บทที่ 415.2 ทุกข์และสุขจากการพบพรากที่แกว่งไกวอยู่บนหัวใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เหมาเสี่ยวตงไม่มัวเหม่อลอยอีก เขาทยอยเอาชะตาบุ๋นที่บรรจุอยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะแต่ละชิ้นกรอกเทเข้าไปในเตาหลอมโอสถตามลำดับด้วยฝีมือที่ประณีตอัศจรรย์ถึงขีดสุด

นี่จึงเป็นเหตุให้สือโหรวและเซี่ยเซี่ยได้เห็นภาพทิวทัศน์งดงามเลิศล้ำที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาถูกอาบย้อมไปด้วยประกายแสงสีทองหนึ่งชั้น

เตาหลอมโอสถที่มีปราณห้าสีลอยตลบอบอวลพลันหยุดชะงัก จากนั้นไอเมฆหมอกก็สลายหายไปจนสิ้น

หัวใจบุ๋นสีทองที่ลอยอยู่นิ่งๆ ตรงก้นของเตาตู้สีทองห้าสีกลายเป็นของเหลวสีทอง จากนั้นก็ค่อยๆ มีบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่สูงหนึ่งนิ้วมือ ‘เติบโต’ ขึ้นมา เพียงแต่ว่าร่างทั้งร่างเป็นสีทอง มันกระโดดผลุงทีเดียวก็มาอยู่ตรงขอบบนสุดของเตาหลอมโอสถ แหงนหน้ามองเฉินผิงอัน ใบหน้ายังคงพร่าเลือน ไม่เห็นองคาพยัพทั้งห้าอย่างชัดเจน แต่มองดูแล้วมีลักษณะเหมือนเฉินผิงอัน นอกจากจะสะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ด้านหลังแล้ว ตรงเอวยังห้อยตำราเล่มเล็กสีทองหลายเล่มที่ใช้ด้ายสีทองเส้นเล็กบางร้อยเข้าไว้ด้วยกัน คนจิ๋วสีทองที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อพูดเหมือนคนแก่ว่า “ต้องอ่านหนังสือให้มาก! อีกอย่าง เจ้าก็พูดเองว่า รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงนับว่าประเสริฐ!”

เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะยกมือเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากแล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ร่วมแรงร่วมใจไปด้วยกัน”

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อสีทองตัวจิ๋วกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งพรวดผลุบหายเข้าไปในช่องโพรงปอดของเฉินผิงอัน มันนั่งขัดสมาธิ หยิบเอาตำราเล่มหนึ่งที่ห้อยไว้ตรงเอวขึ้นมาเปิดอ่าน

นอกจากนี้ยังมีหัวใจบุ๋นอีกดวงลอยอยู่ในถ้ำสถิต อันที่จริงหัวใจดวงนี้ก็ถือเป็นร่างเดียวกับคนจิ๋วที่สวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่และห้อยตำราผู้นี้

เหมาเสี่ยวตงอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสนเท่ห์ “มีอะไรไม่เหมาะหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูกนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก่อตัวกลายมาเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อ ข้าไม่รู้สึกว่าน่าตกตะลึงอะไร แต่ทำไมมันถึงได้พูดประโยคนั้น?”

เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบว่า “หลังจากที่ข้าได้รู้จักตัวอักษรและอ่านหนังสือออกก็กลัวมาโดยตลอดว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองสรุปออกมาจะผิดพลาด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปีนั้นที่เจอกับเด็กชายชุดเขียวหรือภายหลังที่ได้เจอกับเผยเฉียน แล้วก็ตามมาด้วยชุยตงซานที่ถามคำถามสองข้อนั้นกับข้า ข้าก็กลัวมาโดยตลอดว่าความรู้ของตัวเองจะเป็นความรู้ที่ข้าคิดไปเองว่ามีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับผิดเมื่อนำไปใช้กับคนอื่น อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ครอบคลุมมากพอ ไม่สูงส่งมากพอ ก็เลยเป็นกังวลว่าจะชักนำลูกศิษย์ไปในทางที่ผิดพลาด”

เหมาเสี่ยวตงพลันกระจ่างแจ้ง เขาคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม “แบบนี้แหละ…ถูกต้องมากๆ แล้ว!”

เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน โบกมือสลายวิชาอภินิหารของอริยะบนยอดเขาทิ้งไป แต่ฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษายังคงอยู่ เขาเอ่ยกำชับว่า “ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป หลังจากนี้สามารถหยิบเอาป้ายหยกสีทอง ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นออกมาดึงเอาโชคชะตาบุ๋นที่ยังเหลืออยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะเซ่นไหว้ ไม่ต้องกังวลว่าหากตัวเองล้ำเส้นแล้วจะไปขโมยโชคชะตาบุ๋นและปราณวิญญาณของภูเขาตงหัวมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะเป็นคนชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเอง และหลังจากนี้เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองที่แท้จริงแล้ว”

เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนเอ่ยขอบคุณ

เหมาเสี่ยวตงโบกมือ บ่นว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้นิสัยขี้เกรงใจของศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้านี่ไปเรียนรู้มาจากใคร”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ไม่แน่ว่าอาจจะเรียนรู้มาจากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ได้นะ?”

เหมาเสี่ยวตงรีบตีหน้าเคร่งพูดจริงจัง “ความหวังดีและตั้งใจจริงของท่านอาจารย์ เจ้าต้องหัดเรียนรู้มาให้ดี!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าล้อเล่นนะ”

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยสั่งสอน “การถ่ายทอดความรู้ของอาจารย์อยู่ที่คำพูด อยู่ที่การทำตัวเป็นแบบอย่าง อยู่ที่สิ่งละอันพันละน้อย ในฐานะเด็กรุ่นหลัง จะทำเป็นเล่น จะทำอย่างขอไปทีได้อย่างไร!”

เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ

เหมาเสี่ยวตงหมุนตัวกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไหนเลยจะมีท่าทางขุ่นเคืองเช่นเมื่อครู่ ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังอ่อนด้อยนัก

แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาไหลย้อนกลับอย่างเชื่องช้า ฤดูใบไม้ร่วงสีทองอร่ามกลับคืนสู่บรรยากาศของฤดูร้อน ใบไม้ที่ร่วงหล่นย้อนกลับไปเกาะกิ่งก้าน เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียวขจี

พอเหมาเสี่ยวตงจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกสีทองมากำไว้ในมือ เริ่มดูดดึงโชคชะตาบุ๋นที่เหลืออยู่จากการหล่อหลอมของเตาโอสถ

ลำธารสีทองเส้นเล็กๆ หนาเท่านิ้วหัวแม่มือเส้นหนึ่งล้อมวนอยู่รอบป้ายหยก จากนั้นก็ไหลรินเข้าไปในแผ่นป้ายอย่างเชื่องช้า

แล้วค่อยไหลจากป้ายหยกไปยังฝ่ามือของเฉินผิงอัน มุ่งหน้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อและหัวใจบุ๋นสีทองอาศัยอยู่

เมื่อเคลื่อนผ่านตำแหน่งหนึ่งในนั้นก็ได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผืนนาหัวใจของเฉินผิงอัน

เมื่อลำธารโชคชะตาบุ๋นสีทองไหลหลั่งเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณ คนจิ๋วที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อก็ไม่อ่านหนังสืออีกต่อไป มันหัวเราะปากกว้าง กระโดดโลดเต้นโบกไม้โบกมืออย่างลิงโลด

นี่คงเป็นนิสัยเด็กๆ ที่น้อยครั้งนักจะเปิดเผยออกมาท่ามกลางช่วงเวลาการเติบโตของเฉินผิงอัน

หลังจากลำธารมาหยุดอยู่ในถ้ำสถิตแล้ว คนจิ๋วสีทองก็เดินลุยน้ำมาถึงหน้าประตูใหญ่ของจวน ตะโกนเสียงดังหนึ่งครั้งก็เห็นว่ามังกรเพลิงตัวที่จำแลงมาจากปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์พุ่งพรวดมาถึง

มันกระโดดผลุงหนึ่งทีก็ไปนั่งอยู่บนหัวมังกร ร้องตวาดออกคำสั่งแล้วควบขาสองข้างอย่างแรง ขี่มังกรลาดตระเวนไปในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนนี้

เฉินผิงอันใช้วิธีสำรวจภายในมองไปเห็นภาพนี้ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย

เหตุใด ‘ตน’ ถึงได้ซุกซนขนาดนี้?

ดูเหมือนจะไม่ได้ดีไปกว่ากู้ช่านและเด็กชายชุดเขียวสักเท่าไหร่เลย?

……

อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงลอบมองเหตุการณ์ทางฝั่งนี้อยู่เงียบๆ ตลอดเวลา

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ใช้ป้ายหยกสีทองดูดดึงเอาโชคชะตาบุ๋นของศาลบุ๋นต้าสุยมาจนหมดไม่มีเหลือ

และถึงแม้การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะเผาผลาญปราณวิญญาณที่สั่งสมในจวนน้ำแห่งนั้นไปจนสิ้น อีกทั้งตอนนี้ยังได้เป็นผู้ฝึกลมปราณตัวจริงเสียจริงแล้ว ทว่าอย่าว่าแต่โชคชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวเลย ต่อให้เป็นปราณวิญญาณที่เมื่อเทียบกันแล้วไม่ค่อยมีค่า แม้ว่าศิษย์พี่อย่างเขาจะเปิดปากอนุญาตแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยอมดึงเอาไปแม้แต่หยดเดียว

จนกระทั่งบัดนี้เหมาเสี่ยวตงถึงได้คิดว่าตัวเองน่าจะรู้แล้วว่าเฉินผิงอันข้ามผ่านเส้นทางแห่งจิตใจที่อันตรายช่วงนั้นมาได้อย่างไร

ควบคุมตน

ง่ายดายเพียงเท่านี้

คนที่รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดจนแทบจะเรียกได้ว่าคร่ำครึ เป็นผู้ฝึกตนแต่กลับไม่รู้จักแสวงหาโชควาสนาและผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับตัวเอง มักจะทำให้คนฉลาดบนโลกมีเหตุผลให้พูดจาเย้ยหยันเหน็บแนมใส่เสมอ

เป็นเหตุให้หลักการและเหตุผลที่พัฒนามาจากความเข้าใจของเฉินผิงอันเป็นสิ่งที่คนไร้เหตุผลรังเกียจมากเป็นพิเศษ

ในใจเหมาเสี่ยวตงพลันสั่นสะท้าน

ก้อนหินใหญ่ยักษ์บางก้อนที่กดทับอยู่บนหัวใจมานาน ก้อนหินขวางทางที่แทบจะตัดขาดการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนของเขา เวลานี้คล้ายจะเริ่มขยับเคลื่อนคลายตัวบ้างแล้ว

หลักการเหตุผลไม่แบ่งแยกสายบุ๋น

เขาเหมาเสี่ยวตงเคารพอาจารย์ ตั้งปณิธานไว้ว่าชีวิตนี้จะติดตามอาจารย์เพียงคนเดียว แต่กลับไม่ยึดติดอยู่เฉพาะความคิดเห็นของฝ่ายตัวเอง ไม่ได้จงใจผลักไสความรู้ของสายบุ๋นหลี่เซิ่งเพียงเพื่อควันธูปชะตาบุ๋นของสำนักศึกษาสายตัวเอง

หลักการและเหตุผลบางอย่างในโลกนั้นเชื่อมโยงถึงกันและส่งเสริมกันและกัน

เหมาเสี่ยวตงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ปลดไม้บรรทัดลงมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วเริ่มหลับตาเข้าฌาน

สั่งสมมากใช้ทีละน้อย เมื่อวันหนึ่งพลันตื่นรู้ ฟ้าดินเคลื่อนโคจร ลมโชยพลิ้วแสงจันทร์กระจ่าง

……

ชุยตงซานที่อยู่ในระเบียงเรือนเล็กพลันลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้าตอไม้ทึ่มทื่ออย่างเหมาเสี่ยวตงก็จะผสานรวมกับมรรคาแล้วรึ?”

แล้วชุยตงซานก็ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ปัดป่ายมือเท้าสะเปะสะปะเหมือนเต่าสีขาวหิมะที่ถูกคนจับพลิกหงายท้อง…เขาแหกปากตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ทำไมข้าถึงยังเป็นก่อกำเนิดผายลมสุนัขนี่อยู่อีกเล่า วันหน้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ข้าไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้ว ใครก็ได้มาตีให้ข้าตายทีเถอะ…”

……

ท่าเรือหางผึ้ง

ผู้เฒ่าสามคนเดินเรียงเคียงบ่าไปด้วยกัน

มองดูเหมือนอายุต่างกันไม่มาก แต่แท้จริงแล้วกลับต่างกันอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าคนที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ ในอดีตไม่เคยเต็มใจจะเผยกาย นั่นก็เพราะเบื่อหน่ายความวุ่นวายในโลกมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น

เพียงแต่ว่าคราวนี้มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยว่า เจ้าไม่ใช่หนูที่วิ่งผ่านถนนเสียหน่อย จะต้องคอยเก็บหัวเก็บหางซ่อนตัวไปไย?

ดังนั้นคนทั้งสามจึงมาเดินอาดๆ กันอยู่บนถนนของท่าเรือหางผึ้งเช่นนี้

ผู้เฒ่ามีนามว่าหลิวเหล่าเฉิง เขาสัมผัสได้ถึงสายตาตื่นตะลึงบางส่วน เพียงแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พาคนข้างกายทั้งสองเดินไปยังบ้านบรรพบุรุษในตรอกเล็กเงียบๆ กระนั้นในใจก็ยังอดยิ้มฝาดเฝื่อนไม่ได้

ในใจของหลิวเหล่าเฉิงคิดว่า หากให้พวกเจ้าได้รู้ตัวตนของคนทั้งสองที่อยู่ข้างกายข้า พวกเจ้าคงตกใจจนขวัญกระเจิงเลยกระมัง

นอกจากเขาหลิวเหล่าเฉิงที่มีชาติกำเนิดอยู่ในท่าเรือหางผึ้งอันเป็นจุดเชื่อมต่อของสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว สุดท้ายกลายเป็นคนเพียงคนเดียวที่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนที่ทุกวันนี้ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ของแจกันสมบัติทวีปแล้ว

คนที่เหลืออีกสองคน คนหนึ่งคือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน เกาเหมี่ยน คือผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแจกันสมบัติทวีปด้วยเรื่องที่ว่าเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธภพแล้ว ถึงกับยอมให้ระดับถดถอยจากขอบเขตหยกดิบมาสู่ขอบเขตก่อกำเนิดถึงสองครั้ง

เป็นเพื่อนรักที่สนิทกับหลิวเหล่าเฉิงมาก ดังนั้นครั้งนี้ที่หลิวเหล่าเฉิงต้องการไปช่วงชิงเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสหลังจากที่ตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว ถึงได้ตั้งใจเรียกเกาเหมี่ยนไปด้วยกัน

เกาเหมี่ยนเรือนกายเล็กเตี้ย สวมชุดผ้าป่าน ทว่าบุคลิกท่าทางกลับป่าเถื่อนดุดัน เมื่อเทียบกับหลิวเหล่าเฉิงแล้ว เขากลับดูเหมือนผู้ฝึกตนอิสระที่ถนัดการปล้นฆ่ามากกว่าเสียอีก

ส่วนผู้เฒ่าจากทวีปอื่นที่สวมชุดคลุมยาวคนนั้น หากไม่ได้รับการยืนยันจากหลิวเหล่าเฉิงและเกาเหมี่ยนแล้วล่ะก็ เกรงว่าต่อให้เขาตะโกนบอกชื่อแซ่ของตัวเองจนคอแตกก็คงไม่มีใครยอมเชื่ออย่างแน่นอน

แซ่สวิน นามยวน

เจ้าประมุขผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก บุคคลอันดับหนึ่งขอบเขตเซียนเหรินของใบถงทวีป

เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขสกุลเจียงที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่กำเริบเสิบสานถึงเพียงนั้น แต่พอเจอกับเจ้าประมุขสวินยวนก็ยังต้องทำตัวให้เป็นคนสงบเสงี่ยมสำรวม…หรือควรจะพูดว่าเป็นเทพเซียนขอบเขตหยกดิบ

มาถึงสุดปลายทางตรอกเล็กอันเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแห่งนั้น เกาเหมี่ยนก็โหวกเหวกถามขึ้นเสียงดังว่า “หลิวเหล่าเอ๋อร์ เจ้าเด็กเจียงอวิ้นจะมาทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของพรรคข้าเมื่อไหร่? หน้าตาหล่อเหลาปานนั้น คงหลอกเทพธิดามาเป็นแขกที่ภูเขาของข้าได้ไม่น้อยเลย”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างระอาใจ “ให้ลูกศิษย์ของข้าไปอยู่ที่พรรคหมัดเทพเพื่อให้เจ้าได้เห็นเทพธิดาหน้าตางดงามจากฝ่ายต่างๆ ให้เจริญหูเจริญตา? เรื่องเละเทะจำพวกนี้ ทำไมเจ้าไม่เปิดปากพูดกับเจียงอวิ้นเองเล่า? ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เอาหน้าหนาๆ ของเจ้ามาให้ข้ายืมหน่อยเป็นไง?”

เกาเหมี่ยนก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไป “อย่ามาทำตัวเสแสร้งให้ข้าดูเลย ปีนั้นที่พวกเราออกท่องยุทธภพไปด้วยกัน เจ้าเล่าเรียนวิชาลับนอกรีตวิชานั้นมาเพื่ออะไร? นอกจากขโมยสมบัติอาคมแล้วยังขโมย…ของเทพธิดามากมายด้วย”

หลิวเหล่าเฉิงเอามืออุดปากเกาเหมี่ยน อับอายจนพานเป็นความโกรธ “ใครบ้างที่ไม่เคยทำตัวเหลวใหลในวัยหนุ่ม เจ้าเอามาเล่าไม่รู้จักจบสิ้นสักที ไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้อาวุโสสวินรังเกียจบ้างหรือไง?”

สวินยวนยิ้มตาหยี “ไม่หรอกๆ”

เกาเหมี่ยนนั่งอยู่ในลานบ้าน โบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “หลิวเหล่าเอ๋อร์ ไปซื้อเหล้าเซียนบ่อน้ำที่รสชาติดั้งเดิมที่สุดมาสักสองสามไหสิ เหล้าที่อยู่ในบ้านต้องถูกเจียงอวิ้นดื่มไปหมดแล้วแน่ๆ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว”

หลิวเหล่าเฉิงบอกลาสวินยวนคำหนึ่ง ก่อนจะออกไปซื้อเหล้า

ตอนที่กลับมาเขาก็ได้เห็นว่าตาแก่สองคนกำลังชื่นชมบุปผาในสายน้ำจันทราในคันฉ่องที่เป็น ‘วิธีการหาเงิน’ ของภูเขาเล็กๆ จำนวนมากในแจกันสมบัติทวีปผ่านภาพวาดม้วนหนึ่งกันอีกครั้ง เกาเหมี่ยนเตรียมเงินเทพเซียนไว้กองใหญ่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเซียนผู้เฒ่าสวินยวนก็ยิ่งมีเงินวางกองไว้บนโต๊ะเบื้องหน้ามากยิ่งกว่า

หลิวเหล่าเฉิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ แต่ตอนที่ส่งเหล้าเซียนบ่อน้ำกาหนึ่งไปให้สวินยวนก็ยังเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ผู้อาวุโสช่างมีอารมณ์สุนทรีจริงๆ”

สวินยวนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

บนม้วนภาพคือ ‘เทพธิดา’ คนหนึ่งที่กำลังจุดธูปหอมวาดภาพ เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น จงใจเลือกชุดกระโปรงที่รัดรึงมาสวมใส่ เนื่องจากผู้ชมสามารถปรับทิศทางของทิวทัศน์ที่ปรากฎบนม้วนภาพวาดได้ตามใจชอบ เป็นเหตุให้ท่านั่ง หรือแม้แต่ขนาดของม้านั่งที่เทพธิดาผู้นั้นเลือกใช้ล้วนพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ เรือนกายที่อวบอิ่มของนางจึงเปิดเผยส่วนเว้าส่วนโค้งให้เห็นเด่นชัด

เกาเหมี่ยนชำเลืองตามองสวินยวนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมแล้วก็หลุดหัวเราะพรืด ยื่นนิ้วไปหมุนม้วนภาพเล็กน้อยก็เห็นเป็นภาพยอดเขาด้านข้างที่น่าประทับใจทันที จากนั้นก็ใช้สองนิ้วแตะบนม้วนภาพแล้วถ่างออก ร่างของสตรีในม้วนภาพจึงขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน ทัศนียภาพที่อยู่รอบกายนางจึงหลุดพ้นออกไปจากม้วนภาพไปด้วย

เกาเหมี่ยนไม่ลืมหัวเราะเย้ยหยัน “จะแสร้งวางท่าภูมิฐานไปไย?”

สวินยวนยิ้มอายๆ ดูเหมือนจะไม่กล้าเถียงกลับ

หลิวเหล่าเฉิงดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองด้วยความระอาใจ

ว่ากันว่าคนบนเส้นทางเดียวกันที่มาจากต่างทวีปสองคนนี้ แรกเริ่มสุดถือเป็นคนประเภทที่หากไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน ในยุทธภพของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปนี้ เกาเหมี่ยนที่ใช้ฉายาว่าหนุ่มน้อยหน้าหยกและอีกฉายาหนึ่งคืออู่สือจิ้ง (วรยุทธ์ขอบเขตสิบ) นั้น การกระทำและคำพูดเหมือนกับตัวตนแท้จริงที่เป็นเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานทุกประการ นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโห มักจะด่าคนอื่นเป็นประจำ ชอบด่าพวกเทพธิดาที่คอยทำตัวเสแสร้ง อีกทั้งในสายตายังมีแต่เรื่องของผลประโยชน์ ทนเห็นท่าทางประจบยกยอสุดฤทธิ์สุดเดชยามที่พวกนางคว้าตัวเจ้าบุญทุ่มสองคนเอาไว้ไม่ได้มากที่สุด เขาจะต้องเปิดปากด่าอย่างเปิดเผย ไม่เห็นหัวผู้ชมคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ส่วนสวินยวนที่มีฉายาว่าทวนหนึ่งฉื่อกลับทำเพียงแค่ทุ่มเงินเทพเซียนอยู่เงียบๆ หากเจอคนที่ไม่ชอบก็ไม่พูดอะไร

เพียงแต่เมื่อคนทั้งสองทุ่มเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงจึงโด่งดังมากขึ้นทุกที สุดท้ายมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีการโต้เถียงกันว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพกับซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง ใครกันที่เป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป คนทั้งสองได้ ‘ลงไม้ลงมือตีกันอย่างหนัก’ หนึ่งคนหนึ่งประโยค ทุกครั้งต้องจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ทุ่มเงินไปกองใหญ่ ทำให้ผู้คนทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง ชั่วเวลานั้นผู้คนต่างก็พากันคาดเดาว่าทั้งสองท่านนี้เป็นบรรพบุรุษจากสำนักใดกันแน่ ถึงได้จ่ายเงินมือเติบขนาดนี้ ใช้เงินร้อนน้อยราวกับเป็นแค่เงินเกล็ดหิมะที่ละลายไปพร้อมกับสายน้ำ แต่กลับไม่เคยมีเรื่องซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเหล่าเทพธิดาแพร่งพรายออกมาแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อช่วยหาเงินให้แก่สำนัก ถึงขั้นยินยอมหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ไปหาผู้ฝึกลมปราณนอกรีตที่เชี่ยวชาญวิชาคลำกระดูกเพื่อเปลี่ยนแปลงหน้าตาและรูปร่างที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนเรื่องที่ว่าจะเกี่ยวพันกับชะตาชีวิต จะทำลายตบะบนมหามรรคาหรือไม่ ล้วนไม่สนใจ เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงได้แต่ปล่อยให้ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ลงมีดกับใบหน้าของตนเอง มีครั้งหนึ่งหนุ่มน้อยหน้าหยกมาพบเจอกับทวนหนึ่งฉื่อโดยบังเอิญอีกครั้ง ตอนนั้นผู้ชมหลายคนตาดี มองปราดเดียวก็สังเกตเห็นว่าเทพธิดาของสำนักตระกูลเซียนลำดับสามบางคนโฉมหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงพากันพูดจาเย้ยหยันทำร้ายจิตใจ คำพูดแปลกแปร่งระคายหูสาดมาให้ได้ยินไม่หยุด

เทพธิดาผู้นั้นอับอายเจ็บแค้นเหลือประมาณ แต่กลับไม่กล้าตอบโต้แม้เพียงครึ่งคำ นางได้แต่เอ่ยขอโทษและขอโทษอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเป็นเช่นนี้คำเสียดสีคำด่าทอจึงมากยิ่งกว่าเดิม กำเริบเสิบสานไร้ยำเกรงขึ้นทุกที

คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ หนุ่มน้อยหน้าหยกจะทุ่มเงินเปิดปากพูดเพื่อทวงความเป็นธรรม ด่ากราดพวกผู้ชมเหล่านั้นไปรอบหนึ่ง ทวนหนึ่งฉื่อก็ตามมาติดๆ เพราะมีศัตรูร่วมกัน คู่กัดสองคนจึงปรองดองสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

—–