ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 39 วิชาคำนวณไม่อาจสูญพันธุ์ไปจากเขากระบี่วิญญาณได้

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 39 วิชาคำนวณไม่อาจสูญพันธุ์ไปจากเขากระบี่วิญญาณได้ โดย Ink Stone_Fantasy

 

          การต่อสู้บนลานเมฆาทำเอาผู้ชมต่างหายใจแทบไม่ออก

          การต่อสู้เปลี่ยนแปลงไปมารวดเร็วเสียจนตาของพวกเขามองแทบไม่ทัน ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือภายในไม่กี่พริบตา จ้านจื่อเย่ก็ได้ใช้กระบวนท่าประจำตัวของศิษย์น้องและศิษย์น้องหญิง นั่นคือยันต์ของลู่เฉียนไช่ กระบี่ไร้ขอบเขตของเจ้าเจียงยวันและเวหาวิเศษของเย่เฟยเฟยรวมถึงกายสายฟ้าของตัวเองได้อย่างง่ายดายราวกับว่าเขากำลังเล่นสนุกอยู่

          ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของผู้คน เหล่าผู้อาวุโสและเจ้าสำนักจากสำนักอื่นๆ ต่างกำหมัดแน่น

          นี่คือไพ่ไม้ตายที่แท้จริงของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเซียนหมื่นเวท

          วิชาหยั่งรู้หมื่นเวท! นี่คือวิชาขั้นเซียนในตำนาน ผู้ที่ฝึกวิชานี้จะสามารถเรียนรู้วิชาได้นับพันนับหมื่นวิชา และเข้าถึงทักษะที่โด่ดเด่นหลากหลายได้ นับเป็นวิชาเซียนขั้นแท้ แม้แต่ในสำนักเซียนหมื่นเวท ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน ผู้ที่สามารถฝึกวิชานี้นั้นก็หาได้ยากยิ่ง… ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเด็กจ้านจื่อเย่ที่มีขั้นตบะเพียงขั้นสร้างฐานจะสามารถฝึกวิชาหยั่งรู้หมื่นเซียนจนสำเร็จขั้นต้นได้!

          ในโลกบำเพ็ญเซียนนั้น ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้พันปีอาจมีแค่คนเดียว ในสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าคนที่ถูกเรียกว่า ‘อัจฉริยะ’ ซึ่งสำนักของพวกเขาฝากความหวังเอาไว้กลับกลายเป็นพวกโง่เง่าอย่างเหลือทนในทันที ตอนแรกคนเหล่านี้ต่างคิดว่าแผนการที่พวกเขาสู้อุตสาหะเตรียมพร้อมไว้น่าจะทำให้พวกเขาเข้าใกล้ห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียนได้มากขึ้น ทว่าเมื่อได้เห็นฉากตรงหน้าในวันนี้ พวกเขาก็อดทดท้อใจไม่ได้!

          เมื่อมีตัวแทนหลักที่เลิศเลอเช่นนี้ ใครจะกล้าเขย่าบัลลังก์ของห้าวิเศษกันเล่า

          เมื่อเทียบกับความดีงามของวิชาหยั่งรู้หมื่นเวทแล้ว วิชากระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีก็ดูไร้ความหวังไปในทันที แม้พวกเขาจะเพิ่งเริ่มประมือ ทว่า… เมื่อต้องเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ที่มากกว่า มีพลังวิญญาณขั้นปฐมที่ทรงพลังกว่า อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาหยั่งรู้หมื่นเวท หากนางไม่ถูกเซียนประทับร่าง ก็คงไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้ อีกทั้งจ้านจื่อเย่ยังวิเคราะห์กระบี่คู่ที่ฝ่ายตรงข้ามภาคภูมิใจมาอย่างละเอียดลออ ทำให้เขามีวิธีเหลือเฟือที่จะสกัดกระบี่อัคคีและกระบี่วารีกระจ่างใจ

          หลิวหลีทรงพลังก็จริง แต่เคราะห์ร้ายที่คราวนี้นางต้องมาเจอกับฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลังยิ่งกว่า

          “ไม่แปลกใจที่อัตราต่อรองของหอนภาเร้นลับถึงเทไปทางจ้านจื่อเย่มากกว่า ด้วยวิชาหยั่งรู้หมื่นเวท ท่ามกลางพวกที่อยู่ระดับเดียวกันแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีคนเพียงน้อยนิดที่จะเทียบฝีมือกับเขาได้… เป็นไปได้ว่าฉยงฮว๋าของสำนักเซิ่งจิงอาจจะด้อยกว่าด้วยซ้ำ”

          “อย่าพูดไป ใครจะกล้าพูดว่าสำนักเซิ่งจิงหงายไพ่ที่มีในมือมาหมดแล้ว ก่อนที่เราจะได้เห็นกับตาตัวเองในวันนี้ เราก็ไม่คิดว่าจ้านจื่อเย่จะเชี่ยวชาญวิชาหยั่งรู้หมื่นเวท… ตั้งแต่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เหล่าผู้มากพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งกลับปรากฏตัวในโลกบำเพ็ญเซียนทีละคน เราจะใช้มุมมองโบร่ำโบราณมองสิ่งต่างๆ ไม่ได้อีกแล้ว”

          ตัวแทนหลายคนจากสำนักชั้นนำต่างนั่งเฉย ตั้งแต่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน โลกบำเพ็ญเซียนได้ผลิตศิษย์อัจฉริยะมากพรสวรรค์มานับไม่ถ้วน ในสำนักพวกเขาเองก็มีพวกที่เรียกว่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์อยู่ไม่น้อย แต่ทว่าก็นั่นละ… มีเพียงอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่เติบใหญ่เต็มตัวแล้วจึงจะไร้เทียมทานอย่างแท้จริง แม้ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานจะมีพรสวรรค์มากเพียงไร แต่ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่อยู่ดี

          “อย่างไรเสีย หากเป็นเช่นนี้ ผลแพ้ชนะของการแข่งขันในรอบนี้คงจะถูกชี้ขาดไปแล้ว เจ้าเด็กที่ลงพนันมือหนักนั่นคงได้กินแห้วอย่างแน่นอน”

          ทว่าทันทีที่หลายคนเริ่มตัดสินกันว่าการแข่งขันครั้งนี้จบลงแล้ว พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องมา

          ร่างของหลิวหลีสั่นสะท้านเล็กน้อย แถมที่ปากยังมีรอยเลือด ทว่าใบหน้าของนางกลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี

          ยินดีที่สุดท้ายแล้วก็ได้เจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ

          ขณะที่ผู้ชมต่างพากันสงสัยว่าหลิวหลีที่มีเพียงกระบี่คู่จะรับมือวิชาหยั่งรู้หมื่นเวทของจ้านจื่อเย่ได้อย่างไร หญิงสาวก็กางแขนออก และจากแขนเสื้อของนางก็มีกระบี่บินทั้งหมด หนึ่ง สอง สาม…สิบสองเล่มพุ่งทะยานออกมาหมุนวนรอบตัวของนางไว้

          ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของคนดู สีหน้าของหลิวหลีก็ฉายแววซุกซนมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าอยากจะถามคำถามง่ายๆ สักคำถามหนึ่ง

          ใครว่าหลิวหลีผู้นี้มีเพียงกระบี่คู่กันเล่า

          กระบี่บินทั้งสิบสองเล่ม แต่ละเล่มอวลไปด้วยไอเซียนของพลังอิทธิฤทธิ์ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ทันทีที่หญิงสาวสั่งการพวกมันในใจ กระบี่ทั้งสิบสองก็กลายเป็นแสงสีรุ้งสิบสองสายพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า

          ใครว่ากระบี่ของหลิวหลีผู้นี้สามารถใช้ได้เฉพาะระยะประชิดเท่านั้นกัน

          รุ้งบินทั้งสิบสองสายนั้น พลังของรุ้งแต่ละสายเทียบได้กับอัคคีสวรรค์หยกแดงของเย่เฟยเฟย ดังนั้นพลังของทั้งสิบสองสายรวมกันก็ยิ่งมหาศาลขึ้นไปอีก มันสามารถทำให้ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนระดับต้นหลายคนใจสั่นระรัวได้ นี่คือการระเบิดพลังของกระบี่กระจ่างใจ ซึ่งถูกทำให้ถึงขีดสุดภายในชั่วพริบตา!

          ทว่าจ้านจื่อเย่ไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย ด้วยคำสั่งของเขา แส้สายฟ้าเส้นบางก็ปรากฏขึ้นจากกายสายฟ้าแปดชั้น มันทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พยายามที่จะไล่สายรุ้งสิบสองสายให้ทัน

          กระบี่กระจ่างใจจะเฉียบคมเพียงใดกัน กระบี่บินแต่ละเล่มหลบแส้สายฟ้าที่แผ่ออกมาจากกายสายฟ้าจากนั้นก็กระจายตัวออกจากกัน พลังสายฟ้ายังยับยั้งแรงส่งของกระบี่บินอีกด้วย

          พลังสายฟ้ามีความสามารถในการควบคุมและต้านทานกระบี่บินที่ทำจากโลหะ จ้านจื่อเย่ควบคุมสายฟ้านี้อย่างคล่องแคล่วเพื่อช่วยประวิงเวลาให้กับเขา

          แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว แต่ก็เพียงพอให้เขาใช้กายสายฟ้าและวิชาย้ายร่างฉับพลันเพื่อหลบฉากออกจากระยะจู่โจมของกระบี่บินได้

          เหล่าผู้ชมต่างไม่อาจมองตามความเร็วของกระบินได้ทัน แม้แต่กายสายฟ้าเข้าคู่กับวิชาย้ายร่างฉับพลันก็ยังไม่เร็วไปกว่ากระบี่บิน ทว่าเมื่อสามารถฉวยจังหวะตอนที่กระบี่บินชะงักชั่วครู่ และทิ้งระยะห่างจากกระบี่บินเหล่านั้นได้ เขาก็มีเวลาไม่น้อยที่จะคิดหาทางตอบโต้การจู่โจมซึ่งๆ หน้าเช่นนี้

          หากสามารถประวิงเวลาได้ เขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลกับกระบี่บินทั้งสิบสองเหล่านี้… อีกฝ่ายส่งกระบี่บินออกมาเพื่อโจมตีก็จริง ทว่านางลืมไปว่าแม้กระบี่บินของนางจะทรงพลังเพียงใด มันก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ นั่นคือตัวผู้ร่ายอาคม หากเพลงกระบี่อสนีบาตทำลายล้างของเขาจู่โจมเข้าที่ร่างของหลิวหลีได้ กระบี่สิบสองเล่มของเพลงกระบี่กระจ่างใจจะมีความหมายอะไร

ลำแสงหลายสายปรากฏออกมาจากวิหารหยกของเขา จิตเซียนห้าอสนีบาตหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง

          เมื่อจิตเซียนห้าอสนีบาตพุ่งถึงจุดสูงสุด จ้านจื่อเย่เองก็ไม่อาจทำให้มันสงบลงได้ วิชาสงบพลังใดๆ ก็หยุดยั้งมันไม่ได้ มีเพียงผู้ที่มีอารมณ์รุนแรงยิ่งกว่าจึงจะควบคุมสายฟ้านี้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพลังของมันพุ่งขึ้นสูงสุด มันกลับไม่ทำให้เขาสติหลุดไปด้วย ตรงข้ามความสามารถในการคำนวณของเขากลับจะยิ่งเร็วกว่าและแม่นยำกว่าเดิมด้วยซ้ำ

          ทว่าขณะที่เขากำลังคำนวณผลลัพธ์ซึ่งอาจแตกต่างได้ถึงสามร้อยแบบ และเตรียมตัวใช้วิชาย้ายร่างฉับพลัน สายรุ้งที่กระจัดกระจายอยู่ในอากาศก็กลับมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับหลิวหลี ลำแสงของกระบี่เก้าเล่มรวมตัวกันกลายเป็นสายรุ้ง ขณะที่จ้านจื่อเย่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ชุดหลากสีของหลิวหลีก็มาปรากฏตรงหน้าเขาเรียบร้อย มือแต่ละข้างของนางกำกระบี่บินซึ่งกวัดแกว่งเตรียมพร้อมตัดคออีกฝ่ายเอาไว้

          จากที่เขามองเห็น กระบี่บินเหล่านั้นลบรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของอีกฝ่ายออกไปแล้ว

พลังปราณรุนแรงพุ่งตรงมาที่เขา โดยที่ไม่อาจหลบหรือสกัดได้ทัน

          วิธีการซับซ้อนที่เขาคิดไว้ในใจพลันทลายไปสิ้น จ้านจื่อเย่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลิวหลีจะบรรลุวิชากระบี่ถึงขั้นที่กระบี่กับกายรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว และในเมื่อผลการคำนวณของเขานั้นละเอียดลออเกินไป ดังนั้นเมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแม้เพียงนิดเดียว…

          เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังปราณที่ว่องไวของกระบี่กระจ่างใจ จ้านจื่อเย่กลับไม่คิดจะยอมแพ้ ยันต์สิบแผ่นที่เขาเตรียมเอาไว้เนิ่นนานซึ่งถือเป็นไพ่ไม้ตายถูกจุดขึ้น และกลายเป็นพลังมหาศาลชั่วขณะที่พุ่งเข้าสู่วิหารหยกของเขาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกายสายฟ้าก็ปล่อยลำแสงรุนแรงออกมา

          “งั้นก็ตายด้วยกัน!”

          บนลานเมฆา แรงระเบิดที่น่าทึ่งได้กวาดเอาคนดูล้มระเนระนาดจนหมดสิ้น

          ชั้นของเมฆกระจัดกระจายทั่วด้านราวกับถูกพลังมหาศาลทำลายล้าง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นและแสงสว่างจ้า พลังอิทธิฤทธิ์ที่เดือดพล่านก็ได้ทิ้งร่องรอยน่าสลดใจไว้บนชั้นเมฆหนา ที่ใจกลางลานประลองถูกเจาะทะลวงเป็นรอยฉีกขาดนับไม่ถ้วน

          เหล่าผู้ชมด้านใต้ลานประลองต่างพากันตื่นตกใจจนพูดไม่ออกกับการแข่งขันที่น่าสะพรึงกลัวนี้ การต่อสู้ระหว่างหลิวหลีและจ้านจื่อเย่กินเวลาไม่กี่อึดใจ แต่การประมือกันไม่กี่รอบของพวกเขากลับแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่ง ทักษะ และความเฉลียวฉลาดของทั้งสองฝ่ายนั้นสูงเกินกว่าที่เหล่าคนดูจะจินตนาการได้

          หลายคนฟันธงไปแล้วว่าวิชาหยั่งรู้หมื่นเวทเป็นสิ่งที่วิเศษสุดของวัน ทว่าเมื่อหลิวหลีใช้กระบี่บินสิบสองเล่มต่อเนื่องกันและยังใช้ท่าไม้ตายคนและกระบี่รวมเป็นหนึ่ง วิชาหยั่งรู้หมื่นเซียนซึ่งเป็นวิชาระดับเซียนก็กลายเป็นสิ่งจิ๊บจ๊อยไปเลย… หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาซึ่งบางครั้งก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นเรียกว่าคนทึ่มนั้นแท้จริงแล้วทรงพลังขนาดไหนกันแน่

          เหตุใดผู้บำเพ็ญเซียนที่ทรงพลังเช่นนี้จึงฝึกฝนตัวอยู่ในสำนักกระบี่วิญญาณกันเล่า แม้นางจะยังเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ ที่มีตบะเพียงขั้นสร้างฐานระดับต้น เป็นมือใหม่ในโลกบำเพ็ญเซียน แต่เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ที่นี่ก็อดที่จะถามตัวเองไม่ได้ หากพวกเขามีตบะเพียงขั้นสร้างฐาน… ไม่สิ ต่อให้เป็นขั้นพิสุทธิ์ พวกเขาจะมีโอกาสชนะนางในการประลองตัวต่อตัวหรือไม่

          มันแทบไม่ต่างจากปีศาจเลยจริงๆ!

          ผลของการประลองค่อยๆ เผยให้เห็นบนลานเมฆา จิตใจของเหล่าคนดูก็ค่อยๆ คลายลงจากเหตุการณ์น่าหวาดเสียวก่อนหน้านั้น

          มันเป็นการแข่งขันที่สุดวิเศษ ทว่าผลที่ออกมากลับวิเศษยิ่งกว่า

          ในช่วงวินาทีสุดท้ายที่จ้านจื่อเย่ใช้กระบี่อสนีทำลายล้างและยันต์ทั้งสิบพร้อมกัน แรงระเบิดนั้นรุนแรงถึงระดับขั้นพิสุทธิ์ ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจรอดไปได้ หลิวหลีที่อยู่ข้างๆ กันก็ไม่อาจหนีทันเช่นกัน แน่นอนว่าภายใต้การดูแลของกรรมการตบะขั้นกำเนิดใหม่และตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ย่อมไม่มีใครเสียชีวิตก็จริง แต่ผลที่ออกมาก็ย่อมไม่ผิดพลาด

          ย่อยยับทั้งคู่ การแข่งขันครั้งนี้ผลคือเสมอกัน

          ขณะถอนใจให้กับผลการแข่งขัน หลายคนต่างก็คิดเรื่องเดียวกัน

          คนของโต๊ะรับพนันของหอนภาเร้นลับด้านล่างลานประลองจะคำนวณผลอย่างไร แม้ว่าจะเปิดรับแทงตัวเลือกเสมอกันด้วย ทว่ามีคนจำนวนน้อยนิดที่วางพนันข้อนี้ อย่างไรเสียในเมื่อผู้แข่งขันไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นความตายตอนที่อยู่ในสนามแข่ง พวกเขาจึงสามารถต่อสู้กันอย่างรุนแรงได้เท่าที่ต้องการ ดังนั้นผลจึงไม่น่าจะออกที่เสมอ

          แล้วคนผู้นั้นที่วางเดิมพันไปถึงห้าสิบล้านจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้

          “โง่เง่า”

          ขณะที่ทุกคนค่อยๆ เลื่อนสายตามามองเขา หวังลู่ก็เหยียดยิ้มจากนั้นก็ชี้ไปที่เวที “ผลมันก็เห็นๆ อยู่”

          เมื่อกลุ่มเมฆบนลานประลองค่อยๆ สลายไป ลำแสงสีทองปรากฏออกมาตรงกลางลานประลอง มีจ้านจื่อเย่นอนหมดสติอยู่บนนั้น ลำแสงสีทองนี้เป็นอาคมที่ผู้อาวุโสที่เป็นกรรมการร่ายเตรียมพร้อมเอาไว้ เมื่อสถานการณ์อยู่ในสภาวะวิกฤตถึงขั้นเป็นตาย แสงสีทองนี้ก็จะทำงานและเข้าปกป้องผู้บำเพ็ญเซียนวัยเยาว์เพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ ทว่าการที่ลำแสงสีทองทำงานก็หมายความว่ามีการพ่ายแพ้เกิดขึ้นในการแข่งขัน

          และจากที่ตาเห็น มีเพียงจ้านจื่อเย่ที่นอนอยู่ในลำแสงสีทอง แต่กลับไม่เห็นตัวของหลิวหลีเลย

          “เฮ้ ข้าอยู่นี่!”

          หลิวหลีในชุดสีสันสดใสส่งยิ้มสบายใจมาจากที่ปลายด้านหนึ่งของลานเมฆา พร้อมกับลดจิตกระบี่ของตัวเองลง ฉากดังกล่าวดูเป็นเรื่องปกติบนลานเมฆาแห่งนี้ ทว่าเมื่อเทียบกับจ้านจื่อเย่ที่หมดสติอยู่ หลิวหลีที่ยังสดชื่นรื่นเริงและคล่องแคล่วย่อมดูเฉิดฉายกว่าธรรมดา

          “ปะ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

          หลิวหลีป้องกันตัวเองจากเพลงกระบี่อสนีบาตทำลายล้างได้อย่างไร กระบี่กระจ่างใจไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องการตั้งรับเสียหน่อย!

          แน่นอนว่าในตอนนี้ เหล่าแขกที่บำเพ็ญเซียนมาอย่างลึกซึ้งต่างรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ทว่าเหล่าศิษย์ที่ยังขาดแคลนขั้นตบะต่างพากันงงงวย

          “เพราะงั้นข้าถึงได้บอกว่าพวกเจ้าโง่เง่ายังไงเล่า เก้ากระบี่รวมเป็นหนึ่งและสองกระบี่อยู่ในมือ เก้าบวกสองเป็นเท่าไร แล้วนางเรียกกระบี่บินออกมากี่เล่มกันแน่ ด้วยสมองอย่างพวกเจ้า พวกเจ้ายังจะกล้าเรียกร้องให้เอาวิชาคำนวณออกจากหอเถิงอวิ๋นอีกหรือ”

          พูดจบ หวังลู่ก็ก้าวยาวๆ ออกจากจุดพักไป

          ใบหน้าของเขาดูผึ่งผายอย่างเหลือล้น

…………………………………….