บทที่ 415.1 ทุกข์และสุขจากการพบพรากที่แกว่งไกวอยู่บนหัวใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สำนักศึกษากลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กที่มีอริยะเฝ้าพิทักษ์ บนยอดเขาภูเขาตงหัวก็คล้ายจะเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง

หลังจากที่เหมาเสี่ยวตงโคจรวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ภาพบรรยากาศบนยอดเขาก็กลายเป็นเหมือนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสีทองอร่าม

อากาศเย็นสบาย

เฉินผิงอันนั่งอยู่ทิศตะวันตก ด้านหน้าวางเตาตู้สีทองห้าสี ใช้ปราณวิญญาณที่กักเก็บไว้ในช่องโพรงน้ำมา ‘พัดลม’ ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ ‘จุดไฟ’ ผลักดันให้ในกระถางเกิดไฟที่แท้จริงซึ่งใช้ในการหลอมวัตถุลุกโชนเป็นลูกๆ

เตาหลอมโอสถพลันส่องประกายแสงเจิดจ้า ประหนึ่งดวงอาทิตย์ในโลกมนุษย์

หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นลอยตัวอยู่เหนือเตาหลอม แล้วค่อยๆ ลดระดับลงเบื้องล่างช้าๆ

เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาจึงทำไปตามลำดับขั้นตอน ใช้คาถาหลอมวัตถุของเซียนบทที่มีต้นกำเนิดมาจากศิลาขอฝนจากเซียนหน้าศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอมาขับเคลื่อนกรวดทองไหหนึ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือให้สาดลงไปในเตาหลอมโอสถ เปลวพลิงยิ่งลุกโชติช่วง สาดสะท้อนให้ใบหน้าของเฉินผิงอันเป็นสีแดงสว่างจ้า โดยเฉพาะดวงตาใสกระจ่างที่เคยเห็นขุนเขาและสายน้ำมานับพันนับหมื่นคู่นั้นที่ยิ่งงดงามเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มือคู่นั้นที่เคยขึ้นรูปเครื่องปั้นมานับครั้งไม่ถ้วนไม่มีอาการสั่นเทาแม้แต่น้อย ทะเลสาบหัวใจใสกระจ่างดุจกระจก แล้วก็เหมือนบ่อน้ำโบราณที่ไร้ริ้วน้ำ

หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูก ‘ควัก’ ออกมาจากหัวใจของเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในเตาหลอมโอสถ เดี๋ยวก็หมุนคว้าง เดี๋ยวก็พลิกกลับ

ในหัวใจบุ๋นมีทั้งควันธูปที่ได้รับมาปีแล้วปีเล่าเป็นเวลาหลายร้อยปีจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาในแคว้นไฉ่อี แล้วก็มีปราณแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ที่เสิ่นเวินมุ่งมั่นยึดถือเอาไว้หลังจากตายไป รวมไปถึงแสงแห่งจิตวิญญาณที่ฟูมฟักออกมาหลังจากได้อยู่กับตราประทับซึ่งแกะสลักจากฝีมือของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์มานานวัน พวกมันอยู่ในรูปลักษณ์จุดๆ เป็นดวงๆ ประหนึ่งดวงดาราที่ลอยอยู่กลางท้องนภายามค่ำคืน

ในบรรดาวัตถุดิบวิเศษมากมาย ก็มีเพียงดาบประจำกายของอริยะบู๊ในศาลบู๊ประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงเขาวัวพันปียาวครึ่งจั้งที่หลอมได้ยากที่สุด

จิตใจเฉินผิงอันสงบนิ่ง เขาแค่ต้องก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคงไร้ข้อผิดพลาด ใช้คาถาเซียนที่สามารถ ‘หล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ หลอมพวกมันไปอย่างเชื่องช้า

ดาบประจำกายที่เคยติดตามอริยะบู๊ท่านนั้นมาทั้งชีวิตลอยอยู่กลางอากาศเหนือเตาหลอม ค่อยๆ ละลายไปอย่างช้าๆ โดยเริ่มจากปลายดาบ กลั่นออกมาเป็นไข่มุกสีทองเม็ดหนึ่งที่ตกลงไปในเตาตู้ทองห้าสี ยิ่งเป็นช่วงท้ายๆ ความเร็วในการหยดลงของหยดน้ำก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อกันจนกลายเป็นเส้นสาย หากมีคนสามารถใช้วิธีการมองสำรวจภายใน นำกายมาพักพิงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กของเตาหลอมโอสถแล้วแหงนหน้ามองไป ไข่มุกเส้นนั้นก็จะเหมือนน้ำตกสีทองที่หล่นลงจากฟากฟ้ามาสู่โลกมนุษย์

ทองคือธาตุหลักของปอด

และหากคิดจะบำรุงปอด การที่ผู้ฝึกตนคลำหากฎเกณฑ์ข้อหนึ่งที่บอกว่าต้องบำรุงมหาสมุทรลมปราณ จุดตั้นจง (จุดฝังเข็มอยู่ตรงช่วงหน้าอก) และจุงเฟ่ยอวี๋ (จุดฝังเข็มตรงปอด) ไว้ได้แต่เนิ่นๆ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด

ตอนที่เฉินผิงอันหายใจก็จะใช้วิธีโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปด้วยคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ส่งลมปราณผ่านช่องโพรงลมปราณสามแห่ง ด่านทั้งสามแห่งพลันมีปราณกระบี่เหมือนสายรุ้งพาดผ่าน จากนั้นกล้ามเนื้อภายนอกของเฉินผิงอันก็กระตุกขึ้นลงเล็กน้อยประหนึ่งรัวกลองบนสนามรบ แม้ว่าบนยอดเขาตงหัวจะไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วในร่างกายของเฉินผิงอันที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กกลับมีสมรภูมิรบสามแห่งที่เต็มไปด้วยปราณเข่นฆ่าสังหารซึ่งมีปราณกระบี่เป็นหลัก คล้ายซากปรักหักพังของสนามรบที่ยังคงมีจิตวิญญาณของวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ไม่เต็มใจจะอยู่นิ่งเฉยอย่างสงบ

การหลอมวัตถุดิบวิเศษทั้งสามสิบกว่าชิ้นล้วนจำเป็นต้องอิงตามลำดับก่อนหลัง จำเป็นต้องเอาใส่เตาตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ขนาดไฟเล็กใหญ่ในเตาหลอมก็ยิ่งไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้

เวลานี้เหมาเสี่ยวตงมีฐานะเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา เขาสามารถใช้วิชาลับที่เป็นวิชาสืบทอดดั้งเดิมมาออกเสียงเอ่ยเตือน เพื่อที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าเฉินผิงอันจะเสียสมาธิจนเป็นเหตุให้ธาตุไฟเข้าแทรก

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ให้โอกาสนี้แก่เขาเลย

เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิแน่วนิ่งได้ตลอดเวลา จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ใช้คาถาในการหลอมวัตถุของเซียนมาหล่อหลอมวัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นจากของที่จับต้องได้จริงให้กลายเป็นภาพมายา ใช้ปราณวิญญาณในช่องโพรงน้ำกับปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่เกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่ามาบังคับเตาหลอมอย่างระมัดระวัง ใช้ปราณกระบี่สิบแปดหยุดมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ ‘สมรภูมิรบ’ ที่เป็นด่านช่องโพรงลมปราณใหญ่สามด่าน เนื่องจากการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้เกี่ยวพันกับการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ เมื่อเทียบกับการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว ยังต้องมีเรื่องยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือต้องท่องบทคาถาที่เกี่ยวพันกับธาตุทองซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุ ยกตัวอย่างเช่นบทความอริยะปราชญ์หรือบทกวีที่มีตัวอักษรคำว่าซี ชิว หรานอยู่ภายใน เกินครึ่งเป็นตัวอักษรที่เฉินผิงอันเลือกมาจากแผ่นไม้ไผ่ของตัวเอง ส่วนอีกเกือบครึ่งถึงจะเป็นตัวอักษรที่เหมาเสี่ยวตงแนะนำให้ตอนอยู่ในห้องหนังสือ

ในการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ ด่านนี้ถูกเรียกขานว่า ‘ใช้ถ้อยคำที่มาจากปอด เยี่ยมเยือนขอคำแนะนำจากอริยะปราชญ์’ (ถ้อยคำที่มาจากปอดเป็นคำที่แปลตรงตัวจากประโยคว่า 肺腑之言 ซึ่งถ้าแปลโดยภาพรวมจะหมายถึงถ้อยคำที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ)

อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงค่อนข้างเป็นกังวลกับด่านนี้

ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ไปเยือนศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงต้าสุย การที่ไม่เพียงแต่ต้องการเอาส่วนปันผลของสำนักศึกษาซานหยากลับมา ยังยืมเครื่องดนตรีและภาชนะที่ใช้ในการเซ่นไหว้เพิ่มขึ้นด้วย นั่นก็เพราะเหมาเสี่ยวตงกลัวว่าการหลอมวัตถุของเฉินผิงอันจะเกิดช่องโหว่ตรงจุดนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่เคยสัมผัสกับวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีทางลัดที่สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลให้เดิน จึงได้แต่ใช้ภาชนะของศาลบุ๋นที่กักเก็บโชคชะตาบุ๋นไว้อย่างเข้มข้นมาเป็นตัวชดเชย พยายามฝืนฝ่าด่านไปให้ได้

แต่ยังดีที่เฉินผิงอันทำได้ดียิ่งกว่าที่ผู้เฒ่าจิตนาการเอาไว้

นี่หมายความว่าการอ่านหนังสือของเฉินผิงอันได้อ่านเข้าหัวไปจริงๆ ทั้งคนอ่านหนังสือและหลักการเหตุผลที่อยู่ในตำราต่างก็ยอมรับซึ่งกันและกัน ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นรากฐานในการหยัดยืนของตัวเฉินผิงอันเอง ก็เหมือนกับระหว่างทางที่เหมาเสี่ยวตงพาเฉินผิงอันเดินไปศาลบุ๋นแล้วพูดชวนคุยว่า ตัวอักษรในตำราไม่มีขาให้เดินเอง ไม่อาจวิ่งเข้ามาในท้อง บินเข้ามาในหัวใจของคนได้ ต้องให้ตัวเองไป ‘ขบให้แตก’ ขบให้แตกคำเดียวกับประโยคว่าอ่านหมื่นตำราให้แตกฉาน! หลักการเหตุผลของลัทธิขงจื๊อยิบย่อยมากมายก็จริง แต่ไม่เคยเป็นกรงขังที่พันธนาการผู้คน นั่นต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของการทำตามใจปรารถนาได้โดยไม่ละเมิดกฎเกณฑ์

เหมาเสี่ยวตงสะทกสะท้อนใจ

ศาลบุ๋นอันเป็นศาลดั้งเดิมในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนั้นมีห้องโถงความรู้แห่งหนึ่งที่ลึกลับไม่เปิดเผยแก่คนภายนอก ซึ่งภายในเต็มไปด้วยบทความและประโยคหลักการเหตุผลที่เหล่าอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน

ตัวอักษรมีเล็กใหญ่ แสงสีทองมีทั้งเข้มข้นและบางเบา

ตัวอักษรสีทองที่อยู่ใกล้พื้นมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วหากตัวอักษรยิ่งใหญ่เท่าไหร่ แสงที่เปล่งออกมาก็จะยิ่งสว่างบริสุทธิ์มากเท่านั้น

บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาหรือไม่ก็ผู้มีความสามารถรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงของเมธีร้อยสำนักจำนวนมากชื่นชมเลื่อมใสสถานที่แห่งนี้ พวกเขาสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารทำให้บทความในจุดสูงบางส่วนที่แต่ละตัวอักษรหนักนับหมื่นชั่ง แน่วนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาทั้งห้าในแผ่นดินกลาง มากพอจะทิ้งชื่อเสียงอันหอมหวนไว้ได้นานนับร้อยปีโยกคลอน หรือถึงขั้นย้ายตัวอักษรจำนวนมากในบทความไปไว้ที่อื่นได้ตามแต่ใจปรารถนา ทว่าจนถึงทุกวันนี้กลับยังไม่มีใครที่สามารถขยับเคลื่อนตัวอักษรสีทองที่เหมือนเมล็ดข้าวโพดขนาดใหญ่ยักษ์ที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นได้เลย

เพราะนั่นคือความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สีทองของตัวอักษรบางตัวของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งที่ลอยอยู่ในจุดสูงของโถงความรู้ก็ยังจืดจางและสลายหายไปด้วยตัวเอง ในประวัติศาสตร์ลับของศาลบุ๋น ครั้งแรกที่เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้น ทำให้เหล่าอริยะในสถานศึกษาตื่นตะลึงพรึงเพริด แม้แต่รองเจ้าขุนเขาลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ศาลบุ๋นในเวลานั้นก็จำต้องรีบไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า แล้วไปจุดธูปอัญเชิญปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง

เพียงแต่ว่าอริยะทั้งสองท่านกลับไม่เผยโฉมหน้า

และเวลานั้นเอง บัณฑิตที่ยังไม่ถูกสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อยกย่องเป็นหย่าเซิ่งก็ได้กล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘ใต้หล้าไม่มีความรู้ใดไม่แปรเปลี่ยนนานนับหมื่นปี ใต้หล้าไม่มีบทความใดที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่จำเป็นต้องตื่นตะลึง ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังอย่างพวกเราจะอ่านตำราสร้างวิชาความรู้กันไปทำไม?’

ด้วยเหตุนี้จิตใจของคนในศาลบุ๋นจึงสงบนิ่งลงได้

เหมาเสี่ยวตงเก็บความคิดทั้งหลายลงไปแล้วมองคนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเอง

ว่ากันด้วยรูปลักษณ์ เขาสูงสง่าโดดเด่น ประดุจป่าแก้วต้นไม้หยก ฝุ่นธุลีมิอาจแปดเปื้อน

ว่ากันด้วยจิตใจ เขาประหนึ่งไข่มุกทอแสงยามค่ำคืน ราวกับดวงจันทร์ขนาดจิ๋วที่หล่นลงในโลกมนุษย์ ยังไม่ถูกเทพแห่งตำหนักดวงจันทร์เอากลืบคืนสู่สรวงสวรรค์ ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนทอประกายพร่างพราวก็เพื่อห้อมล้อมดวงเดือนดวงนี้

มีศิษย์น้องเล็กแบบนี้

ในฐานะศิษย์พี่ จะไม่รู้สึกเป็นเกียรติได้อย่างไร?

นี่ไม่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดว่าสูงส่งหรือต่ำต้อย ไม่เกี่ยวกับตบะว่าสูงหรือต่ำ

อาจารย์ของเขาเหมาเสี่ยวตงคือเหวินเซิ่ง ศิษย์พี่มีทั้งพวกฉีจิ้งชุน จั่วโย่ว แล้วก็ได้รู้จักกับอาเหลียงตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาหลี่จี้ ถึงขั้นเคยขอวิชาความรู้จากบัณฑิตแห่งแผ่นดินกลางที่ใช้หนึ่งกระบี่เปิดถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กหวงเหอผู้นั้น

และเขาเองก็เคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่มากมาย เคยเดินทางไปขอศึกษาต่อในหลายๆ สถานที่ เคยรู้จักกับยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วยังถึงขั้นเคยดื่มเหล้า เคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำร่วมกับบรรพบุรุษสำนักกสิกรรมหลายครั้งหลายคราเกินคณานับ

ทว่าเหมาเสี่ยวตงกลับยังรู้สึกว่าตัวเองสู้เฉินผิงอันไม่ได้

เพราะเขาเหมาเสี่ยวตงพลาดอะไรไปหลายอย่าง ไม่อาจคว้าจับพวกมันไว้ได้อยู่มือ

ชุยตงซานเคยพูดถึงการเดินทางบนเส้นทางจิตใจที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากเฉินผิงอันเดินทางออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไม่ใช่การเข่นฆ่าแย่งชิงอะไร แต่เป็นการที่อาเหลียงไปเจอเขา

การทดสอบที่มองดูเหมือนมีเพียงโชควาสนาไม่มีอันตรายแม้แต่น้อยครั้งนั้น หากจิตใจของเฉินผิงอันเอนเอียงเพียงเล็กน้อยก็จะกลายเป็นอย่างจ้าวเหยา และในอนาคตก็อาจจะมีโชควาสนาเป็นของตัวเองเฉกเช่นจ้าวเหยา แต่เฉินผิงอันจะต้องพลาดอาเหลียง พลาดฉีจิ้งชุน พลาดโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดซึ่งฉีจิ้งชุนช่วยช่วงชิงมาให้เขาอย่างยากลำบากครั้งนั้น พลาดซิ่วไฉเฒ่า สุดท้ายก็พลาดหญิงสาวที่ตนเองรักไป พลาดหนึ่งก้าวก็พลาดไปทุกก้าว แพ้ทั้งกระดาน

ตอนนั้นเหมาเสี่ยวตงจำต้องถามว่า ‘แล้วเฉินผิงอันอาศัยอะไรถึงข้ามผ่านอันตรายนั้นมาได้?’

ชุยตงซานให้คำตอบที่ไม่จริงจังนัก ‘ก็อาจารย์ของข้ารู้ว่าตัวเองโง่ไงล่ะ แน่นอนว่าโชคดีก็พอจะมีอยู่บ้าง’

เหมาเสี่ยวตงอยากจะซักถามให้ละเอียด แต่ชุยตงซานกลับไม่เต็มใจจะพูดถึงอีก

ถึงท้ายที่สุดการที่เหมาเสี่ยวตงไปขนเครื่องดนตรีและภาชนะทั้งหลายมาจากศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงก็ไม่ใช่การส่งถ่านท่ามกลางหิมะ แต่เป็นแค่การปักบุปผาบนผ้าแพรเท่านั้น

แต่ก็แน่นอนว่าตอนนี้เหมาเสี่ยวตงดีใจยิ่งกว่าอะไร

นี่หมายความว่าระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่หลอมมาจากหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้จะต้องสูงขึ้น

แน่นอนว่าอาจด้อยกว่าเมื่อเทียบกับตราประทับตัวอักษรน้ำ แต่ใต้หล้านี้จะไปหาตราประทับที่ฉีจิ้งชุนใช้จิงชี่เสินของตัวเองมาสลักเป็นตัวอักษรได้จากที่ไหนอีกเล่า?

ต่อให้เป็นเหมาเสี่ยวตงก็ยังรู้สึกเสียดายแทนเฉินผิงอันที่ต้องเสียตราประทับตัวอักษรภูเขาไปในร่องเจียวหลง ไม่อย่างนั้นหากสร้างสถานการณ์ที่ ‘ภูเขาและแม่น้ำแอบอิง’ ขึ้นมาได้ หลังจากหลอมตราประทับแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นเสร็จก็ไม่ได้ง่ายดายแค่ฝ่าทะลุคอขวดของสองขอบเขต เลื่อนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสองขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่ต้องกลายเป็นขอบเขตสามขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน! ต่อให้วัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกสามชิ้นที่เหลือจะระดับแย่แค่ไหน ขอแค่รวบรวมให้ได้ครบห้าธาตุก็ต้องสามารถฝ่าธรณีประตูใหญ่ขั้นที่หนึ่งของผู้ฝึกลมปราณ ตรงดิ่งไปยังห้าขอบเขตกลางได้แน่นอน!

แต่เหมาเสี่ยวตงเองก็รู้ดีว่า การที่พกเอาตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุนไปที่ภูเขาห้อยหัว มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดอุปสรรคใหญ่หลวงขึ้น

นี่มองดูเหมือนการได้และเสีย การเลือกและการสละที่เหมือนจะไม่มีร่องรอยให้สืบสาว แต่นี่กลับเป็น ‘ความรู้อันเป็นรากฐาน’ ที่อยู่ลึกลงไปข้างในยิ่งกว่าการฝึกวิชาหมัด วิชากระบี่ การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่หลักการความรู้บางส่วนที่เฉินผิงอันบรรลุมาได้เสียอีก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงชุยตงซานมีการศึกษาค้นคว้ามากที่สุด การแบ่งแยกระหว่างคนและเทพเจ้า ส่วนลึกของจิตวิญญาณ เป็นคนควรปฏิบัติตัวอย่างไร บนเส้นทางสายเล็กที่ดำมืดสายนี้ ชุยตงซานและชุยฉานเดินไปได้ไกลอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่เดินไปได้ไกลที่สุดในโลก

เล่าลือกันว่าปีนั้นก่อนหน้าที่ชุยฉานจะตัดสินใจทรยศต่อสายบุ๋นเหวินเซิ่ง เขาได้ไปเยือนที่โถงความรู้ของศาลบุ๋นประจำแผ่นดินกลางแห่งนั้น เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองตัวอักษรบนพื้นที่ดุจดั่งเมล็ดข้าวโพดสีทองอยู่นานถึงสามวันสามคืน มองแค่ส่วนที่อยู่ต่ำสุด ไม่มองตัวอักษรที่อยู่สูงขึ้นไปแม้แต่ตัวเดียว

เหมาเสี่ยวตงถอนหายใจเบาๆ

ไม่ว่าอย่างไร การที่สามารถหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างราบรื่นก็ถือเป็นโชควาสนาที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งครั้งหนึ่งแล้ว

อย่าแสวงหาความสมบูรณ์แบบ จิตใจอย่าทะเยอทะยานมากเกินไป

—–