ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 37 โอ้ เจ้าอยากเป็นสหายกับข้าหรือ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 37 โอ้ เจ้าอยากเป็นสหายกับข้าหรือ โดย Ink Stone_Fantasy

 

          “ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่เป็นไรนะ”

          ทันทีที่นางตื่นขึ้นมา ก็ได้เห็นใบหน้าเป็นกังวลของศิษย์น้องไห่อวิ๋นฟาน

          เย่เฟยเฟยที่ยังรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร พยักหน้าเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน

          อาการบาดเจ็บของนางไม่ได้หนัก ก่อนที่เพลิงสวรรค์จะย้อนกลับมาโดนใบหน้าของนาง ผู้อาวุโสที่เป็นกรรมการก็ใช้ความสามารถอันสูงส่งสกัดมันไว้เสียก่อน ดังนั้นอาการของนางจึงมีเพียงวิหารหยกที่สั่นไหวและบาดเจ็บภายในเท่านั้น หลังจากโคจรลมหายใจอยู่ชั่วครู่ในส่วนพักผ่อน หัวของนางก็เริ่มโล่งขึ้น หลังจากนั้นนางก็ก้าวยาวๆ ไปยังอีกฝั่งของลานเมฆาโดยไม่ฟังคำทัดทานของเหล่าศิษย์น้องและผู้อาวุโส ตรงไปที่ส่วนที่พักของสำนักกระบี่วิญญาณ

          แน่ละว่าหวังลู่อยู่ที่นั่นด้วย เขากำลังเอาชิ้นเนื้อย่างแหย่เจ้าสุนัขขณะไอเป็นเลือดออกมา

          เมื่อเห็นเย่เฟยเฟยเดินตรงมาหาหวังลู่อย่างอุกอาจ บรรดาศิษย์ที่อยู่รอบๆ ก็เดินหนีไปเงียบๆ ทิ้งหวังลู่ไว้ลำพัง

          “โย่ ดูซิว่าใครมา แป้งสุนัข… ไม่สิ คนรักสุนัข เย่เฟยเฟยน่ะเอง มาหาข้ามีอะไรหรือ” หวังลู่ส่งสายตายั่วเย้า ซึ่งทำให้เย่เฟยเฟยโกรธขึ้งขึ้นมาในทันที

          “เจ้าวางแผนเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นหรือ” เย่เฟยเฟยเอ่ยเสียงเย็นด้วยความโกรธที่อยู่ในใจ

          “เปล่า เมื่อวานตอนที่ข้าพาเจ้าสุนัขนี่ขึ้นไปบนเวที มันเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเหล่าผู้ชมได้มาก รวมทั้งเจ้าด้วย ข้าได้ยินเสียงเจ้าชัดเจนในหมู่ผู้คน ตอนนั้นแหละที่ข้าคิดแผนการรับมือกับเจ้าได้” หวังลู่ยอมรับตรงๆ กับอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็อุ้มเจ้าสุนัขจอมทึ่มขึ้นและแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้าเย่เฟยเฟย

          “เจ้าชอบมันหรือ ถึงมันจะค่อนข้างทึ่มน่ะนะ”

          เย่เฟยเฟยกล่าว “ตอนที่เจ้าทารุณมัน… เจ้าแกล้งทำหรือ”

          “เหลวไหล เจ้าสุนัขโง่นี่เนื้อหนังหนาอย่างกับอะไร ต่อให้ข้าทารุณมันหนักมือ มันก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก เลือดที่เจ้าเห็นน่ะก็แค่ก้อนเลือดหมูที่ข้าให้มันกินก่อนหน้านี้”

          “เลือดนั่น… หน้าไม่อาย!”

          “ก็ดีกว่าไม่มีแผนการแล้วกัน” หวังลู่ไม่ใส่ใจคำกล่าวหาของอีกฝ่าย “เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ยิ่งใหญ่แต่กลับแยกเลือดหมูไม่ออก เจ้ายังมีหน้ามาอ้างว่าตัวเองสุขุมและรอบคอบในการประลองอีกหรือ”

          เย่เฟยเฟยทั้งโกรธและอาย นางนึกอยากจะจัดการหวังลู่ทั้งในตอนนี้และตอนอยู่บนเวทีให้หมอบ

          ทว่าสุดท้ายนางก็ข่มความโกรธและสงบสติอารมณ์ลง

          “หวังลู่ เจ้ายังไม่ได้เรียนวิธีฝึกสัตว์ใช่ไหม”

          หวังลู่ใช้เท้าแหย่เจ้าสุนัขเล่น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “แน่นอนว่ายัง แค่เชื่อมจิตถึงกันเท่านั้น”

          “หากไม่ได้ฝึกมัน มีเจ้าสุนัขนี่ไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าจะเก็บมันไว้ทำไม!?”

          หวังลู่หัวเราะ “ไม่น่าขำไปหน่อยหรือที่คำถามนี้ออกมาจากปากคนที่พ่ายแพ้เพราะการช่วยเหลือของสุนัข”

          “เหอะ สัตว์ภูตเช่นนี้ต้องมาเป็นของเจ้า ช่างเสียของชะมัด” เย่เฟยเฟย

กล่าว “เจ้าทั้งสองไม่เห็นสมกันสักนิด”

          “เฮ้ คิดจะแย่งสัตว์เลี้ยงข้าไปแบบนี้มันจะไม่ออกนอกหน้าไปหน่อยเหรอ!?”

          เย่เฟยเฟยเมินคำยั่วเย้าของหวังลู่ จากนั้นก็เดินหน้าพูดในสิ่งที่ต้องการ “ข้าอยากซื้อสัตว์ภูตของเจ้า เท่าไหร่ก็บอกมา”

          “แปดหมื่นล้านศิลาวิญญาณ”

          “เจ้า!?” เมื่อได้ยินราคาที่สูงลิบ เย่เฟยเฟยก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่จริงจังเลยสักนิด “วิชาบำเพ็ญเซียนของเจ้ากับวิชาฝึกสัตว์มันไม่สอดประสานกัน อีกทั้งสำนักกระบี่วิญญาณของเจ้าก็ไม่ได้สอนวิชาฝึกสัตว์ด้วย แล้วเจ้าจะเก็บมันไว้ทำไม หนำซ้ำเจ้าเองก็ไม่ได้ชอบสัตว์ภูตสักหน่อย!”

          หวังลู่กล่าว “แล้วยังไง เจ้าจะพูดว่าตัวเองรู้วิชาฝึกสัตว์ ก็เลยคู่ควรที่จะเลี้ยงสัตว์มากกว่าเรอะ”

          เย่เฟยเฟยตอบกลับ “ถูกต้อง สิ่งเดียวที่ข้าขาดในตอนนี้คือสัตว์ภูตที่เอาไว้สู้ในระยะประชิด และสามารถเชื่อมโยงจิตกับข้าได้”

          “โอ้ เช่นนั้นก็รีบไปหาเงินแปดหมื่นล้านศิลาวิญญาณมาเร็วเข้า ถ้าได้เงินมาก็เอามันไปได้เลย”

          “เจ้าช่วยจริงจังสักนิดเถอะ!”

          “เจ้าเป็นใครถึงมาพูดเรื่องจริงจังไม่จริงจังกับข้า ตอนเจ้าเห็นพวกผู้ชายที่ ‘สมบูรณ์แบบยันเงา’ เจ้าจะยอมนอนกับเขาง่ายๆ แต่พอหลังจากเขาเบื่อเจ้า เจ้าจะเต็มใจพลีร่างให้พวกไม่เอาไหนหรือเปล่าเล่า”

          เย่เฟยเฟยขมวดคิ้วแน่น “เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอะไร”

          “โอ้ งั้นข้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ หากว่าเจ้าไม่มีเงิน งั้นก็กลับไปล้างหน้านอนซะ”

          พูดจบ หวังลู่ก็เตะเจ้าสุนัขหน้าโง่ที่นอนอยู่บนพื้นข้างๆ เขา เจ้าสุนัขแยกเขี้ยว แสดงสีหน้าดุร้ายในทันที

          เย่เฟยเฟยรู้สึกสิ้นหวัง นางรู้ตัวว่าหมดโอกาสแล้ว จึงไม่ได้กล่าวอะไรและเดินจากไป

          ทว่าตอนที่กำลังจะก้าวออกจากบริเวณที่พัก นางก็อดหันกลับมาพูดไม่ได้ “หวังลู่ อย่าคิดว่าเจ้าจะหวังพึ่งเล่ห์กลไปได้ตลอด ในรอบชิงชนะเลิศ ศิษย์พี่ของข้าจะสั่งสอนเจ้าแน่!”

          “ฮ่าๆๆ สั่งสอนข้าต่อหน้าคนดูน่ะนะ ข้าจะรอดูเลย!”

——

          พอถึงช่วงบ่าย ผู้คนต่างก็มาออกันที่ลานเมฆาอีกครั้ง

          ในความคิดของหลายๆ คน รอบรองชนะเลิศระหว่างจ้านจื่อเย่และหลิวหลีคือสุดยอดการประลองของวันอย่างแท้จริง แม้หวังลู่จะสร้างผลงานที่น่าตื่นตะลึงได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในสายตาของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียน เขาห่างไกลจากเส้นทางที่ถูกต้องของผู้บำเพ็ญเซียนมากเกินไป

          สองคนที่ถือเป็นตัวแทนของสำนักในฐานะศิษย์ชั้นแนวหน้าที่แท้จริงก็คือหลิวหลีและจ้านจื่อเย่ สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ทั้งสองสำนักเตรียมความพร้อมตั้งแต่เมื่อวาน และทั้งสองฝ่ายต่างก็ขังตัวเองอยู่ภายในห้องราวกับนัดหมายกันไว้ก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทั้งสองสำนักต่างทำงานกันอย่างหนักหน่วงจริงๆ

          ตัวอย่างเช่น ใช้ฝูงชนเข้าช่วยในการกระพือข่าวลือต่างๆ ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น มีเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนนี้อย่างล้นหลาม ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เริ่มแพร่ข่าวก่อนเป็นใคร แต่มีคนบอกว่ากายสายฟ้าของจ้านจื่อเย่นั้นเป็นเพียงตัวลวง เขายังซ่อนความสามารถที่แท้จริงและไพ่ชัยชนะเอาไว้อยู่ บางคนก็บอกว่าแม้ขั้นตบะของจ้านจื่อเย่จะค่อนข้างสูง แต่จุดอ่อนด้านนิสัยของเขาก็แจ่มชัดเกินไป ซึ่งจะถูกเอาไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย บางคนก็บอกว่าจ้านจื่อเย่ตกหลุมรักหลิวหลีและอาจไม่คิดจะสู้เต็มที่ตอนอยู่บนลานประลอง แน่นอนว่าข่าวลือเกี่ยวกับหลิวหลีนั้นมีมากยิ่งกว่า อย่างเรื่องความรู้สึกนึกคิดที่เรียบง่ายและไร้เดียงสาของหลิวหลีที่ดูท่าจะตกหลุมพรางและเล่ห์กลต่างๆ ซึ่งอีกฝ่ายอาจใช้ความพยายามแค่นิดเดียวแต่ได้ประโยชน์ใหญ่หลวงได้ง่ายๆ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือหากจ้านจื่อเย่สำแดงกายสายฟ้าต่อหน้าหลิวหลี จิตใจของหลิวหลีจะต้องหวั่นไหวไปกับความเป็นพระเอกที่ปรากฎขึ้นในตอนนั้นของเขา และทันทีที่เขาเผยความในใจกับนาง ก็เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจได้สมดังใจ…

          แน่นอนว่าแหล่งที่มาของข่าวซุบซิบนี้ช่างลึกลับ เมื่อนึกถึงคนผู้หนึ่งที่โด่งดังเรื่องชอบใช้วิธีไร้ยางอายโจมตีผู้อื่น คนจากสำนักเซียนหมื่นเวทจึงพยายามปิดกั้นข่าวซุบซิบนี้อย่างหนักเพื่อไม่ให้ไปถึงหูของจ้านจื่อเย่ ไม่เช่นนั้นแล้ววิชาจิตเซียนไม่ไหวติงของสำนักเซียนหมื่นเวทที่เขาฝึกใกล้จะสำเร็จแล้วอาจพังทลายลงได้ หากเวลานั้นมาถึง เมื่อศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเซียนหมื่นเวทสารภาพความในใจบนลานประลองต่อหน้าทุกคนและถูกปฏิเสธ จิตใจของเขาอาจจะยุ่งเหยิงอย่างหนัก และอาจกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่ล้างไม่ออกของสำนักได้

          “พูดถึงเรื่องนี้ การลงเขามาในครั้งนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก ไม่แปลกเลยที่ผู้อาวุโสบางคนของสำนักบอกว่าอาณาจักรเก้าแคว้นนั้นใหญ่โต ย่อมต้องมีคนที่เก่งกาจกว่า แม้แต่ในสำนักเล็กๆ เองก็อาจจะมีเสือหรือมังกรซ่อนอยู่ สำนักกระบี่วิญญาณนี้ไม่เห็นอ่อนแออย่างที่สำนักเซิ่งจิงบอกเลย”

          ลู่เฉียนไช่ที่อยู่ในส่วนพักผ่อนถอนใจอย่างใส่อารมณ์

          เจ้าเจียงยวันพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “สำนักเซิ่งจิงจะใจดีชี้นกแล้วบอกพวกเราว่าเป็นนกอย่างนั้นหรือ สำนักกระบี่วิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เราคาดไว้จริงๆ เจ้าหวังลู่ที่ไม่มีใครเหมือนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลิวหลีเองก็น่าเกรงขาม หนำซ้ำทั้งเยว่ยวิน เหวินเป่า… แม้ตบะของพวกเขาจะไม่สูง แต่พื้นฐานก็แข็งแกร่ง สมกับที่เป็นสำนักป่าเถื่อนจริงๆ”

          สำหรับเหล่าศิษย์พี่ ความรู้สึกว่าตนเหนือชั้นกว่าคนอื่นนั้นฝังแน่นลงไปในกระดูกแล้ว ไห่อวิ๋นฟานทำได้เพียงยิ้มหยันกลับไป พูดถึงเรื่องนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่คิดเช่นนี้ หลายปีที่เขาบำเพ็ญเซียนอยู่ในสำนักเซียนหมื่นเวท สำนักปฏิบัติต่อเขาเท่าเทียมกับศิษย์คนอื่นๆ แต่เหตุใดเขาถึงไม่ได้ติดโรคหยิ่งผยองของสำนักเซียนหมื่นเวทมาด้วยเล่า

          ไม่สิ หากอยู่ต่อหน้าสำนักอื่น เขาอาจจะมีท่าทีหยิ่งยโสอย่างเช่นเหล่าศิษย์พี่ก็ได้ ทว่าในสำนักกระบี่วิญญาณ สถานที่ของคนผู้นั้น เขาไม่อาจจะทำตัวสูงส่งและทรงอำนาจได้เลย

          ไห่อวิ๋นฟานถอนหายใจ เขารู้ดีว่าหากยังมีความรู้สึกด้อยกว่าอยู่ในใจต่อไป เมื่อขั้นตบะเพิ่มสูงขึ้น ไม่แน่ว่าจิตใจของเขาอาจแปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายก็เป็นได้ ดังนั้นแล้ว…

          แม้เขาจะไม่อยากกลายเป็นศัตรูกับพี่หวังเพียงไร แต่ใครให้สำนักกระบี่วิญญาณรับอีกฝ่ายเข้าสำนักกันเล่า

          เมื่อคิดได้ดังนี้ ไห่อวิ๋นฟานก็ตัดสินใจทำบางอย่าง

————

          “ศิษย์พี่ นี่สำหรับท่าน”

          ศิษย์พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่ลืมตาจากนั้นก็มองไห่อวิ๋นฟานและกระดาษในมือด้วยความสงสัย บนกระดาษมีไอเซียนรวมถึงแถวตัวเลขและตัวหนังสืออยู่

          “นี่มันอะไร”

          ไห่อวิ๋นฟานหัวเราะ “เปล่าหรอก เพียงแค่ก่อนหน้านี้ข้าเห็นที่ด้านล่างลานเมฆาเขาเปิดรับพนันกัน ดังนั้นข้าจึงรู้สึกคันมือไปชั่วขณะเลยลงพนันข้างท่านไป”

          จ้านจื่อเย่หรี่ตา “คันมือชั่วขณะแต่กล้าลงเงินถึงขนาดนี้ ห้าแสนศิลาวิญญาณไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย”

          “การพนันครั้งนี้ข้าชนะแน่ ดังนั้นจะลงแพงแค่ไหนข้าก็ไม่สน”

          จ้านจื่อเย่อ้าปากแต่ไม่รู้จะพูดอะไร ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็ถอนหายใจ “ศิษย์น้อง…”

          ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกได้ว่าศิษย์พี่ของตนกำลังตื้นตันใจ เขาจึงหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องกล่าวอะไรหรอก ข้าเชื่อว่าท่านจะชนะแน่”

          “เปล่าหรอก ที่ข้าจะพูดก็คือ ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามีการพนันเช่นนี้ ทำไมถึงไม่มาบอกข้าให้ไปร่วมลงพนันด้วย”

          ไห่อวิ๋นฟานอึ้งไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายเพียงแหย่เล่น เขาจึงหัวเราะออกมา “ในเมื่อชัยชนะย่อมเป็นของท่านอยู่แล้ว หลังจากนี้ข้าจะเรียกศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่คนอื่นๆ ให้มาลงพนันร่วมกัน เราจะได้ได้เงินก้อนใหญ่ขึ้น”

          จ้านจื่อเย่พยักหน้าจากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาหลับตาลงและเริ่มกลั่นพลังอัคคีจากจิตเซียนห้าอสนีบาตภายในวิหารหยกต่อ

          อย่างที่อาจารย์ของเขาว่าไว้ จิตเซียนของโลกบำเพ็ญเซียนไม่อาจทำให้จิตใจสงบดังน้ำในทะเลสาบ ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่ชาญฉลาดสามารถใช้จิตเซียนอย่างเชี่ยวชาญจนบรรลุผลเช่นเดียวกันได้

          ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวในใจของเขา นั่นคือชัยชนะ เพื่อที่จะเอาชนะ เขาต้องเพิกเฉยต่อความคิดอื่นๆ ให้ได้… นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการใช้จิตเซียนห้าอสนีบาต

          เมื่อเห็นว่าผู้เป็นศิษย์พี่เข้าฌานเป็นที่เรียบร้อย ใจของไห่อวิ๋นฟานก็สงบลง พลางคิดว่าตัวเองอาจจะประเมินศิษย์พี่ต่ำไป เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเช่นนี้ด้วยซ้ำ…

          ตอนนั้นเองไห่อวิ๋นฟานก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังขึ้นไม่ไกลนัก ผู้คนต่างรุมล้อมกันที่จุดรับพนันราวกับว่าเห็นบางอย่างที่เหลือเชื่อ

          หัวใจของไห่อวิ๋นฟานหนักอึ้งลงทันใด เขารับรู้ได้ถึงลางร้ายบางอย่าง จึงรีบลุกขึ้นและเดินออกไป

          “แปดล้านศิลาวิญญาณลงข้างจ้านจื่อเย่ คนพวกนี้กล้าหาญไม่เบา!”

          ศิษย์จากสำนักกระบี่วิญญาณหลายคนรู้สึกแปลกใจแต่ก็ครั้นคร้ามไม่น้อยที่ได้เห็นผู้บำเพ็ญเซียนในชุดหรูหราจำนวนมากกำลังลงทะเบียนอยู่ที่หน้าลานประลอง ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ไม่พูดไม่จา ดูไม่แยแสสิ่งใด แต่เงินพนันนั้นมากมายจนเขย่าโลกได้!

          ไห่อวิ๋นฟานประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็นึกขึ้นได้ คนเหล่านี้คือผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักอื่นที่มาชมการแข่งขันนั่นเอง

          การต่อสู้ระหว่างศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักเซียนหมื่นเวทและสำนักกระบี่วิญญาณนั้นอาจไม่มีค่าให้กล่าวถึง แต่หากเป็นการต่อสู้ระหว่างศิษย์ชั้นนำรุ่นเยาวน์ของทั้งสองสำนัก แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พันธมิตรหมื่นเซียนเห็นว่ามันคือการแข่งขันที่น่าสนใจแล้ว

          แม้สำนักกระบี่วิญญาณจะเก็บตัวเงียบเชียบแต่สำนักเซียนหมื่นเวทก็มีชื่อเสียงสูงส่ง ก่อนที่จะเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นธาราคราม เรือคลื่นเมฆาได้ลอยอวดโฉมผ่านหลายแคว้น ราวกับกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าตนกำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักกระบี่วิญญาณ ทว่าเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงสำนักกระบี่วิญญาณ ข่าวคราวของพวกเขากลับเงียบไป ทำให้คนอื่นๆ ประหลาดใจไม่น้อย ‘คนพวกนี้โอ้อวดตัวเองมาตลอด แต่สุดท้ายกลับถูกสำนักกระบี่วิญญาณห่อเป็นเกี๊ยวไปแล้วหรือ’

          หลังจากที่ศิษย์ของทั้งสองสำนักเริ่มการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ก็มีจดหมายขออนุญาตเข้าชมการแข่งขันจากหลายสำนักของพันธมิตรหมื่นเซียนส่งมาถึง เหล่าสำนักระดับต่ำกว่าไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ย่างเท้ามายังฐานที่มั่นของห้าสำนักวิเศษ แต่กับพวกสำนักระดับสูง รวมถึงผู้บำเพ็ญเซียนจากห้าวิเศษสำนักอื่นๆ พวกเขากลับไม่อาจซ่อนความอยากรู้อยากเห็นไว้ได้

          ไห่อวิ๋นฟานสังเกตคนพวกนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักลักษณ์เรือนหมื่น ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักระดับสูง และย่อมสามารถลงเงินพนันก้อนโตได้ หนำซ้ำยังเป็นเงินพนันที่ดีต่อสำนักเซียนหมื่นเวทด้วย สำนักเซียนหมื่นเวทและสำนักลักษณ์เรือนหมื่นนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาตลอด เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่วิญญาณเข้ามาต้อนรับ ซึ่งเป็นการยืนยันตัวตนของอีกฝ่าย จากนั้นก็นำทางคนเหล่านั้นไป

          คนเหล่านั้นเป็นผู้อาวุโสจากสำนักลักษณ์เรือนหมื่นจริงๆ ต่อหน้าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณ พวกเขานอบน้อมและสุภาพ แต่กริยาท่าทางก็ไม่ได้ดีเกินหรือตึงเกิน แน่นอนว่าเงินแปดล้านศิลาวิญญาณที่ลงข้างจ้านจื่อเย่ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกฝักฝ่ายของพวกเขาได้

          นอกจากสำนักลักษณ์เรือนหมื่นแล้ว ยังมีตัวแทนจากสำนักใหญ่ๆ อีกมากมายที่เมื่อลงทะเบียนเสร็จก็มายังจุดรับพนัน พวกเขาส่วนใหญ่ลงข้างจ้านจื่อเย่ ดังนั้นเงินพนันทางฝั่งของจ้านจื่อเย่ในตอนนี้จึงสูงถึงสิบล้านศิลาวิญญาณ แถมยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ระดับกลาง และอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอีกจำนวนหนึ่งซึ่งทำให้มูลค่าของเงินพนันยิ่งสูงขึ้นไปอีก ทว่าทางฝั่งของหลิวหลีมีเพียงเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

          ศิษย์หลายคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทย่อมพอใจที่ได้เห็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ที่มาชมการแข่งขันต่างชมชอบจ้านจื่อเย่ ซึ่งแสดงให้เห็นไมตรีจิตที่มีต่อสำนักเซียนหมื่นเวท และช่วยสร้างบรรยากาศที่ได้เปรียบก่อนการแข่งขัน

          เหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องนี้ ขณะที่เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณรู้สึกขุ่นเคืองใจ เหล่าผู้อาวุโสกลับไม่อาจทำอะไรได้ ผู้อาวุโสจากสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นต่างร่ำรวยล้นฟ้า ดังนั้นมันจึงดูค่อนข้างเคอะเขินที่จะไปเผชิญหน้าด้วย

          ผ่านไปพักหนึ่ง ผู้อาวุโสและเหล่าหัวหน้าของสำนักระดับล่างอีกหลายคนก็มาถึงที่นี่ คนเหล่านี้ต่างมาชมการแข่งขันด้วยเช่นกัน ทว่าเหตุผลที่สำนักกระบี่วิญญาณยอมให้สำนักเล็กสำนักน้อยนี้มาชมการแข่งขันด้วยก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าห้าวิเศษนั้นไม่ได้ทำตัวหมางเมินกับพวกสามัญ

          แถวของผู้คนเต็มไปด้วยความสงสัยและตื่นเต้น เมื่อพวกเขามาถึงจุดลงทะเบียน เจ้าสำนักคนหนึ่งก็อดพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าจะเป็นการสู้ฝ่ายเดียวนะเนี่ย”

          “เหอะ จ้านจื่อเย่ที่มีพรสวรรค์หาใดเปรียบจากสำนักเซียนหมื่นเวทนั้นชื่อเสียงโด่งดังราวกับสายฟ้าที่ผ่าเข้ามาในหูของเรา แต่หลิวหลีไม่ได้มีดีเช่นนั้น”

          “ความแข็งแกร่งของอันดับสองหรืออันดับสามของห้าวิเศษย่อมแตกต่างจากอันดับสุดท้ายของห้าวิเศษอยู่แล้ว นี่ยังไม่รวมว่าจ้านจื่อเย่เป็นตัวแทนหลักของสำนักส่วนหลิวหลีไม่ใช่”

          “แต่เอาเข้าจริงแล้วโอกาสของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น”

          “ข้าว่าจุดรับพนันนี่คนของสำนักกระบี่วิญญาณน่าจะเป็นคนเปิดรับเอง ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะอยากให้คนอื่นๆ ลงพนันฝั่งตัวเอง ตามความเห็นข้าการสู้ครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากต้องสู้กับคนอ้วนฉุจนกว่าตัวเองจะถูกอีกฝ่ายกลืนลงไป พวกเขาย่อมเสียเงินอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่รู้ว่าสหายทั้งหลายสนใจจะกอบโกยเงินสักหน่อยไหม”

          “ฮ่าๆๆ เราไม่มีสมบัติพัสถานมากมายอย่างท่าน แต่หากเป็นเงินสักแสนศิลาวิญญาณ เราย่อมมีแน่”

          พวกเขาต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่สุดท้ายก็ลงเงินหลายล้านศิลาวิญญาณ อาวุธวิเศษหลายชิ้น และโอสถวิเศษหลายขนานให้กับฝั่งจ้านจื่อเย่

          ตอนนั้นเอง ศิษย์ในชุดแดงสลับขาวก็เดินตัวปลิวเข้ามา ในมือถือกระดาษที่อวลด้วยไอเซียนอยู่หลายแผ่น จากนั้นก็วางกระดาษเหล่านั้นลงบนโต๊ะลงทะเบียน

          “ข้าพนันห้าสิบล้านศิลาวิญญาณฝั่งหลิวหลี”