โม่เทียนเกอมีเหตุผลของนางเองในการให้เครื่องรางซ่อนกายาอันล้ำค่าแก่เขา อย่างแรก นางไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณตัวน้อยผู้เร่ร่อนและยากจนอีกต่อไป ตอนนี้นางเป็นคนของกลุ่มการฝึกตนและมีท่านอาจารย์ การให้แค่เครื่องรางซ่อนกายาไม่ได้มีผลอะไรกับนาง อย่างที่สอง “แสร้งทำเป็นหมูเพื่อกินเสือ” อาจจะเป็นวิธีที่ได้ผลดี แต่ถ้านางมีพละกำลังมากพอ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุบายนี้เลยแม้แต่น้อย
ที่นั่นมีคนรวมอยู่ทั้งหมดห้ากลุ่ม เกี่ยวกับศิษย์ผู้หญิงสามคนจากสภาปี้เซวียน มันคงจะดีหากพวกนางไม่ลากทั้งกลุ่มให้ลำบากไปด้วย โม่เทียนเกอไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับพละกำลังในการต่อสู้ของพวกนาง ส่วนผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวัง ระดับการฝึกตนของพวกเขาค่อนข้างสูงและพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ หากพวกเขาร่วมมือกัน นางก็รู้สึกจริงๆ ว่าพวกเขาอาจจะรับมือได้ค่อนข้างยาก ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่สามารถร่วมมือกันเป็นหนึ่งได้ ส่วนคู่รักเหยา ในทางตรงกันข้าม กลับร่วมมือกันได้อย่างดีแต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาค่อนข้างต่ำ ระดับการฝึกตนของนักพรตฟางเจิ้งเมื่อเทียบแล้วถือว่าสูงและเขาก็แข็งแกร่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทรัพย์สมบัติมากนัก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงมั่นใจว่าถ้านางสู้เต็มแรง มันคงไม่ยากที่จะเอาชนะเขา
เมื่อเป็นเช่นนั้น นางก็น่าจะแสดงให้เห็นถึงพละกำลังของนางสักเล็กน้อย ถ้าเป็นคนอื่นมันคงไม่สำคัญ แต่นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนฉลาด ไม่เพียงแต่เขาจะเคารพยำเกรงนางแต่เขาจะเห็นนางเป็นมิตรของเขาอย่างจริงใจด้วย
ภายในม่านพลังมายา ง่ายมากที่คนจะถูกหลอกถ้าพวกเขาไม่มีคนอื่นๆ อยู่คอยเตือนสติ ดังนั้นการมีพันธมิตรก็ย่อมดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียว
หลังจากให้เครื่องรางซ่อนกายากับนักพรตฟางเจิ้งและพูดคุยกันสักครู่หนึ่งสั้นๆ โม่เทียนเกอเข้าไปที่มุมหนึ่งและนั่งลงเพื่อทำสมาธิอีกครั้ง
เพราะหุ่นลวงตาจากเมื่อครู่นี้ ผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังก็หมดความสนใจจะเอาชนะใจอวิ๋นหันเยียนไปเช่นกัน พวกเขาย้ายไปด้านข้างและเริ่มกระซิบกระซาบกันแทน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังคุยกันถึงตัวตนที่แท้จริงของโม่เทียนเกอ
แต่โม่เทียนเกอไม่สนใจ ไม่ว่าคนพวกนี้จะคิดกับนางอย่างไร พวกเขาแต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทางอยู่ดีหลังจากออกจากหุบเขา เมื่อถึงจุดนั้นตัวตนของนางจะสำคัญอะไร
เป็นเช่นนั้นเอง พวกเขาผ่านค่ำคืนไปอย่างหวาดกลัวแต่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ภาพลวงตาแทบทุกแบบปรากฏขึ้นในคืนนั้น แต่โชคดีที่พวกเขาคอยดึงสติกันและกัน ภาพลวงตาพวกนั้นจึงไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาใหญ่อะไร
ครั้นถึงรุ่งอรุณ นกก็เริ่มขับขาน แสงแรกของตะวันสาดส่องทะลุผ่านเข้ามาในหุบเขา หน้าผาที่อยู่รอบๆ หุบเขานี้ทั้งสูงและชัน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์ส่องแสงลงมายังหุบเขา ก็เป็นเวลายามมะเส็ง [1] แล้ว
คนหกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมด จึงไม่จำเป็นต้องนอนพัก อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านค่ำคืนนั้นไปด้วยสภาวะหวาดกลัว หญิงสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วก็ไม่ได้มีสภาพจิตที่ดีสักเท่าไหร่ในตอนนี้
โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งเหลือบมองกัน ทั้งสองคนเห็นความรู้สึกหมดหนทางในดวงตาอีกฝ่าย ผู้หญิงพวกนี้ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคอยถ่วงคนอื่น! โชคร้ายที่ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะทิ้งผู้หญิงพวกนี้ไป แต่พวกเขาก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วยถ้าทำเช่นนั้น
บัดนี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว ทว่าคนอื่นๆ ก็ยังไม่มาปรากฏตัว ชายแซ่ลู่และแซ่หวังไม่อาจนั่งเฉยๆ อยู่ได้อีก พวกเขากระซิบกันครู่หนึ่งแล้วจึงเดินมาหาโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งพร้อมๆ กัน พวกเขาติดอยู่ในม่านพลังแค่ไม่ถึงหนึ่งวันแต่ก็เกิดการรวมกลุ่มเล็กๆ ขึ้นระหว่างพวกเขาแล้ว อวิ๋นและหลิว เช่นเดียวกับลู่และหวัง ต่างมาจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกัน ต่อให้แต่ละคู่มีความขัดแย้งภายในระหว่างกันแต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งทั้งคู่ต่างมาคนเดียวและนิสัยของพวกเขาก็ค่อนข้างคล้ายกัน ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ สนิทกันมากขึ้นไปโดยอัตโนมัติ
“สหายนักพรต” ผู้พูดคือผู้ฝึกตนแซ่ลู่
โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งลืมตาเพื่อมองเขา
ชายแซ่ลู่และแซ่หวังนั่งขัดสมาธิด้านหน้าพวกเขาแล้ว “สหายนักพรต การยังทำเช่นนี้ต่อไปนั้นไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ม่านพลังมายาที่ซับซ้อนจะเผาผลาญพละกำลังของคนที่เข้าไปในนั้น ยิ่งเราติดอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ สถานการณ์ก็จะยิ่งอันตรายกับพวกเรามากขึ้นเท่านั้น เลือดของเราอาจจะถูกดูดกลืนไปจนไม่มีอะไรเหลือเลยก็ได้”
นักพรตฟางเจิ้งตกใจสุดขีดกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน “ดูดกลืนเลือด”
ผู้ฝึกตนแซ่หวังพูดแทนและอธิบายว่า “ถูกต้อง! พวกเราศิษย์พี่น้องเป็นศิษย์จากโรงเรียนกุ่ยกู่ซึ่งแตกออกมาจากโรงเรียนเทียนเหลียง เนื่องจากโรงเรียนเทียนเหลียงถูกกำจัดไปนานแล้ว โรงเรียนกุ่ยกู่ของเราจึงแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของปรัชญาแห่งม่านพลัง”
แค่ตอนนี้ที่ผู้ฝึกตนสองคนนี้เพิ่งพูดถึงชื่อเสียงที่สืบทอดมาโดยโรงเรียนของพวกเขา โม่เทียนเกอก็เคยได้ยินชื่อโรงเรียนกุ่ยกู่มาก่อน ถึงแม้ผู้ฝึกตนแซ่หวังจะพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ความจริงก็ไม่ได้ต่างกันมากมายนัก ไม่มีกลุ่มการฝึกตนที่ยอดเยี่ยมกลุ่มไหนในขั้วท้องฟ้าที่มีชื่อเสียงในด้านม่านพลัง มีแค่กลุ่มการฝึกตนขนาดกลางจำนวนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในม่านพลัง และในหมู่พวกนั้น โรงเรียนกุ่ยกู่ก็จัดได้ว่าเป็นที่รู้จักดี
มุมปากโม่เทียนเกอเผยอขึ้นเกิดเป็นรอยยิ้มคลุมเครือบนหน้านาง คำพูดที่ผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังพูดออกมาฟังดูค่อนข้างน่าหวาดกลัว นางก็ร่ำเรียนเรื่องม่านพลังมายามาก่อนเช่นกันและก็มีทฤษฎีที่บอกว่ามันจะดูดกลืนเลือดของคนอยู่จริงๆ อย่างไรก็ตามมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากม่านพลังได้ ภายในม่านพลังมายา เลือดของพวกเขาจะถูกดูดไปถ้าคนคนนั้นถูกภาพลวงตาทำให้สับสน แต่ถ้าพวกเขาสามารถครองสภาวะจิตเอาไว้ได้ พวกเขาก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
เมื่อเห็นสีหน้านาง ชายแซ่ลู่และแซ่หวังก็รู้สึกค่อนข้างสงสัยเพราะพวกเขาไม่เข้าใจกระบวนการความคิดของนาง พวกเขาเหลือบมองกัน จากนั้นผู้ฝึกตนแซ่ลู่พูดต่อด้วยรอยยิ้ม “น้องคือลู่เซี่ยงซิน นี่คือศิษย์น้องของข้า หวังเซี่ยงจื้อ ข้าขอถามชื่อสหายนักพรตได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่านักพรตฟางเจิ้งทักทายกับสองคนนี้ไปก่อนหรือยัง แต่หลังจากที่นางเข้าไปในโถงที่มีแท่นแห่งธาตุทั้งห้าสี กลไกของมันก็เริ่มขึ้นทันที นางจึงได้ยินแค่แซ่ของทั้งสองคนจากซางหรูหว่าน
“ชื่อแห่งเต๋าของข้าชื่อฟางเจิ้ง” นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้าให้กับชายทั้งสองคน
โม่เทียนเกอก็ตอบเช่นกันว่า “เยี่ยเสี่ยวเทียน”
ชายแซ่ลู่และแซ่หวังดูค่อนข้างประหลาดใจแต่พวกเขาไม่ได้เซ้าซี้ว่าทำไมชื่อของนางจึงต่างจากชื่อที่ได้ยินเมื่อคืนนี้
คนทั้งสี่จึงแลกเปลี่ยนการทักทายกันอีกครั้ง จากนั้นลู่เซี่ยงซินพูดว่า “สหายนักพรต สรุปก็คือยิ่งเราอยู่ในม่านพลังมายานี้นานเท่าไร ร่างกายเราก็จะได้รับความเสียหายหนักขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรจะออกจากม่านพลังนี้โดยด่วน”
โม่เทียนเกอหัวเราะหึ “เราพยายามจะออกอยู่ตลอดแต่แค่เรายังไม่สามารถหาทางออกได้เท่านั้น ในเมื่อสหายนักพรตพูดเช่นนี้ หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะเจอทางแก้ปัญหาแล้ว”
“นี่…” ลู่เซี่ยงซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
หวังเซี่ยงจื้อจึงพูดแทน “แม่นางเยี่ย ว่ากันตามตรง ม่านพลังนี้ซับซ้อนอย่างมาก เราเองก็คิดไม่ออกเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ควรจะอยู่เฉยๆ ไปตลอด หรือไม่ใช่”
นักพรตฟางเจิ้งเหลือบมองสีหน้าของโม่เทียนเกอแล้วจึงถามชายทั้งสอง “เช่นนั้นตามคำของสหายนักพรต เราควรจะทำอย่างไร”
พอได้ยินนักพรตฟางเจิ้งลดน้ำเสียงให้อ่อนลงเมื่อเขาพูด ลู่เซี่ยงซินจึงมีกำลังใจขึ้นมา “ตามการศึกษาด้านม่านพลังของเรา เป็นไปไม่ได้ที่ม่านพลังจะไร้ที่ติไปหมดไม่ว่ามันจะซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม ถึงแม้ว่าหุบเขานี้จะไม่กว้างใหญ่แต่มันก็ซับซ้อนมาก ตราบใดที่เรายังคงตามหาต่อไป เราจะต้องเจอกับอะไรสักอย่างได้แน่นอน”
“เจ้าพูดถูกแต่…” โม่เทียนเกอชำเลืองมองหญิงสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่ว “มีพวกเราหกคนอยู่ที่นี่ เราจะแยกกันออกตามหางั้นหรือ”
ชายแซ่ลู่และแซ่หวังสังเกตเห็นการบอกใบ้ที่นางสื่อจากสายตา พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้นพวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายของนางได้อย่างไร ทั้งคู่ดูขัดแย้งขึ้นมาทันที “นี่…”
โม่เทียนเกอยิ้มเสแสร้ง “สหายนักพรต กินอย่างเดียวโดยไม่ทำงานไม่ได้หรอกนะ อ๋า!”
ลู่เซี่ยงซินไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่ในทางกลับกัน หวังเซี่ยงจื้อ… หลังจากเขาได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด ใบหน้าเขาก็แดงทันที สายตาที่โม่เทียนเกอชำเลืองมองผู้หญิงสองคนก่อนหน้านี้เป็นการถามผู้ฝึกตนชายสองคนว่าพวกเขาจะรับหน้าที่คอยดูแลผู้หญิงพวกนั้นหรือไม่ ทั้งลู่และหวังลังเลเพราะท้ายที่สุดแล้วการจีบก็คือการจีบ ชีวิตของพวกเขาเองยังคงสำคัญกว่า ตอนนี้คำพูดของโม่เทียนเกอตั้งใจจะเสียดสีพวกเขา พูดว่าพวกเขาต้องการเอาเปรียบคนอื่นแต่ไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ หวังเซี่ยงจื้อเป็นคนหน้าบาง พอเห็นว่าโม่เทียนเกอที่เป็นสาวสวยเช่นกันกลับพูดจาเยาะเย้ยพวกเขาซึ่งๆ หน้า เขาก็อดที่จะรู้สึกอับอายไม่ได้
ชั่วขณะหนึ่งที่สถานการณ์กลายเป็นกระอักกระอ่วน มีเพียงหญิงสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะพวกนางอยู่ค่อนข้างห่างจากพวกเขา
“แค่ก!” นักพรตฟางเจิ้งไอแล้วจึงพูดว่า “สหายนักพรต ตาแก่คนนี้จะขอพูดอย่างตรงไปตรงมา นับว่าเราสุภาพมากแล้วที่ไม่เอาชีวิตพวกนาง ตาแก่คนนี้ไม่อยากจะต้องแบกรับภาระแทนคนอื่น!”
นักพรตฟางเจิ้งเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว โลกของผู้ฝึกตนเดี่ยวนั้นโหดร้ายกว่าโลกที่ศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนใช้ชีวิตอยู่มากนัก โดยทั่วไปถ้าพวกเขาต้องการออกผจญภัยด้วยกัน คนที่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีพละกำลังมากพอจะไม่ถูกรับเข้ากลุ่ม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ทำให้เรื่องต่างๆ ยากลำบากสำหรับศิษย์ผู้หญิงจากสภาปี้เซวียนมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นก็ถือได้ว่าเขาแสดงความสุภาพต่อพวกนางมากพอแล้ว อย่างไรเสีย สถานการณ์นี้ก็แตกต่างจากการออกไปผจญภัยตามที่ตกลงกันไว้ ขณะนี้พวกเขาทั้งเก้าคนต้องมารวมกลุ่มกันเพราะความบังเอิญ
ในเมื่อนักพรตฟางเจิ้งพูดเช่นนี้ ชายแซ่ลู่และแซ่หวังจึงไม่มีอะไรพูดอีก หลังจากมองกันไปมา ลู่เซี่ยงซินแสดงจุดยืนของเขาทันที “ตกลง เราทั้งสี่คนจะออกค้นหาต่อ ส่วนสำหรับคนอื่น… เราไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก แต่ในเมื่อเรายืนอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่แยกกันคนละอัน เราก็ควรจะคิดถึงการมีชีวิตรอดด้วย”
สิ่งที่เขาพูดได้รับความเห็นชอบจากอีกสามคน
คนทั้งสามยังคงระดมความคิดกันอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นลู่เซี่ยงซินจึงเดินเข้าไปคุยกับพวกผู้หญิงทั้งสองคน
โม่เทียนเกอไม่มีความสนใจในสิ่งที่พวกเขาคุยกัน นางเพียงเห็นจากไกลๆ ว่าพอได้ยินสิ่งที่ลู่เซี่ยงซินพูด อวิ๋นหันเยียนก้มหัวลงและเช็ดน้ำตา หลังจากใช้เวลาสั้นๆ ในการปลอบพวกผู้หญิง ลู่เซี่ยงซินก็กลับมาด้วยรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าเขา
โม่เทียนเกอขี้เกียจเกินกว่าจะกังวลกับเรื่องของคนอื่น โดยปกติแล้วนักพรตฟางเจิ้งก็ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกหนุ่มสาวแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นทั้งสี่คนจึงไปตามทางด้วยความเงียบสงบ จากนาทีที่พวกเขาลงจากแท่นบูชา พวกเขาก็ออกตามหาต่อไปช้าๆ
พวกเขายังไม่ทันไปได้ไกลจากแท่นบูชาเมื่อหวังเซี่ยงจื้อร้องเรียกพวกเขาอย่างกะทันหัน
ถึงแม้ทั้งสี่คนจะเคลื่อนไปด้วยกันแต่พวกเขาก็แยกกันตามหา ขณะนั้นอีกสามคนเงยหน้าขึ้นและเพ่งมองไปที่เขา
หวังเซี่ยงจื้อส่งสัญญาณให้พวกเขา สีหน้าของเขาดูจริงจัง
ทั้งสามคนที่เหลือเหาะไปหาเขา
เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงตรงที่หวังเซี่ยงจื้อกำลังยืนอยู่ สีหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
นั่นคือเหยียนรั่วซู นางกำลังนอนแผ่อยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า ดูซีดเซียวสุดขีดและไม่หายใจ
โม่เทียนเกอหมอบลง นางพยายามจะสอดแทรกพลังงานทางจิตวิญญาณของนางเข้าไปในร่างกายของเหยียนรั่วซูแต่ก็ไม่เป็นผล นางจึงยืนขึ้นและส่ายหน้า “สายไปแล้ว”
ตั้งแต่พวกเขาติดอยู่ในม่านพลังมายา ก็ยังไม่ได้เผชิญกับอันตรายที่แท้จริงใดๆ แม้จะไม่สามารถออกไปได้ก็ตาม แต่บัดนี้เมื่อมีคนตายขึ้นมาจริงๆ สีหน้าทั้งสี่คนจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที
ม่านพลังนี้คือม่านพลังมายา แต่ก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้ มันเป็นม่านพลังที่สามารถฆ่าคนได้
โม่เทียนเกอเป็นหญิงคนเดียวในทั้งสี่คน ดังนั้นหน้าที่ตรวจดูศพจึงตกอยู่ในมือนางไปโดยปริยาย
ไม่มีบาดแผลใดๆ อยู่บนร่างกายของเหยียนรั่วซู เสื้อผ้าของนางยังคงอยู่ดี ไม่มีร่องรอยของการขัดขืน ดูเหมือนกับว่าจู่ๆ นางก็ตายอยู่ตรงนั้น หลังจากตรวจสอบศพของนางอย่างรอบคอบ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าท่าทางของเหยียนรั่วซูค่อนข้างประหลาด แขนของนางยืดไปด้านข้างราวกับนางต้องการจะคว้าบางสิ่ง
“ท่านคิดว่าอย่างไร” หวังเซี่ยงจื้อถามอย่างร้อนรน
แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอเคลื่อนพลังงานทางจิตวิญญาณของนางอีกครั้งและสอดแทรกมันเข้าไปยังส่วนบนสุดของหัวเหยียนรั่วซู
หลังจากคนเราตาย เส้นลมปราณจะเปลี่ยนกลายเป็นแข็งทื่อ ดังนั้นพลังงานทางจิตวิญญาณจึงไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ทว่าส่วนบนสุดของหัวคนที่จริงแล้วเป็นทางลัดเข้าสู่ตานเถียนของพวกเขาและพลังงานทางจิตวิญญาณก็ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายจากจุดนั้นได้
หลายวินาทีต่อมา โม่เทียนเกอก็ชักฝ่ามือกลับและยืนขึ้นด้วยท่าทีผึ่งผาย
——
[1] ยามมะเส็ง: 9:00-11:00 น.