ตอนที่ 36 มันคือสหายที่ดีที่สุดของข้า! โดย Ink Stone_Fantasy
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่ทุกคนต่างตั้งตารอมีขึ้นตรงเวลาในเช้าวันถัดไป
การแข่งขันรอบแรกเป็นของหวังลู่กับเย่เฟยเฟย ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างหมายเลขสองของทั้งสองสำนัก
ในบรรดาตัวแทนห้าคนของสำนักเซียนหมื่นเวท ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่เฟยเฟยนั้นเป็นอันดับสอง ทว่าการถูกจัดให้อยู่ใต้หลิวหลีนั้นเรียกเสียงบ่นจากหวังลู่ไม่น้อย
“เหลวไหลสิ้นดี เราต่างเป็นศิษย์ผู้สืบทอดกันทั้งคู่ ขั้นตบะของข้าก็ไม่ได้ต่ำกว่านางสักเท่าไหร่ ข้าเริ่มฝึกบำเพ็ญเซียนช้ากว่านาง ข้าเด็กกว่านาง ชื่อเสียงข้าโด่งดังกว่านาง แล้วเหตุใดตัวหลักถึงเป็นนางไปได้เล่า”
“…ข้าว่าอย่าให้แจกแจงเหตุผลจะดีกว่า”
ถึงอย่างไรในความคิดของหวังลู่ มันออกจะชัดเจนว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติคู่ควรเป็นตัวแทนหลัก แม้จะเล่าลือกันว่าหลิวหลีนั้นเก่งกาจกว่าจูซือเหยาที่ไม่ได้มาร่วมแข่งด้วยเพราะเวลาในการบำเพ็ญเซียนเกินกว่าสิบปีที่กำหนดไว้ ทว่านางก็ยังไม่คู่ควรมาขโมยตำแหน่งตัวแทนหลักจากมือเขาไปอยู่ดี
“เอาเถอะ ในเมื่อทุกคนยังไม่ประจักษ์ เช่นนั้นข้าจะเอาชนะการแข่งรอบนี้และรอบสุดท้ายเพื่อให้ทุกคนได้เห็นเอง ยินดีกับน้องสะใภ้ด้วย ที่เจ้าจะได้เป็นหินก้อนสำคัญบนถนนที่มุ่งไปสู่ตำแหน่งตัวแทนหลักของข้า”
เย่เฟยเฟยที่ยืนอยู่อีกด้านของลานเมฆางุนงงยิ่งนัก น้องสะใภ้ที่ว่านั้นหมายถึงใครกัน หรือนั่นคือวาจายั่วยุรูปแบบหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ที่ด้านใต้ลานประลอง หัวใจของไห่อวิ๋นฟานก็แทบจะหลุดออกมาจากอก ท่านหัวหน้า อย่าเล่นข้าแบบนี้สิ!
“หวังลู่ ข้ามองทะลุสถานการณ์ของเจ้าแล้ว” ดวงตาน่าเกรงขามของเย่เฟยเฟยจ้องมองคู่แข่งและกล่าวอย่างมั่นใจ “เจ้าไม่มีโอกาสชนะ”
หวังลู่มองเย่เฟยเฟย หากจะพูดอย่างเจาะจงคือเขาจ้องมองไปที่ดวงตามั่นใจทั้งคู่ของนาง จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา “เมื่อกี้นี้ข้าเชื่อว่าเจ้ามองทะลุข้าจริงๆ แต่เอาเข้าจริงเจ้าแค่พูดเกทับเท่านั้น”
เย่เฟยเฟยเหยียดยิ้ม “ไม่ว่าข้าจะพูดเกทับหรือไม่ หรือใครกันแน่ที่พูดเกทับ พอการแข่งขันเริ่มขึ้นเราก็จะได้รู้เอง”
“โอ้” หวังลู่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจจากนั้นก็ผิวปากขึ้น
“โฮ่ง!”
ฮวาฮวา เจ้าสุนัขลายด่างกระโดดขึ้นมาบนลานเมฆา และดีดไปมาอย่างร่าเริงที่ขาของหวังลู่
“ฮืม ลูกไม้เดิม” ด้านใต้ลานประลอง เจ้าเจียงยวันจ้องมองเจ้าสุนัขตาด้วยดวงตาขุ่นเขียว เขายังรู้สึกปวดหนึบที่ข้อมืออยู่
ฟันของเจ้าสุนัขตัวนี้แหลมคมมาก กรามของมันยิ่งเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่ ตอนที่เขาถูกกัดที่ข้อมือเมื่อวาน เขาไม่เพียงรู้สึกเจ็บมหันต์ พลังอิทธิฤทธิ์ของเขายังหยุดนิ่ง และไม่อาจฟื้นคืนกลับมาตลอดการแข่งขัน แม้หลังจากที่อาจารย์ช่วยรักษาแล้ว แต่มันก็ยังฟื้นตัวได้ช้ามาก…
ทว่าการโจมตีของเจ้าสุนัขนี่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสเท่านั้นละ
นอกจากฟันที่คมแล้ว เจ้าสุนัขตัวนี้ก็ไม่มีจุดเด่นจุดอื่น ไม่เพียงมันจะอ่อนแอ ความเร็วของมันก็ยังน่าหัวเราะใส่ มันไม่มีความสามารถด้านการซ่อนตัว เปลี่ยนร่างและอื่นๆ เมื่อตั้งรับหนาแน่นแล้ว มันก็จะไม่เป็นอันตรายเลยสักนิด หนำซ้ำวิธีเปลี่ยนร่างเดิมๆ ก็ไม่สามารถใช้ซ้ำได้อีก
ครั้งนี้หวังลู่กลับคิดจะใช้เจ้าสุนัขตัวนี้อีก มองจากมุมนี้อาจคิดได้ว่าเขาอับจนสติปัญญาแล้วจริงๆ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เจ้าเจียงยวันก็รู้สึกสบายใจขึ้น แม้เขาจะพ่ายแพ้การแข่งขัน แต่หากมันจะช่วยใหญ่ศิษย์พี่หญิงได้ชัยชนะมาอย่างง่ายดาย เช่นนั้นการพ่ายแพ้ของเขาก็ถือว่ามีค่า… จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่หากศิษย์พี่ใหญ่ชนะหลิวหลีได้ในการแข่งขันช่วงบ่าย และได้ไปสู้กับศิษย์พี่หญิงในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งจะเป็นการตบหน้าสำนักกระบี่วิญญาณอย่างจัง! พวกเขาจะได้รู้ว่าเล่ห์กลหรือแผนการนั้นไม่มีค่าอะไรเลย ความสำเร็จของสำนักขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งต่างหาก ไม่ใช่การวางอุบาย!
“ศิษย์พี่หญิง ท่านทำได้แน่” เจ้าเจียงยวันตะโกนนำให้กำลังใจ ลู่เฉียนไช่และไห่อวิ๋นฟานก็เอาอย่างบ้าง โชคร้ายที่ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขายังคงปิดประตูอยู่ในห้องเตรียมการในการแข่งรอบบ่าย ไม่เช่นนั้นถ้าเขามาให้กำลังใจศิษย์พี่หญิงด้วย นางคงจะตื้นตันใจมาก และยิ่งจะช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจในการแข่งของนาง!
ทว่าหลังจากตะโกนให้กำลังใจอยู่พักใหญ่ เจ้าเจียงยวันกลับเห็นว่าสายตาของศิษย์พี่หญิงดูแปลกไป… ราวกับว่ากำลังหวั่นไหว
แม้การแข่งขันจะยังไม่เริ่มขึ้น แต่การอบอุ่นร่างกายและการเตรียมความพร้อมก็เป็นเรื่องสำคัญ ควรมีการร่ายอาคมสำคัญๆ เพื่อปรับพลังวิญญาณขั้นปฐมและร่างกายเพื่อให้เข้าสู่การต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าในตอนนี้ ศิษย์พี่หญิงกลับมองดูทุกความเคลื่อนไหวของหวังลู่อย่างเอาจริงเอาจัง ไม่เท่านั้น…หลังจากที่จ้องมองหวังลู่อยู่พักใหญ่ นางก็ย้ายสายตามามองเจ้าสุนัขลายด่าง
“แปลก เหตุใดศิษย์พี่หญิงถึงดูกระสับกระส่ายเช่นนั้น หรือจะสติแตกไปแล้ว ไม่สมกับเป็นนางเลย”
“จริงด้วย ศิษย์พี่หญิงมักเป็นคนเดียวที่สงบใจตัวเองได้ดีที่สุด ในเรื่องนี้นั้นแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เองยังเทียบกับนางไม่ได้เลย แล้วทำไมนางถึงดูหงอยเช่นนั้น”
ยิ่งเจ้าเจียงยวันและลู่เฉียนไช่จ้องมองนางเท่าไร พวกเขาก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของนางยิ่งประหลาดเท่านั้น ในเมื่อพวกเขาคิดไม่ออกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงส่ายศีรษะและตะโกนให้กำลังใจนางต่อไป ตอนนี้ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักกำลังตรวจสอบสภาพของหวังลู่และเย่เฟยเฟยอยู่ และหลังจากที่ยื่นยันแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งสองก็ประกาศให้เริ่มการแข่งขัน
“แย่แล้ว!” ไห่อวิ๋นฟานเกิดฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ และรับรู้ได้ถึงหายนะใหญ่หลวงที่กำลังจะเกิดขึ้น
โชคร้ายที่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้ว! ลานเมฆาถูกยกขึ้นสูงและตัดขาดจากผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง
นี่เป็นบทเรียนที่ได้จากการแข่งขันในรอบแรก ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างจ้านจื่อเย่กับเยว่ยวัน ตอนที่จ้านจื่อเย่กำลังจะชนะ คำพูดของหวังลู่ที่อยู่ด้านนอกก็กวนให้เกินคลื่นและเกือบจะทำให้สถานการณ์การแข่งขันพลิกไปอีกทางหนึ่ง หลังจากนั้นสำนักกระบี่วิญญาณก็หามาตราการมาจัดการเรื่องนี้โดยที่ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายร้องขอ
ถึงตอนนี้แม้ผู้ชมจะสามารถเห็นเหตุการณ์ในลานเมฆาได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาไม่อาจเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้อีก แม้แต่เสียงให้กำลังใจของพวกเขาก็ไปไม่ถึงหูของผู้เข้าแข่งขันทั้งสอง นับว่าเป็นพื้นที่ประลองที่โดดเดี่ยวและยุติธรรมอย่างแท้จริง
เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น เย่เฟยเฟยก็ไม่รีรอ นางใช้วิชาเวหาวิเศษและบินขึ้นไปในอากาศทันที การเคลื่อนไหวนี้เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าผู้ชมเพราะเย่เฟยเฟยดูจะเร็วกว่าเมื่อวานเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ตอนที่เย่เฟยเฟยสู้กับเหวินเป่า นางยังไม่ได้สำแดงความสามารถที่แท้จริงออกมา… แต่มาครั้งนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหวังลู่ นางก็ไม่อาจจะซ่อนไพ่ไว้ได้อีก
เย่เฟยเฟยร่ายเสาเพลิงเข้าใส่หวังลู่เพื่อเปิดการประลอง การที่สามารถเรียกเสาเพลิงให้ตกลงมาจากฟากฟ้าได้พิสูจน์ให้เห็นความแข็งแกร่งในฐานะตัวแทนอันดับสองได้เป็นอย่างดี
หวังลู่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งดึงกระบี่แห่งเขาคุนออกมาและสกัดเสาเพลิงออกไป ซึ่งแสดงให้เห็นความสามารถในการตั้งรับที่ทรงพลังของเขา ทว่าหลังจากการจู่โจม เย่เฟยเฟยก็รู้สึกเบาใจลง เพราะเสาเพลิงเพียงกระจายออกไป ไม่ได้ย้อนกลับมาหานาง
ความสามารถในการโต้กลับของหวังลู่ใช้ได้ผลเฉพาะการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ดังนั้นตราบใดที่นางรักษาระยะห่างได้ เขาก็เป็นได้เพียงกระสอบทรายใบโตที่ไม่มีอันตราย… หากนางสามารถตั้งรับการโจมตีทางจิตใจและไม่เข้าใกล้เขา อย่างน้อยที่สุดนางก็จะอยู่ในจุดที่อีกฝ่ายไม่อาจเอาชนะได้
หนำซ้ำแม้ความสามารถในการตั้งรับของหวังลู่จะแข็งแกร่ง แต่จากข้อสรุปของเหล่าศิษย์น้องของนาง มันไม่ใช่ว่าไม่มีช่องโหว่ ความสามารถในการตั้งรับที่สุดแสนจะแข็งแกร่งของหวังลู่นั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ พลังโจมตีส่วนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามจะถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายเขา ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าพลังการตั้งรับของเขานั้นจะสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปมากนัก แต่มันมีช่องโหว่ขนาดใหญ่อยู่จุดหนึ่ง
เมื่อใดก็ตามที่พลังการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเกินขีดจำกัดของเขา การตั้งรับที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบก็จะพังทลายลงในทันที สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ หากการตั้งรับของพวกเขาถูกทะลวงได้ พวกเขาก็อาจเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าหวังลู่มีโอกาสบาดเจ็บหนักและอาจเสียชีวิตอยู่ตรงนั้นจนทำให้พ่ายแพ้ไปในทันที
เย่เฟยเฟยเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระยะไกล แม้นางจะเป็นสตรี แต่พลังอิทธิฤทธิ์ของนางก็ทรงพลังมาก ความสามารถในการยืนระยะของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้านจื่อเย่เลย ดังนั้นนางจึงไม่เชื่อว่าหวังลู่ที่อยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับสูงจะสามารถยืนหยัดได้นานกว่านาง
ทว่าหวังลู่เองก็ไม่คิดจะเป็นเพียงกระสอบทรายให้เย่เฟยเฟยฟาดเอาง่ายๆ หลังจากปัดป้องเสาเพลิงเหล่านั้นได้แล้ว กระบวนท่าต่อไปของหวังลู่ก็ทำให้เย่เฟยเฟยถึงกับจ้องมองอีกฝ่ายตาค้าง
เขาเหยียดแขนออกไปคว้าเจ้าสุนัขจอมทึ่มที่อยู่ที่เท้าแล้วโยนขึ้นไป! ขณะลอยหวืออยู่กลางอากาศ เจ้าสุนัขหน้าโง่ก็ทำท่าขู่ ใบหน้าของมันดุร้ายขึ้น ส่วนเขี้ยวก็สะท้อนกับแดดเป็นประกาย โชคร้ายที่หวังลู่เล็งได้ไม่ดีนัก เจ้าสุนัขหน้าโง่จึงลอยผ่านเย่เฟยเฟยไป
ดังนั้นเจ้าสุนัขหน้าโง่จึงตกลงมาที่พื้นของลานเมฆาอีกรอบพร้อมเสียงดังอั้กใหญ่ ซึ่งทำให้มันตกใจเป็นอย่างมาก มีเลือดไหลออกจากมุมปากเป็นทางยาว แถมยังลุกไม่ขึ้นอยู่เป็นนาน
หวังลู่ส่ายศีรษะ เดินอย่างสบายใจไปที่เจ้าสุนัข จากนั้นก็คว้ามันขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่มีทีท่าสงสาร และตั้งใจจะโยนมันขึ้นไปใหม่
คราวนี้เย่เฟยเฟยที่กำลังหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเหลือกตามองหวังลู่อย่างไม่เชื่อสายตา พลางถามอย่างร้อนรน “จะ เจ้าคิดจะทำอะไร”
หวังลู่หัวเราะ “สู้กลับ”
“ด้วยวิธีเช่นนี้น่ะนะ!?”
“แล้วข้าจะทำอย่างไรได้ ร่ายอาคมหรือ ทางเดียวที่ข้าจะสู้ได้ก็คือให้เจ้าสุนัขนี่กัดเจ้า แต่เจ้าลอยไปเสียสูง ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะโยนเจ้านี่ขึ้นไป”
เย่เฟยเฟยตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้ามันไร้มนุษยธรรมสิ้นดี!”
หวังลู่หัวเราะขำ “อย่างไรเสียข้าก็มีสัญชาติญาณของสัตว์ร้ายอยู่แล้ว!” พูดจบเขาก็โยนเจ้าสุนัขจอมทึ่มขึ้นไปอีกครั้ง
โชคร้ายที่การเล็งเป้าของเขานั้นแสนจะย่ำแย่ เจ้าสุนัขลอยหวือข้ามไหล่ของเย่เฟยเฟยไป ทว่านางกลับยื่นมือเข้าไปและปล่อยหมอกก้อนใหญ่ไปยังเจ้าสุนัขอย่างไม่นึกฝัน หมอกนั้นห่อหุ้มตัวของเจ้าสุนัขไว้และพามันลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล ทำให้ไม่ต้องเจ็บตัวอีก”
หวังลู่ตะโกนลั่น “เจ้านี่จิตใจดีเกินไปแล้ว” ดวงตาเขาเต็มไปด้วยการหยอกเย้า
เย่เฟยเฟยลนลาน รู้ทันทีว่าจุดอ่อนของนางถูกเผยเสียแล้ว ดังนั้นนางจึงรีบใช้ปะการังหยกแดงเพื่อกระตุ้นพลังอิทธิฤทธิ์ของตน ทว่าอึดใจถัดมาฉากที่สะท้อนอยู่ในดวงตากลับทำให้การหายใจของนางยุ่งเหยิง อาคมหยุดชะงัก พลังอิทธิฤทธิ์กระเจิงและวิหารหยกสั่นคลอน
หวังลู่เตะสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ของเขาอย่างรุนแรง หนำซ้ำยังเล็งไปที่จุดสำคัญอย่างจมูกและปาก จนทำให้เลือดของมันทะลักออกมา
“เจ้า!?”
หวังลู่ไม่สนใจเย่เฟยเฟยและตะคอกใส่สุนัขเสียงดัง “เจ้าโง่ ข้าให้โอกาสเจ้าตั้งสองครั้ง แต่เจ้ากลับไม่กัดนาง แล้วจะให้ข้าเลี้ยงเจ้าไปทำไม!?”
เจ้าสุนัขหน้าโง่ครางหงิง มันทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าจะครางหาบิดาของใคร หากเจ้าเจ๋งจริง ก็ไปกัดผู้หญิงคนนั้นให้ลงมา! ไป!” ขณะพูดหวังลู่ก็เตะเจ้าสุนัขเข้าอีกครั้ง
เจ้าสุนัขหน้าโง่ร้องเสียแหลม พลางสำรอกเลือดออกมา
“ฮ่ะๆ เมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้นก็ใช้หมอกช่วยประคองเจ้าตอนตกลงมา เห็นได้ชัดว่านางสงสารเจ้าไม่น้อย ทว่าในการต่อสู้จะมีคำว่าสงสารได้อย่างไร แสดงว่าเจ้าสองคนต้องรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม ผู้คนต่างพูดว่าสุนัขนั้นซื่อสัตย์ แต่สุนัขไร้ค่าอย่างเจ้ากลับเห็นคนนอกสำคัญกว่า!”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็เตะเข้าที่คอของมัน ทำให้เจ้าสุนัขหยุดร้องในทันที ผ่านไปพักหนึ่งมันก็อาเจียนเอาเลือดหลายกองออกมา
ทุกคนที่อยู่ใต้ลานเมฆาต่างพากันนิ่งเงียบ
ความโกรธของเย่เฟยเฟยพุ่งทะลุถึงฟ้า ดวงตาของนางแดงก่ำร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้ “เจ้า เจ้าคนสารเลว! ลงนรกซะเถอะ!”
อึดใจถัดมา ไห่อวิ๋นฟานที่อยู่ด้านใต้ลานเมฆาตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน “ศิษย์พี่หญิง อย่าตกหลุมพลางเชียว!”
โชคร้ายที่คราวนี้ลานเมฆาถูกตัดขาดจากการแทรกแซงจากภายนอกโดยสิ้นเชิง หลังจากที่ถูกยั่วยุจนโกรธจัด เย่เฟยเฟยก็ประสานนิ้วชี้และนิ้วนางของมือขวาเข้าด้วยกัน นางร่ายอาคมและไปปรากฏที่ด้านหลังของหวังลู่ในทันที
วิชาย้ายร่างฉบับพลันเป็นไพ่ไม้ตายในการเอาตัวรอดของเย่เฟยเฟย แต่ครั้งนี้นางกลับใช้มันเพื่อจู่โจมอีกฝ่าย นางกำปะการังหยกแดงไว้แน่นเตรียมพร้อมที่จะปล่อยพลังอัคคีสวรรค์ ในขณะเดียวกัน มีอีกข้างก็เอื้อมลงมาสำรวจร่างกายของสุนัขที่บาดเจ็บหนักใกล้ตาย
แม้การกระทำของเย่เฟยเฟยจะดูร้อนรนและเข้าตาจน แต่ใช่ว่านางไม่เตรียมพร้อม พลังอัคคีสวรรค์จากปะการังในมือขวาของนางพร้อมที่จะถูกปลดปล่อยเพื่อกันไม่ให้การโต้กลับของอีกฝ่ายทำอันตรายนางได้ ขณะที่มืออีกข้างควานหาสัญลักษณ์เชื่อมโยงของสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่เจอนางก็จะสามารถตัดสัมพันธ์ระหว่างหวังลู่กับฮวาฮวาได้ เมื่อไม่มีพันธนาการต่อกัน สัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ก็จะเป็นอิสระ ไม่ถูกเจ้านายใจมารทำร้ายอีกต่อไป
ทว่าก่อนที่มือซ้ายของนางจะทันได้สัมผัสสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ เย่เฟยเฟยก็ได้เห็นรอยยิ้มหยันคู่หนึ่ง!
หวังลู่และเจ้าสุนัขลายด่าง คนหนึ่งสัตว์หนึ่ง ช่างมีรอยยิ้มที่คล้ายคลึงกันนัก!
อึดใจถัดมา ความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้าที่มือซ้าย เจ้าสุนัขกัดนางอย่างแรง ในตอนนั้นเอง เย่เฟยเฟยก็นึกถึงคำพูดของศิษย์ผู้น้องที่ว่าเหมือนโดนควักหัวใจออกมาได้ เพราะนางกำลังรู้สึกเจ็บปวดเหลือแสน!
ในชั่วพริบตาเดียว แม้กระทั่งจิตเซียนเมฆาวิญญาณในวิหารหยกที่ก้าวหน้าไปมากแล้วก็ยังไม่อาจทนต่ออาการตกใจจนเกิดเป็นรอยร้าวขึ้น พลังอิทธิฤทธิ์ในกายของเย่เฟยเฟยสั่นสะท้านต่อเนื่องจนเกือบจะควบคุมไม่อยู่ ทว่าหวังลู่จะนั่งรอให้อีกฝ่ายฟื้นจากอาการบาดเจ็บและกลับมาหายใจดังเดิมได้อย่างไร
เขาเสือกกระบี่แห่งเขาคุนช้าๆ แต่ว่าแม่นยำไปยังปะการังหยกแดง
“ระยำเอ๊ย!”
ปะการังหยกแดงตอนนี้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะปลดปล่อยออกมาได้ทุกขณะ ทว่าด้วยแรงปะทะจากกระบี่แห่งเขาคุนรวมถึงพลังอิทธิฤทธิ์ที่เกือบจะควบคุมไม่ได้ของเย่เฟยเฟย พลังอัคคีสวรรค์จึงทะลักออกมา เกิดเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่สามารถเผาแม่น้ำผลาญทะเลได้
ด้านหวังลู่ก็กางโล่หนามแหลมออกเงียบๆ
…………………………………………