นหันเยียนที่ดูเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยขณะที่นางพูดคุยกับผู้ฝึกตนชายสองคน “ศิษย์พี่หลิ่ว” คนนี้เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว โม่เทียนเกอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจนาง

 

 

ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดระหว่างหญิงทั้งสองคน แต่ก็เห็นชัดแล้วว่าความรู้สึกของใครลึกซึ้งกว่ากัน ขณะที่อวิ๋นหันเยียนอาจจะชินกับการเรียกร้องความสนใจจากพวกผู้ชาย ผู้ฝึกตนหญิงแซ่หลิ่วคิดถึงแค่พี่ใหญ่ถังของนางเท่านั้น ณ ตอนนี้

 

 

ที่จริงแล้วมันคงไม่แปลกเลยสักนิดถ้าพี่ใหญ่ถังคนนั้นจะชอบอวิ๋นหันเยียนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ทั้งสองฝั่งก็รู้สึกว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นแปลก ผู้หญิงที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายมักจะไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้หญิงด้วยกัน และผู้ชายที่ผู้หญิงชื่นชอบโดยปกติแล้วก็มักจะถูกจัดว่า “มีเสน่ห์แค่ภายนอกแต่ไร้ค่า” โดยพวกผู้ชายด้วยกัน ไม่ว่าอวิ๋นหันเยียนจะแสร้งทำเป็นอ่อนแอหรือน่าสงสารหรือไม่ พวกผู้ชายก็จะเชื่อและชอบนาง แต่… คนผู้นั้นไม่เป็นแบบนี้ ใช่ไหม ในสายตาของเขา ผู้ชายและผู้หญิงดูเหมือนจะเหมือนกันไปหมด นอกเหนือจากการฝึกตน เขาก็ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีก…

 

 

นางไม่รู้ว่านางหลงอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองนานแค่ไหน แต่ในความมืดมิดยามค่ำคืน จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็ตะโกนขึ้นว่า “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ!”

 

 

โม่เทียนเกอตกใจ นางรีบยืนขึ้นและเตรียมสู้ทันที นางขยายจิตสัมผัสออกไปแต่ในวินาทีต่อมา นางก็ต้องตกตะลึงถึงที่สุด

 

 

จากในความมืด ชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงค่อยๆ เดินเข้ามาหาพวกเขาช้าๆ เขาแต่งตัวเหมือนปัญญาชนแต่ให้ความรู้สึกที่องอาจมาก พลังที่แผ่ออกมาจากทั้งร่างของเขาช่างน่ากลัว

 

 

ขณะนั้นเอง สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป พลังงานวิญญาณเช่นนี้… ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง!

 

 

ด้วยความเคยชิน นักพรตฟางเจิ้งมองคนผู้นั้นให้ชัดๆ เขารีบดูปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอทันที อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอกำลังจดจ่ออยู่กับการมองคนคนนั้นอย่างน่าประหลาดและดูราวกับว่านางกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง ไม่มีเวลาให้คิดมาก เขาประสานมือเป็นการทำความเคารพและพูดอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์พี่ ศิษย์น้องคือฟางเจิ้ง ขออภัยที่ต้องถามแต่ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ศิษย์พี่”

 

 

คนผู้นั้นไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด เขากลับเดินตรงไปยังโม่เทียนเกอแทน

 

 

นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ ล้วนหวาดกลัว ถึงแม้พวกเขาจะมีคนอยู่ฝั่งเดียวกันหลายคน แต่คนอีกฝั่งนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! ช่องว่างระหว่างดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นห่างกันอย่างมาก! พวกเขาไม่รู้ว่าคนคนนี้มาจากที่ไหน แต่ถ้าเขามีเจตนาร้ายต่อพวกเขา เขาแค่ต้องโบกมือและพวกเขาก็จะ…

 

 

ภายใต้สายตาจับจ้องที่กังวลและเต็มไปด้วยความกลัว ในที่สุดคนคนนั้นก็หยุดอยู่ห่างจากโม่เทียนเกอแค่ไม่กี่สิบจั้ง

 

 

โม่เทียนเกอถอนหายใจยาว ปรายตามองที่คนผู้นั้นและพูดว่า “นี่คือหุ่นลวงตา”

 

 

“หุ่นลวงตา” นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ ตะลึง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงมองอย่างระมัดระวังด้วยความกลัวว่าหุ่นตัวนี้จะมีพลังการต่อสู้ของคนจริงๆ เหมือนอย่างหุ่นที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้านี้

 

 

“เทียนเกอ” หุ่นลวงตาพูดขึ้นมาทันใด

 

 

นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ ต่างตกอกตกใจ ผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังก็ตกใจไปตามคาดเพราะพวกเขายังไม่เคยเจอหุ่นลวงตาของมนุษย์มาก่อน สำหรับผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองคนรวมถึงหลิ่วและนักพรตฟางเจิ้ง พวกเขาอาจจะเคยเห็นหุ่นลวงตาของ “พี่ใหญ่ถัง” มาแล้วแต่ตอนนั้นหุ่นตัวนั้นไม่ได้พูดอะไร

 

 

หุ่นลวงตาเดินเข้ามาหาโม่เทียนเกอทีละก้าว ทีละก้าว มันพูดอย่างอ่อนโยน “เทียนเกอ ทำไมเจ้าไม่บอกลาข้าเมื่อตอนที่เจ้าจากมา”

 

 

โม่เทียนเกอหลับตาอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อนางลืมตาและรู้ว่าหุ่นยังคงอยู่ตรงนั้น นางก็หัวเราะอย่างขมขื่น “ทำไมข้าต้องบอกลาท่านด้วย”

 

 

หุ่นตัวนั้นใช้เวลาสักพักในการตอบ “อืม เจ้าไม่ควรบอกลาข้า ข้าไม่อยากเจอเจ้า”

 

 

ถึงแม้นางจะรู้ดีว่าสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้เป็นของปลอม แต่โม่เทียนเกอก็ยังรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกบีบ หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็ถอนใจแล้วจึงพูดอย่างแผ่วเบา “ใช่ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไม แต่การกระทำของท่านบอกให้ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากเจอข้า ข… ข้าก็ไม่อยากเจอท่านเช่นกัน ท่านควรไปซะ อย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก” นางพูดเช่นนั้นแล้วก็หันมองไปทางอื่นและหลับตาลง

 

 

หุ่นยังคงยืนนิ่งอยู่สักพักหนึ่งหลังจากมันได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด ทันใดนั้นมันก็ก้าวมาข้างหน้าจนอยู่ห่างจากโม่เทียนเกอแค่นิดเดียวเท่านั้น

 

 

มันลดเสียงอ่อนลงและพูดว่า “ที่จริงข้าอยากเจอเจ้า ข้าแค่… แค่…”

 

 

ขณะที่มันยื่นมือมาหมายจะกอดนาง โม่เทียนเกอก็ก้าวถอยหลังทันที นางพูดเช่นนั้นเพราะนางอยากให้หุ่นลวงตาหายไปด้วยตัวเอง แต่… แต่นางไม่สามารถควบคุมความคิดของตัวเองได้ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองตาหุ่นตัวนั้น มันเกือบจะเหมือนกับคนจริงๆ ที่มันเลียนแบบมา นางพูดคำต่อคำ “เจ้ามันของปลอม ข้าไม่อยากได้ของปลอม”

 

 

หุ่นตัวนั้นเผยรอยยิ้มอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มซึ่งแทบจะไม่เคยปรากฏขึ้นกับตัวคนจริงๆ “ข้าคือตัวจริง เจ้ากำลังหวังว่าข้าจะเป็นตัวจริง”

 

 

“ข้า…” โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าสภาวะจิตตอนนี้ของนางสับสนวุ่นวายมาก นางรู้ว่าหุ่นลวงตาเช่นนี้จะไม่หายไป แต่นางก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย!” ขณะนั้นเอง จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็ตะโกนขึ้นและโยนเครื่องรางให้นาง “นี่คือเครื่องรางสงบจิตใจ”

 

 

โม่เทียนเกอรับมาและแปะไว้บนตัวนางโดยไม่ลังเล ถึงแม้สภาวะจิตนางจะไม่สงบลงได้ทันที แต่อย่างน้อยก็ไม่วุ่นวายแล้ว นางค่อยๆ หายใจช้าลงก่อนที่นางจะจ้องไปที่หุ่นเบื้องหน้านางอย่างเอาจริงเอาจัง

 

 

“ข้ายอมรับ… ข้ารักท่าน แต่ข้าอยากเดินบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียน ถ้าท่านรักข้า ข้าก็ยินดี แต่ถ้าท่านเกลียดข้า ข้าก็ไม่เสียใจ–”

 

 

ท้ายที่สุด ชายในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนก็ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ พร้อมกับเสียงของโม่เทียนเกอ

 

 

เมื่อหุ่นลวงตาหายไปจนหมด นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ จึงถอนหายใจออกมาในที่สุด ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง… หุ่นลวงตาที่นี่มีพลังของคนจริงๆ ที่พวกมันเลียนแบบ ถ้าพวกเขาต้องลงเอยด้วยการสู้กับหุ่นตัวนั้นจริงๆ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดหาทางออกเลยเพราะพวกเขาคงจะต้องตายอยู่ตรงนั้นแน่นอน

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย” ตอนนี้มีบางอย่างแปลกไปในสายตานักพรตฟางเจิ้ง เมื่อเขาได้ยินหุ่นลวงตาเรียกนางด้วยอีกชื่อหนึ่ง เขาก็รู้ว่าชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียนน่าจะเป็นชื่อปลอม แต่ก็ไม่สำคัญหรอก พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ เพราะฉะนั้นพวกเขาอาจจะไม่ได้เจอกันอีกหลังจากแยกกันไป ไม่ว่านางจะใช้ชื่อไหนมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขา

 

 

ประเด็นสำคัญคือหุ่นลวงตาเมื่อครู่นี้เป็นหุ่นของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! ผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นนี่จึงเป็นการเปิดเผยว่าตัวตนของหญิงคนนี้นั้นน่าทึ่งยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก เขาต้องไม่ทำให้นางขุ่นเคืองใจไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

 

 

นอกจากนี้นักพรตฟางเจิ้งยังสังเกตเห็นอย่างอื่นอีก เขาท่องเที่ยวทั่วโลกแห่งการฝึกตนมาหลายร้อยปีและเห็นผู้ฝึกตนมามากจนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าหุ่นลวงตาตัวนั้นใส่ชุดคลุมของโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วท้องฟ้า มีโอกาสสูงมากว่าผู้หญิงคนนี้จะเกี่ยวข้องกับโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน

 

 

จากประสบการณ์อันมากมีของเขา นักพรตฟางเจิ้งวิเคราะห์ประเด็นพวกนี้ภายในระยะเวลาอันสั้นเรียบร้อยแล้วและมีวิธีปฏิบัติที่เขาเตรียมไว้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะตัวตนที่นางปิดบังไว้หรือฝีมือที่นางแสดงให้เห็นมาจนถึงตอนนี้ เขาจะต้องไม่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่พอใจเด็ดขาด

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นางยิ้มน้อยๆ ให้กับนักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตฟางเจิ้งขอบคุณสำหรับเครื่องรางสงบจิตใจ ราคาเครื่องรางสงบจิตใจค่อนข้างสูง มันไม่ใช่ถูกๆ เลย ข้าไม่ควรปล่อยให้สหายนักพรตต้องเสียของโดยใช่เหตุ เพราะฉะนั้นข้าควรจะให้เครื่องรางนี้กับสหายนักพรตเป็นการตอบแทน”

 

 

นักพรตฟางเจิ้งรับสิ่งที่นางเสนอให้ ตอนที่เขาเห็นว่ามันคืออะไร เขาก็รู้สึกดีใจอย่างเหลือล้น นี่คือเครื่องรางซ่อนกายาของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน! แต่เดิมเขาค่อนข้างรู้สึกสองจิตสองใจเมื่อเขาเสนอเครื่องรางสงบจิตใจอันนั้นให้นางซึ่งมีค่ามากกว่าร้อยศิลาวิญญาณ แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เขาได้กำไรอย่างงามเลยทีเดียว! เครื่องรางซ่อนกายาของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไม่มีราคาตลาด ต่อให้เขาสามารถซื้อหามาได้ เขาก็จะต้องจ่ายอย่างน้อยหลายร้อยศิลาวิญญาณ

 

 

“ขอบคุณสหายนักพรต ข้าจะไม่เกรงใจล่ะ”