ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 38 โชคร้ายที่นี่ไม่ใช่เงินเดิมพันที่หยิบยืมมา

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 38 โชคร้ายที่นี่ไม่ใช่เงินเดิมพันที่หยิบยืมมา โดย Ink Stone_Fantasy

 

          เมื่อคำว่าห้าสิบล้านศิลาวิญญาณดังขึ้นมา ความเงียบก็เข้าครอบคลุมบริเวณที่รับลงทะเบียนราวกับว่ากระแสเวลาได้หยุดชะงักลง

          ผ่านไปอึดใจหนึ่ง เจ้าสำนักของสำนักระดับกลางก็พูดตะกุกตะกักขึ้น “จะ เจ้าพูดว่าเท่าไหร่นะ”

          ผู้บำเพ็ญเซียนในชุดแดงสลับขาวเงยหน้าขึ้นมองชายคนดังกล่าว “ห้าสิบล้านศิลาวิญญาณ มีอะไรผิดปกติหรือ”

          “จะ เจ้าเป็นแค่ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ เหตุใดถึงได้ร่ำรวยนัก” ชายผู้นั้นค่อยๆ ฟื้นจากอาการตกใจ “ห้าสิบล้านศิลาวิญญาณ เงินนี่เป็นของสำนักกระบี่วิญญาณใช่หรือไม่ ทำแบบนี้ไม่โปร่งใสเลย เจ้าเปิดโต๊ะพนันเอง แต่กลับพนันข้างตัวเอง แบบนี้มัน…”

          “จิ๊ ใครบอกท่านกันว่าสำนักกระบี่วิญญาณเป็นคนเปิดโต๊ะพนันนี่ หากเป็นสำนักกระบี่วิญญาณจริง ท่านคิดว่าเหล่าผู้อาวุโสจากสำนักชั้นนำที่เพิ่งวางเดิมพันไปเมื่อครู่เป็นพวกพิการทางจิตหรืออย่างไร”

          เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้แต่ไห่อวิ๋นฟานเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ‘หากไม่ใช่สำนักกระบี่วิญญาณ แล้วใครกัน…’

          “มีเพียงที่เดียวที่ทุกคนสามารถลงเงินพนันได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหา” ผู้บำเพ็ญเซียนในชุดแดงสลับขาวแสดงสีหน้ารังเกียจเหล่าคนยากจนออกมา “พวกท่านจำคนจากหอนภาเร้นลับเหล่านี้ไม่ได้หรือ”

          เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนก็รีบหันกลับไปมองเจ้าหน้าที่สองคนด้านหลังโต๊ะรับลงทะเบียน คนทั้งคู่ยังคงทำสีหน้าเฉยเมย ขณะตรวจสอบเงินพนันและประทับตราลงในบันทึก

          ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าสองคนนี้เป็นคนของสำนักกระบี่วิญญาณ แต่กลายเป็นว่า…เป็นคนของหอนภาเร้นลับเสียได้!

          “เดี๋ยวก่อนนะ มันก็ยังไม่ถูกต้องอยู่ดี เจ้ายังเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ และข้าก็เห็นตบะเซียนของเจ้า… มันยังต่ำกว่าขั้นสร้างฐานด้วยซ้ำ แล้วเจ้าไปเอาศิลาวิญญาณมากมายขนาดนี้มาจากไหน!?”

          เจ้าสำนักจากสำนักระดับล่างกัดฟันแน่น!

          แม้แต่ห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน เงินห้าสิบล้านศิลาวิญญาณก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ และยิ่งสำหรับเขาที่เป็นเพียงเจ้าสำนักของสำนักระดับล่าง เงินจำนวนนี้ถือว่ามหาศาลนัก! แม้ตบะขั้นของเขาจะบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ แต่ทรัพย์สมบัติของเขายังห่างไกลจากเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ในสำนักชั้นนำมากนัก เงินห้าสิบล้านศิลาวิญญาณนั้นมากพอจะซื้อชีวิตของเขาได้สิบรอบเลยทีเดียว!

          ผู้บำเพ็ญเซียนในชุดสีแดงสลับขาวหัวเราะออกมา “ข้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของพันธมิตรหมื่นเซียนที่มีหน้าที่อธิบายแหล่งที่มาของทรัพย์สมบัติตัวเองให้ท่านฟัง พวกผียากจนก็ควรทำตัวให้สมกับที่เป็นพวกผียากจน  เจียมเนื้อเจียมตัวและน้ำลายไหลด้วยความริษยาไปเสียเถอะ ยิ่งท่านพูดน้อยลงก็จะยิ่งอับอายน้อยลง”

          “เจ้า!”

          ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่ทั้งสองของหอนภาเร้นลับก็ตรวจสอบเอกสารเสร็จเรียบร้อย หนึ่งในนั้นเผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก “ตรวจสอบแล้วห้าสิบล้านศิลาวิญญาณถูกต้อง นี่คือใบรับรอง โปรดรับไว้ด้วย”

          หวังลู่หยิบหยกหน้าตาประณีตขึ้นมาใส่ไว้ในย่ามสีเหลืองตุ่น จากนั้นก็เพิกเฉยเหล่านักพนันตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ตรงนั้น และเดินกลับไปยังส่วนพักผ่อนของสำนักกระบี่วิญญาณข้างๆ ลานเมฆาทันที

          หนึ่งในเจ้าสำนักยังคงไม่เชื่อ เขาจึงเอ่ยถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง “คนเมื่อครู่นี้… มีเงินห้าสิบล้านศิลาวิญญาณจริงหรือ ข้าเห็นเขายื่นกระดาษไปไม่กี่แผ่น ของพวกนั้นคืออะไรกันแน่ มีค่าถึงห้าสิบล้านศิลาวิญญาณเชียวหรือ”

          “โชคร้ายที่ตามเงื่อนไขของหอนภาเร้นลับ ท่านไม่มีสิทธิ์รู้ข้อมูลของสมาชิกระดับพิเศษของเรา ทว่าข้าบอกเรื่องกระดาษเหล่านี้ให้รู้ได้ มันคือเอกสารจำนองที่รับรองโดยหอนภาเร้นลับ ที่เพิ่งเริ่มใช้เมื่อไม่นานมานี้ หากท่านสนใจเงินกู้จำนอง ท่านก็สามารถสมัครได้ที่สาขาของหอนภาเร้นลับที่อยู่ใกล้ๆ สมัครตอนนี้ได้สิทธิพิเศษมากมายเชียวนะ”

          “จะ จำนองอะไรนะ” เจ้าสำนักผู้ยากจนผงะไป อึดใจถัดมาเขาก็รู้สึกท้อแท้ใจ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร หอนภาเร้นลับก็ประเมินมูลค่าของมันได้ถึงห้าสิบล้านศิลาวิญญาณ! ทว่าเห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณตัวเล็กๆ เท่านั้น… ช่องว่างระหว่างเขากับสำนักชั้นนำเหล่านั้นช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

          ศิษย์จากสำนักกระบี่วิญญาณที่อยู่รายรอบต่างก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย

          “ห้าสิบล้านศิลาวิญญาณ… ศิษย์พี่หวังลู่มีเงินถึงห้าสิบล้านศิลาวิญญาณจริงหรือ!? ว่ากันว่าที่ยอดเขาไร้ลักษณ์นั่นนอกจากผียากจนแล้ว ก็มีเพียงพวกคนพาลไม่ใช่หรือ แล้วจู่ๆ พวกเขาร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างไร”

          “จริงด้วย ถ้าเขารวยจริงๆ แล้วจะไปที่โรงอาหารของยอดเขาเร้นลับทุกวันทำไมกัน”

          แม้แต่หญิงสาวในชุดขาวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็ตกตะลึงเช่นกัน น้ำเต้าสุราร่วงลงมาจากมือของนาง และกลิ้งไปบนพื้นจนทำให้สุราเซียนไหลกระฉอกออกมา

          “จะ เจ้าสารเลวนั้นมีเงินมากขนาดนี้ แต่กลับไม่ยอมให้อาจารย์อย่างข้าช่วยเก็บไว้!? แบบนี้มันเกินไปหน่อยแล้ว!”

          ความจริงแล้ว เงินห้าสิบล้านศิลาวิญญาณนี่ไม่เพียงเป็นเงินที่ไม่สามารถโอนย้ายได้ แต่ยังเป็นเงินสาธารณะอีกด้วย เงินนี้เป็นผลมาจากการที่เขาจำนองทรัพย์สินและทรัพยากรมนุษย์ส่วนใหญ่ของสำนักภูมิปัญญา เงินเดิมพันห้าสิบล้านนี้ไม่ธรรมดา แต่เงินจำนวนนี้เมื่อเทียบกับเงินและอาวุธวิเศษที่เหล่าผู้อาวุโสจากสำนักชั้นนำหอบหิ้วมาอย่างเอิกเกริกแล้ว ความแตกต่างของมันนั้นราวสวรรค์กับโลกมนุษย์เลยทีเดียว

          ทว่าเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาในการบำเพ็ญเซียนที่ค่อนข้างสั้น มันจึงดูเหลือเชื่อที่เขาจะสะสมเงินได้ในจำนวนที่น่าทึ่งเช่นนี้ ไห่อวิ๋นฟานที่อยู่ไม่ไกลยิ้มหยันพลางส่ายหัว หลายปีมานี้ เขาเองก็ลงทุนไปกับหอนภาเร้นลับและรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง เขาร่ำรวยกว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียงด้วยซ้ำ… ทว่าเมื่อเทียบกับเงินห้าสิบล้านของพี่หวังแล้ว ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกเหมือนกลายเป็นมดปลวกไปในทันที

          หนำซ้ำสิ่งที่ทำให้ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกกดดันไม่น้อยคือท่าทีมั่นใจของหวังลู่ในการลงพนันเงินห้าสิบล้านนี้! เงินนี่ไม่ได้เป็นของสำนักกระบี่วิญญาณ ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจใช้จ่ายเงินจำนวนห้าสิบล้านศิลาวิญญาณแบบชุ่ยๆ ได้ ต่อให้เขาเป็นสมาชิกระดับสูงของหอนภาเร้นลับก็เถอะ!

          ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคยชนะพนันมากี่ครั้ง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่คิดใคร่ครวญว่าควรจะลงเงินห้าสิบล้านศิลาวิญญาณนี้ทางฝั่งใด และในเมื่อเขากล้าพนัน เขาย่อมมั่นใจว่าจะชนะ… และวิสัยทัศน์ของหวังลู่นั้นแม่นย่ำเสมอ

          พอไห่อวิ๋นฟานกลับมายังส่วนพักผ่อน และเห็นศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงทำสีหน้าแปลกๆ เขาก็อดยิ้มหยันในใจไม่ได้ แน่ละว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดเป็นความลับ เรื่องเงินห้าสิบล้านนั้นถูกโจษจันไปทั่วด้านนอกของส่วนพักผ่อนนแล้ว

          และเมื่อคนเหล่านี้รู้ว่าหวังลู่วางเงินเดิมพันจำนวนห้าสิบล้านด้วยความมั่นใจ จิตใจของพวกเขาก็เริ่มแกว่ง แม้แต่ผู้อาวุโสหลายคนเองก็ขมวดคิ้ว ความคิดหลากหลายผุดขึ้นมาในใจ

          ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือศิษย์พี่ใหญ่ที่เริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย

          เงินจำนวนห้าสิบล้านของหวังลู่สร้างความกดดันมหาศาลให้กับพวกเขา

          ไห่อวิ๋นฟานลอบถอนหายใจพลางคิดว่าหวังลู่เดินหมากได้ชาญฉลาดยิ่งนัก นี่คือการจู่โจมทางจิตใจรูปแบบเดิมๆ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา แถมยังไม่พัฒนา แต่กลับได้ผลดังเดิม ตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงสำนักกระบี่วิญญาณ หวังลู่ยังคงใช้เล่ห์กลเดิมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และได้ผลทุกครั้ง ช่างสมกับที่เป็นนักผจญภัยมืออาชีพจริงๆ

          ทว่าเรื่องนี้ควรจบเสียที

          ไห่อวิ๋นฟานเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิง ข้าว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอก”

          จ้านจื่อเย่ที่กำลังโคจรลมหายใจอยู่ลืมตาขึ้นมาและมองไห่อวิ๋นฟานอย่างตั้งใจ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ

          ไห่อวิ๋นฟานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในการแข่งขัน จะชนะหรือแพ้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้น่ะต่อให้สำนักกระบี่วิญญาณใช้เล่ห์กลอื่นๆ มากมาย อย่างเช่นลงเงินเดิมพันหนึ่งร้อยล้านศิลาวิญญาณ แล้วอย่างไรเล่า มันจะทำให้ศิษย์พี่ใหญ่อ่อนแอลงและทำให้หลิวหลีแข็งแกร่งขึ้นอย่างนั้นหรือ นี่ยังไม่รวมว่าหอนภาเร้นลับเองก็คิดว่าศิษย์พี่ใหญ่มีโอกาสชนะมากกว่า! สิ่งที่หวังลู่ทำเป็นเพียงการทำให้จิตใจของผู้คนหวั่นไหว สาเหตุที่เขาทำเช่นนี้ก่อนการแข่งขันจะเริ่มก็เพื่อทำให้เราข้องใจ… เขาก็ใช้เล่ห์กลเดิมๆ พรรค์นี้มาตลอด ดังนั้นพวกท่านไม่ต้องกลัวไป”

          “พูดได้ดี!”

          พอสิ้นเสียงปรบมือ จ้านจื่อเย่ก็ไม่รู้สึกสับสนอีก ตอนที่เขาลุกขึ้น พลังอิทธิฤทธิ์ที่มองเห็นได้ก็กระเพื่อมออกมา ทำเอาไห่อวิ๋นฟานและศิษย์คนอื่นๆ ประหลาดใจเล็กน้อย… เห็นได้ชัดว่านี่คือกายสายฟ้าขั้นสูงสุด แม้จะยังไม่มีประกายสายฟ้าออกมาจากร่าง แต่กายสายฟ้าแปดชั้นก็เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว แม้การฝึกฝนอยู่ใน ‘ห้องปิด’ ทั้งวันไม่อาจช่วยให้ขั้นตบะหรือระดับขั้นของเขาสูงขึ้นได้ แต่มันก็ช่วยให้จ้านจื่อเย่ควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้เต็มความสามารถ ซึ่งแปลว่าเขาสามารถใช้พลังสายฟ้าได้ดั่งใจต้องการ

          “ไม่น่าเชื่อเลย… หากควบคุมพลังได้เช่นนี้ท่านก็ถือว่าไร้เทียมทานในหมู่ตบะขั้นสร้างฐานด้วยกันแล้ว” เจ้าเจียงยวันรู้สึกตาร้อนแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้

          ลู่เฉียนไช่กล่าวบ้าง “ข้าสู้กับหลิวหลีมาก่อน ข้ารู้ทักษะของนางดี นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ใหญ่แม้แต่น้อย”

          “ถูกต้อง แม้กระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีจะไร้เทียมทาน แต่ศิษย์พี่ใหญ่จะด้อยกว่านางได้อย่างไร” ดวงตาของเย่เฟยเฟยเผยให้เห็นร่องรอยความหลงไหล

          ไห่อวิ๋นฟานมองลึกลงไปในดวงตาของจ้านจื่อเย่ “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าคาดหวังในชัยชนะของท่าน”

          “วางใจเถอะ”

          แต่พออีกฝ่ายหันหน้าไป สายตาของไห่อวิ๋นฟานก็สะท้อนความกังวลออกมา

          แม้จะเป็นเพียงการจู่โจมทางจิตใจ แต่เงินห้าสิบศิลาวิญญาณของหวังลู่ก็เป็นของจริง และไม่อาจเอามาใช้เพื่อให้ผู้คนหวาดกลัวเพียงอย่างเดียว แม้ศิษย์พี่ของเขาจะไร้เทียมทาน แต่ไห่อวิ๋นฟานก็เคยประจักษ์ในความวิเศษของหวังลู่มาแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องเปรียบเทียบทั้งสองฝ่ายอย่างสมดุล…

          ขณะที่ในใจของไห่อวิ๋นฟานยังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้ จ้านจื่อเย่ก็ยืนอยู่บนลานประลองเรียบร้อย รอคอยให้คู่แข่งปรากฏตัว ไม่นานนักหลิวหลีก็ขึ้นมาบนลานประลองอย่างแช่มช้า

          หญิงสาวยังอยู่ในชุดลายดอกไม้ ในมือถือกระบี่อัคคีที่ทรงพลัง ใบหน้ายังเปี่ยมด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นจุดเด่นของนาง

          ทว่าทันทีที่นางเข้ามายืนในลานเมฆา กายของจ้านจื่อเย่ก็สั่นสะท้าน เขารู้สึกราวกับว่าร่างถูกตัดเป็นชิ้นๆ ด้วยจิตกระบี่รุนแรงที่ปะทะเข้ามาโดยตรง! จิตเซียนห้าอสนีบาตและพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาแทบจะหยุดชะงักลง!

          นี่หรือกระบี่กระจ่างใจ!?

          ไม่แปลกเลยที่สำนักเซียนหมื่นเวทจะบันทึกว่ามันเป็นวิชาเซียนระดับสุดยอด พลังอิทธิฤทธิ์และพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาเหนือกว่าอย่างชัดเจน ทว่าก็แทบไม่อาจต้านทานจิตกระบี่นี้ได้ ความคมและพลังทำลายล้างของมันนั้นเกินขีดจำกัดของตบะขั้นสร้างฐานไปมหาศาล

          นี่คือการประลองที่สูสีกันอย่างแท้จริง

          หนำซ้ำแค่จิตกระบี่ที่ส่งออกมาเพียงอย่างเดียว จ้านจื่อเย่ก็เชื่อว่าข้อบกพร่องทางจิตใจของฝ่ายตรงข้ามไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในการต่อสู้ของนางแม้แต่น้อย แม้พวกเขาจะยังไม่ทันได้ต่อสู้กัน แต่จากดวงตาที่กระจ่างใสของอีกฝ่ายแล้ว จ้านจื่อเย่สามารถเห็นรังสีการต่อสู้ที่บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ต่างจากได้เห็นเงาสะท้อนของดวงตาตัวเองในกระจกเลย

          สถานการณ์ของหลิวหลีเองก็ไม่ต่างไปจากเขา นางใช้เวลาทั้งวันซุ่มซ้อมอยู่ภายใน ‘ห้องปิด’ เพื่อทำใจให้กระจ่างจากสิ่งไขว้เขวทั้งหลาย เพื่อที่ว่าเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นเสียงดังจากภายนอกจะไม่รบกวนนาง ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะตัดสินผลแพ้ชนะก็คือความแข็งแกร่ง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจิตกระบี่แหลมคมที่ไม่เคยพ่ายแพ้ของนาง ต้องใช้ความแข็งแกร่งสักเพียงไรจึงจะเอาชนะได้กัน

          ขณะกำลังครุ่นคิด ผู้อาวุโสที่เป็นกรรมการก็ประกาศให้เริ่มการแข่งขัน

          กระบี่อัคคีของหลิวหลีพุ่งตรงไปยังฝ่ายตรงข้ามแทบจะในทันที

           ทว่าในเวลาเดียวกัน จ้านจื่อเย่ก็กางยันต์จำนวนหลายสิบแผ่นพร้อมจุดใช้มัน มีทั้งยันต์ไร้ร่าง ยันต์ป้องกันกระบี่ และยันต์กายเพลิง… ไม่ต่างจากที่ลู่เฉียนไช่เคยใช้! ยันต์เหล่านี้ช่วยให้เขารอดพ้นจากกระบี่และเปลวเพลิงของมันได้

          อึดใจถัดมา กระบี่วารีกระจ่างใจก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับว่าเป็นเซียนที่เหาะเหินมาอย่างเงียบกริบไม่ต่างจากการแข่งขันรอบที่แล้ว

          ทว่าคราวนี้มันไม่อาจทำให้นางได้ชัยชนะเป็นครั้งที่สอง ทันทีที่กระบี่วารีกระจ่างใจปรากฏขึ้น มันก็ถูกกระบี่ยาวสีเข้มสกัดไว้ กระบี่ของนางไม่อาจแทงทะลุร่างของอีกฝ่ายได้ จ้านจื่อเย่นั้นเร็วประหนึ่งลมพัด เขาเร็วยิ่งกว่ากระบี่ของหลิวหลีเสียอีก

          เพลงกระบี่ไร้ขอบเขตของเจ้าเจียงยวันและวิชาไร้ร่างฉับพลันของเย่เฟยเฟยถูกจ้าน

จื่อเย่นำมาใช้อีกครั้ง

          กระบี่ทั้งสองเคลื่อนไหวพร้อมกันแต่ไม่ถูกเป้าหมาย ทว่าจิตกระบี่ของเย่เฟยเฟยไม่ได้สลายไปด้วย ทันใดนั้นหมอกสีเทาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลิวหลีและโอบล้อมนางไว้

          อาคมแข็งเป็นหิน! มนตร์ดำของอาณาจักรนภาฝั่งใต้

          มนตร์ดำชั่วร้ายนี้ทำให้ร่างที่แข็งแกร่งและกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีช้าลงเล็กน้อย

          จากนั้น ฝ่ามือสายฟ้าของกายสายฟ้าแปดชั้นก็ตรงมายังนางอย่างรวดเร็ว

          การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวของหลิวหลีกลับไม่คล่องแคล่วดังเดิม ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้อง แต่ดูเหมือนว่าประกายสายฟ้าจะกระแทกโดนร่างของนางเสียแล้ว ร่างของหลิวหลีสั่นสะท้านเล็กน้อยและได้รับบาดเจ็บภายใน!

………………………………………………