ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 59 ฟ้าลั่นอีกครั้ง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ไม่ว่าเฉิงฉู่มั่วจะไม่ยินยอมมากแค่ไหนก็ไม่ตามอวิ๋นเยี่ยกับหนิวเจี้ยนหู่กลับบ้านไม่ได้ การเดินทางไกลที่ระหกระเหินจะเป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ดังนั้นการเดินทางกลับบ้านอวิ๋นเยี่ยจึงเลือกทางน้ำ แม้เดินเรือทวนน้ำจะช้าอยู่บ้างแต่ก็ไปได้ราบเรียบไม่สะเทือนเหมือนทางบก

 

 

จริงๆแล้วทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำฮวงโหไม่ได้มีอะไรให้ชมนัก องค์ประกอบหลักมีแต่พุ่มไม้เตี้ยๆกับหญ้าที่รกร้าง การเกิดน้ำท่วมเถาฮวาซวี่นประจำปีจะทำลายพืชทุกชนิดที่โผล่พ้นน้ำ อวิ๋นเยี่ยชอบนอนฟุบห้อยศีรษะอยู่ที่หัวเรือมองผิวน้ำจะเห็นภาพประหลาดที่น้ำนิ่งแต่สองฝั่งเคลื่อนที่เองได้

 

 

ซินเย่ว์จะนั่งอยู่ข้างๆรั้งเสื้ออวิ๋นเยี่ยไว้ นางห่วงมากเกรงว่าสามีตัวเองจะตกลงไปในน้ำ สือสืออยู่อีกด้านจับเท้าอวิ๋นเยี่ยไว้ ทุกครั้งที่เขานึกอยากใกล้ผิวน้ำให้มากขึ้นเพื่อรับความรู้สึกรื่นรมย์จากภาพสองฝั่งที่มีความเปลี่ยนแปลง ซินเย่ว์กับสือสือก็จะดึงเขากลับมานิดหน่อย ซินเย่ว์ไม่มีแรงมากเท่าสือสือ นางคนเดียวก็สามารถดึงอวิ๋นเยี่ยได้

 

 

ไม่ไหวแล้วผู้หญิงสองคนนี้ทำเสียบรรยากาศ อวิ๋นเยี่ยหมุนตัวนอนหงายอยู่บนพื้นหัวเรือมองดูแสงอาทิตย์ผ่านซอกไม้รวกที่มุงหลังคาเรือ ขณะที่ตัวอยู่ในแม่น้ำฮวงโหดูแสงอาทิตย์เดือนหกราวกับหมดอานุภาพไม่รุนแรงอีกต่อไป

 

 

ควักเม็ดสนออกจากอกเสื้อเม็ดหนึ่งเคาะออกได้ง่ายมาก เนื่องจากเม็ดสนโดนฝ่ามือต้าลี่จินกังจั่งมาแล้วนับไม่ถ้วนครั้ง ไม่ได้พูดเล่น โดนฝ่ามือต้าลี่จินกังจั่งจริงจึงได้แตกง่ายเช่นนี้

 

 

เม็ดสนที่เจวี๋ยหย่วนใช้เวลาทั้งคืนจึงคั่วเสร็จได้ถุงหนึ่ง สุดท้ายแล้วจึงใช้ฝ่ามือทุบเปลือกนอกของเม็ดสนออกทุกเม็ด นี่เป็นของกินเล่นที่เขาตั้งใจเตรียมไว้ให้ลูกสาว น่าสงสารที่พ่อเป็นพระสงฆ์ไม่มีของดีอะไรให้ลูกสาวจึงต้องแสดงความรักของพ่อเช่นนี้ สือสือเสียดายเกินไปที่จะกิน หลังจากอวิ๋นเยี่ยกินไปแล้วเม็ดหนึ่งก็ใช้ขนมกุ้ยฮวาเกาแลกกับนางทุกวัน เด็กหญิงชอบกินขนมมากที่สุดทนความเย้ายวนของขนมกุ้ยฮวาเกาไม่ได้ โดนกุ้ยฮวาเกาเปลี่ยนลูกสนไปเรื่อยๆจนตอนนี้เหลือไม่มากแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงไม่ใช้เครื่องมือจะต้องใช้มือเปล่าเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถรู้ได้ ไม่แน่ว่าเขาเลียนแบบคนซื่อบื้อที่ยอมถอดเสื้อออกเลี้ยงยุงให้กินอิ่มจะได้ไม่ไปกัดมารดาคนนั้น ต่างเป็นพวกคนขี้เกียจสันหลังยาว ต้นเหยี่ยเฮาเฉ่าขึ้นอยู่เต็มทุ่งแค่ถอนออกมาไม่กี่ต้นตากแห้งจุดไฟก็เป็นยากันยุงชั้นดี ไม่เห็นต้องใช้วิธีปัญญาอ่อนเช่นนั้น

 

 

กลิ่นหอมบนตัวซ่านอิงก็มาจากสิ่งนี้ เพียงแค่เพิ่มสมุนไพรกับเครื่องหอมบางอย่างก็เป็นยากันยุงชั้นเยี่ยม เดิมอวิ๋นเยี่ยนึกใช้เงินสองร้อยก้วนซื้อสูตรจากซ่านอิง ใครจะรู้ว่าหมอนี้ฉลาดขึ้นแล้ว หลังจากถามจนรู้ว่าจะเอาไปทำอะไรแล้วเขาก็เอาศีรษะตัวเองโขกกับประตูบ้านดังปังๆ อวิ๋นเยี่ยกับเฉิงฉู่มั่วดูอยู่ข้างๆจนนึกหวาดเสียว ประตูห้องพักแขกของตระกูลอวิ๋นพังแน่แล้ว

 

 

เวลานี้นอกจากพวกเด็กสตรีเหล่านั้นต้องผลิตไม้ขีดไฟแล้วยังต้องผลิตยากันยุงอีก เพื่อซื้อวัตถุดิบซ่านอิงอดไม่ได้ต้องติดหนี้อวิ๋นเยี่ยเพิ่มขึ้นอีกห้าร้อยก้วน ครั้งนี้ที่ตามเขากลับฉางอันก็ไปในฐานะหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเพื่อชำระหนี้ ฉีเฉิงกับชื่อหม่าที่เคยทำงานลั่วหยางได้อย่างดี โดยเฉพาะฉีเฉิงพอแต่งเครื่องแบบแล้วใครจะดูออกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนยังถือค้อนปลอมเป็นเสี่ยงหม่าอยู่เลย

 

 

เมืองลั่วหยางเงียบสงบดังก่อน เรื่องยอดฝีมือเข้าเมืองฆ่าคนกลายเป็นเรื่องเล่าที่คลุมเครือ ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่วันไม่แน่ว่าแม้แต่เรื่องเล่าก็ยังหายไปกลายเป็นหลงซันคนนี้ไม่เคยมีอยู่จริงมาแต่ไหนแต่ไร การต้องก่อเรื่องใหญ่โตเพื่อกลุ่มคนชั่วร้ายนั้นได้ไม่คุ้มเสียอยู่แล้ว หลังจากผู้ว่าหลิวเปลี่ยนบ้านหลงซันเป็นฝูโซ่วถังที่เป็นสถานรับเลี้ยงสตรีเด็กกำพร้าแล้ว ชื่อเสียงบารมีของผู้ว่าสูงขึ้นมาอีกหลายขุมทันที ชาวเมืองลั่วหยางได้ร่วมใจกันทำหนังสือฎีกาถึงราชสำนักขอให้ปูนบำเหน็จขุนนางชั้นเยี่ยมเช่นผู้ว่าหลิวคนนี้ ทั้งเว่ยโซ่วและตู้ถิงยิ่งปิติยินดีวางท่าราวกับเป็นขุนนางที่ประกอบคุณงามความดีเกื้อหนุนผู้ว่า ทำให้ดูแล้วน่าตบยิ่งนัก

 

 

โหวจวิงจี๋แกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด เขาเชื่อมั่นว่าสามพี่น้องนี้เป็นคนก่อเรื่องแต่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ จึงเพียงแค่หลับหูหลับตายอมรับคุณงามความดีของผู้ว่าหลิว กัดฟันร่วมลงนามในหนังสือฎีกาถึงราชสำนักด้วย

 

 

ยังไม่ได้เห็นหน้าตาโหวเหลียนเอ๋อร์ ได้แต่กลิ่นน้ำหอมที่รุนแรงหลังฉากกั้นจนไม่รู้ว่านางใช้น้ำหอมอาบน้ำหรือไม่ อวิ๋นเยี่ยห่วงแทนหลี่เฉิงเฉียนมาก น้ำหอมตระกูลอวิ๋นขายแพงมาก ไม่รู้ว่ารัชทายาทจะสู้ราคาไหวแค่ไหน

 

 

โหวฮูหยินเชิญหมออีกหลายคนด้วยความยินดีเพื่อให้มั่นใจว่าซินเย่ว์กับหนิงซื่อมีครรภ์จริงๆ แล้วหลบอยู่ในบ้านกับสองสาวคุยโขมงโฉงเฉงทั้งวัน พอซินเย่ว์กลับมาก็กำหนดกฎเกณฑ์ให้อวิ๋นเยี่ยปฏิบัติสารพัดเช่นหลังดื่มสุราห้ามเข้าห้องนอน เวลานอนกลางคืนแตะตัวได้เฉพาะท่อนบน ท่อนล่างห้ามเด็ดขาด นี่เป็นกฎเหล็กหากละเมิดจะถูกไล่ออกจากห้องนอนไม่มีผ่อนผัน ทำจนกลางคืนอวิ๋นเยี่ยแค่พลิกตัวก็โดนซินเย่ว์ใช้เท้ายันไปอีกด้าน เตียงเดียวโดนแบ่งเขตแดนคนละฝั่งอย่างชัดเจน

 

 

โหวเจี๋ยเป็นเด็กดี แทบจะขนของเกลี้ยงบ้านโหว ถึงแม้อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าของเหล่าไม่มีชิ้นไหนที่เอาเข้าสถานศึกษาได้เลยแต่เขาไม่ยอมเชื่อ คิดว่ามีที่พึ่งระดับอวิ๋นเยี่ยของแค่นี้ไม่น่ามีปัญหาอะไร เขายังไม่รู้ว่าหลิวเซี่ยนเป็นจอมมารร้ายขนาดไหน

 

 

บ้านซ่งที่ถูกซินเย่ว์เด็ดดอกไม้จนเกลี้ยงครั้งนี้ได้เรื่องมงคลใหญ่ อวิ๋นเยี่ยแจ้งเรื่องผลงานการปลูกดอกโบตั๋นให้ฮองเฮาซึ่งชื่นชอบดอกไม้ใหญ่ ฮองเฮาชอบดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นว่าดอกไม้ที่มีกลิ่นนำพวกแมลงภู่พวกผึ้งเข้ามาทำให้ในวังขาดความหนักแน่น ดอกโบตั๋นที่ไม่มีกลิ่นหอมทั้งยังบานได้ในฤดูหนาวจะต้องเป็นที่สนใจของนาง นี่เป็นเกียรติยศสูงยิ่งของตระกูลซ่ง ตระกูลซ่งที่ร้องไห้มาเกือบสิบวันหยุดร้องไห้ทันที เหล่าไท่เหยียตระกูลซ่ง ตาเฒ่าที่รักดอกไม้ดังชีวิตจิตใจใช้จอบขุดต้นเสาเย่าหกต้นด้วยตัวเอง ให้บุตรชายตามอวิ๋นเยี่ยเข้าวังถวายให้ฮองเฮา

 

 

เรือเลี้ยวเข้าคลองกว่างทงฉวีที่ถงกวน พื้นที่ราบในกวนจงทำให้ทัศนวิสัยเปิดกว้างขึ้นมาทันที อวิ๋นเยี่ยในฐานะเจ้าบ้าน การแยกไปในเวลานี้ย่อมไม่เหมาะสม ข้าวสาลีในทุ่งได้ถูกเก็บเกี่ยวแล้วเหลือเพียงตอข้าวสาลีสูงเชียะกว่า ชาวนายุคราชวงศ์ถังยังคงมีนิสัยแบบปีก่อนๆคือเก็บเพียงรวงข้าวไม่เก็บตอข้าว รอจนตอแห้งแล้วก็จุดไฟเผาเป็นเถ้าถ่านคืนสู่พื้นดิน

 

 

หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่เจ้าบ้านไม่อยู่ไม่รู้ว่าผลเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร ภาพที่ชาวหมู่บ้านขนข้าวสาลีไปเก็บในยุ้งฉางตระกูลอวิ๋นนั้น อวิ๋นเยี่ยเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เคยเบื่อ ถึงแม้ไม่มีราคาค่างวดอะไรแต่ไม่มีใครกล้ามองข้าม เงินทองเครื่องเพชรพลอยหิวกินไม่ได้ กระหายน้ำดื่มไม่ได้ คงต้องมีอาหารเต็มยุ้งเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนวางใจ นี่เป็นโอสถขนานเอกทางใจที่ขาดเสียไม่ได้เลย

 

 

ห่างฉางอันห้าสิบลี้ เห็นเหล่าจวงนำทหารคุ้มกันสองคนควบม้าวิ่งบนฝั่งอย่างเร็ว ใช้มือป้องปากตะโกนไปที่เรือ ฟังอยู่พักใหญ่จึงฟังรู้เรื่องว่า ท่านย่าอยู่ที่ท่าเรือหน้ารอการมาถึงของอวิ๋นเยี่ย

 

 

แน่ใจได้เลยว่านางไม่มีทางมาต้อนรับอวิ๋นเยี่ย หลายวันนี้ท่านย่ายิ่งวันยิ่งดูอวิ๋นเยี่ยขัดหูขัดตา ยกเหลนคนโตของตัวเองให้ผู้หญิงที่ไม่มีตำแหน่งถูกต้อง เพียงข้อนี้ก็เพียงพอแล้ว เวลานี้ได้ยินข่าวดีจากบ่าวไพร่ที่ควบม้าเร็วกลับบ้านมาส่งข่าวย่อมนั่งอยู่ในบ้านไม่ติด ทั้งยังเหล่าหนิวฮูหยินกับเหล่าหนิวที่กลับมาตั้งแต่เมื่อไรยังไม่รู้เลย

 

 

เนื่องจากเรือแล่นมาตามลม สามสิบลี้พริบตาเดียวก็มาถึงแล้ว ซินเย่ว์อุ้มท้องยืนบนเรืออย่างอิ่มอกอิ่มใจ ผู้หญิงต้องอาศัยท้องทำให้ได้หน้าได้ตา นี่เป็นสัจธรรมที่ต้าถังไม่เคยเปลี่ยนมานับพันปี สือสือพยุงซินเย่ว์ เสี่ยวชิวกางร่ม มองดูคนแน่นท่าเรือจนดำมืด ซินเย่ว์พยายามยืดคอที่ขาวผ่องมองดูว่าคนที่มาต้อนรับนางมีฐานะเพียงพอหรือไม่

 

 

พอขึ้นบกได้ท่านย่าแม้แต่มองก็ยังไม่มองหลานชายที่ปกติยกให้ปานของวิเศษ ไม้เท้าไม่ต้องใช้ก็ลากซินเย่ว์ดูซ้ายดูขวา พูดไม่หยุดเลยว่าดูดีงามมากสมบูรณ์แบบขึ้นท้องก็เริ่มขึ้นมาแล้ว

 

 

ท้องไม่ทันสองเดือนขึ้นมาได้คงแปลก เหล่าซุนถูกท่านย่าเรียกเข้ามาอย่างไม่ได้เต็มใจนัก จับข้อมือแมะชีพจรดูแล้วก็บอกท่านย่าว่า “ถูกต้อง มีครรภ์ใกล้สองเดือนแล้ว” พูดจบก็ยืนอยู่ข้างเหล่าหนิวที่กำลังงุ่นง่านรอเรือลำที่สองเพื่อจับชีพจรภรรยาเสี่ยวหนิวให้ตระกูลหนิวได้มั่นใจเต็มที่

 

 

การทำความเคารพของอวิ๋นเยี่ยนั้นเหล่าหนิวไม่ได้แยแสเลย ตระกูลเหล่าหนิวเวลานี้ก็มีแค่ทายาทเดี่ยว เหล่าหนิวฮูหยินเครียดจนจับแขนเหล่าหนิวไม่ยอมปล่อย เห็นคนเรือเทียบท่าแรงไปหน่อยก็จ้องจนคิ้วตั้งขึ้นมา คงเห็นคนมากเลยไม่กล้าออกอารมณ์พยายามกดฟืนไฟให้ลดลง แต่ในใจคงฟันคนเรือไม่ต่ำกว่าพันครั้งไปแล้ว

 

 

พอเสี่ยวหนิวฮูหยินลงจากเรือ คู่เหล่าหนิวก็พุ่งเข้าไป ซุนซือเหมี่ยวจับชีพจรแล้วให้คำตอบยืนยันแน่ชัดจึงทำให้หนิวฮูหยินวางใจ ชื่นชมความศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินไม่หยุดหย่อน

 

 

บ้านเหล่าเฉิงมีผู้ดูแลบ้านมาคนเดียว ฐานะของจิ่วอียังไม่ต้องให้สามีภรรยาเหล่าเฉิงมาเอง เฉิงฉู่มั่วไม่สู้ยินดีนัก จิ่วอีก็ทำท่าราวกับจะร้องไห้ เห็นบ้านคนอื่นครื้นเครงกัน ตัวเองเงียบกริบแล้วทั้งคู่ต่างมีรู้สึกรับไม่ค่อยได้

 

 

เหล่าหนิวหัวเราะเลิกแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจออวิ๋นเยี่ยนานแล้ว ยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยแล้วพยักหน้าว่า “ไม่ได้เจอกันปีหนึ่ง ถือว่าโตแล้วกำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว ใช้ชีวิตให้ดีๆย่อมดีกว่าทุกอย่าง เรื่องดีชั่วในราชสำนักยุ่งเกี่ยวน้อยลงจะดีกว่า ให้กลับหมู่บ้านไปเลย เมืองฉางอันไม่ต้องไปหรอก”

 

 

คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเครียด เวลานี้เขาอ่อนไหวมาก ฟังคำพูดเหล่าหนิวออกได้ว่าราชสำนักไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่เห็น คลื่นใต้น้ำคงรุนแรงพอสมควร

 

 

เรื่องหลิ่งหนานถึงอย่างไรก็คงมีผลข้างเคียง การเคลื่อนไหวใหญ่ของฝ่ายทหารคงทำให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่สบายใจ ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเคลื่อนไหวในราชสำนัก ต้องการดึงอำนาจที่เสียไปจากพื้นที่อื่นให้กลับคืนมา เป็นไปได้ว่าทุ่งหญ้าจะเป็นเป้าหมายแรก อวิ๋นเยี่ยราวกับถูกพัวพันไปด้วย

 

 

“ท่านลุงหนิวกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนในทุ่งหญ้าหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าหนิว

 

 

“หลี่จีเวลานี้ควบคุมทหารหกหมื่นคนในทุ่งหญ้าคนเดียวทำให้ออกจะเกินกำลัง ดังนั้นราชสำนักตกลงใจส่งขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้าประจำที่ทุ่งหญ้าบ้างเพื่อช่วยหลี่จีดูแลราษฎรในทุ่งหญ้า เจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ครั้งนี้พวกเขาอิจฉาตาร้อนจะหาเหตุกัน ภรรยาน้อยของเจ้าทำเรื่องที่ไม่สะอาดนักโดนคนจับได้ เวลานี้พวกเผ่าพันธุ์อื่นในทุ่งหญ้าไปร้องทุกข์กับฮ่องเต้เกี่ยวกับความผิดของนาง ต้องการให้ราชสำนักพิจารณา”