หลังจากได้ทำในสิ่งที่เขาควรทำแล้ว เสี่ยวเทียนเหยาก็ไม่ได้นอนหลับไปนานนัก หลังจากชั่วยาม เขาก็ตื่น แต่หลิน ชูจิ่ว ยังคงหลับอยู่
“นอนหลับให้สบาย ” หลังจากที่เขาพูดอย่างนุ่มนวลขึ้น เขาก็จูบลงไปบนเส้นผมของหลิน ชูจิ่ว เสี่ยวเทียนเหยา ลุกขึ้นและจากไปหลังจากนั้น
เสี่ยวเทียนเหยา ดูเหมือนจะขยับบ่อยมาก แต่มันกลับดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย … .
เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา ได้เรียนรู้ถึงตัวตนของโม่ ชิงเฟิง เขาก็คาดเดาได้ว่าฮ่องเต้คงจะคิดว่านี่เป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดกันของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ฮ่องเต้ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่จวนจื่อหนึ่งคืน
และตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการดูผลลัพธ์
“บอกให้โม่ ชิงเฟิงมาพบเปิ่นหวาง” เสี่ยวเทียนเหยา เดินตรงไปและใช้ห้องอักษรของหลิน ชูจิ่ว
โม่ ชิงเฟิงไม่รู้ว่าทำไมเสี่ยวเทียนเหยา ถึงต้องการพบเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กังวลเรื่องของพี่สาวคนโตของเขาอีกแล้ว เขาจึงไปพบเขา
“เสี่ยวหวางเย่”โม่ ชิงเฟิงให้ความเคารพต่อเสี่ยวเทียนเหยาเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเพราะเขาเป็นหวางเย่ของแคว้นนี้เท่านั้น แต่ยังเพราะความแข็งแกร่งของเขาอีกด้วย แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนรถเข็นก็ตาม แต่เขาก็สามารถรับรู้ถึงพลังของเสี่ยวเทียนเหยาได้
เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ต้องการเสียเวลากับโม่ ชิงเฟิง ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายโม่ เจ้าควรจะรู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับความหมายของคนการที่คนของดินแดนทางเหนือมาอยู่ในแคว้นตะวันออก ข่าวนี้จะถูกรู้โดยฮ่องเต้ “
หลังจากที่เขาพูดคำเหล่านั้นจบ เสี่ยวเทียนเหยาก็หยุดไปชั่วคราว แต่หลังจากที่เห็นโม่ ชิงเฟิงไม่ได้อยู่ในภาวะตื่นตระหนก เขาก็พูดขึ้นต่อ “เจ้ามีทางเลือกให้เลือกสองทางเท่านั้น หนึ่งคือการปล่อยให้ตระกูลโม่ร่วมมือกับเปิ่นหวาง และอีกหนึ่งคือ … … “
เสี่ยวเทียนเหยา ยังพูดไม่จบคำพูดของเขาและเพียงแค่มองไปที่โม่ ชิงเฟิง เท่านั้น แต่เขาแน่ใจว่าโม่ ชิงเฟิงไม่ต้องการเลือกเส้นทางแรกและเขาก็ถามขึ้น “และอีกหนึ่งคือ?”
“อีกหนึ่งนั้นง่ายมาก … … ” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นในขณะที่เขาส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้น ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ ปรารกฏอยู่ในดวงตาของเขา “ไปจากที่นี่พร้อมกับพี่สาวของเจ้า ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ”
“เราต้องทำเช่นนั้นจริงๆหรือ? เราไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของอำนาจใด ๆ พี่สาวของข้าเพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือจาหมอเท่านั้น “โม่ ชิงเฟิง กำลังดิ้นรน หัวใจของเขาดูเหมือนจะถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
ด้วยสภาพของพี่สาวคนโตของเขาในขณะนี้ จะมีเพียงความตายเท่านั้นที่จะรอนางอยู่
“มันสายเกินไปแล้วสำหรับเรื่องนั้น เจ้าควรจะออกไปในทันทีเมื่อเจ้าได้เรียนรู้ถึงตัวตนของเปิ่นหวาง ฮ่องเต้จะถือว่าเจ้าเป็นคนของเปิ่นหวางไปแล้ว แน่นอนเปิ่นหวางจะไม่บังคับเจ้า ตระกูลโม่สามารถหลีกเลี่ยงการร่วมมือได้ แต่ … … เมื่อฮ่องเต้หาทางกำจัดเจ้า อย่าคิดให้เปิ่นหวางช่วยเจ้า “เขาไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ กับตระกูลโม่จากดินแดนทางเหนือ ดังนั้นทำไมเขาต้องช่วยพวกเขาและรับผลที่จะตามมาใช่ไหม?
ไม่มีสิ่งที่ง่ายอยู่ภายใต้สวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้
“ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้” เรื่องนี้มีอิทธิพลอย่างมาก โม่ ชิงเฟิง ไม่กล้าที่จะทำอะไรอย่างผลีผลาม
“เปิ่นหวางบอกว่าจะไม่บังคับเจ้า” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย แต่แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ที่นั่น แต่ก็รู้สึกว่าเขาสามารถมองเห็นโลกได้อย่างถูกต้อง
โม่ ชิงเฟิง เพิ่งจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะได้ยินเสียงของเสี่ยวเทียวเหยาดังขึ้นอีกครั้งในครู่ต่อมา “แต่เมื่อตระกูลโม่ กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ เจ้าจะไม่ได้เห็นความร่วมมือจากเปิ่นหวาง”
กล่าวได้ว่าเมื่อตระกูลโม่ถูกทำลายโดยฮ่องเต้ แม้ว่าเขาจะขายตระกูลโม่ ของเขาทั้งหมดให้กับเขา เสี่ยวเทียนเหยาก็จะไม่ร่วมมือกับเขา
ประโยคนี้ดูโหดร้าย แต่มันคือความจริง
เจ้าไม่สนใจคนอื่น ดังนั้นอย่าหวังว่าคนอื่นจะช่วยเจ้าเมื่อเจ้าเดือดร้อน เจ้าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนหลิน ชูจิ่วหรือ? ที่จะช่วยผู้ป่วยหนักบนท้องถนนเช่นนั้น?
โม่ ชิงเฟิง เข้าใจดีถึงความหมายของคำพูดของเสี่ยวเทียนเหยา แต่เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าถูกข่มขู่ เขาหายใจเข้าลึกๆและพูดขึ้น “ข้าเข้าใจ โปรดให้เวลาข้าอีกสามวัน “
“เพื่อประโยชน์ของหวางเฟย เปิ่นหวาง สามารถให้เวลาเจ้าได้อีกสามวัน” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นและบอกให้โม่ ชิงเฟิงออกไปได้
โม่ ชิงเฟิงยืนอยู่นอกห้องอักษร จากนั้นเขาก็มองไปที่ห้องอักษรและมองไปที่ทิศทางของห้องคลอดและถอนหายใจออกมาอย่างหนักๆ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าการที่เสี่ยวหวางเฟยช่วยพี่สาวคนโตของเขาเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีสำหรับตระกูลโม่ของพวกเขา