รอยยิ้มที่มาพร้อมกับชุดที่ยับยู่ยี่ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน แต่ยอนฮวากลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและตอบว่า “อือ” จากนั้นจึงบอกกับเขาว่าจะไปเตรียมอาหารเช้าและรีบเดินตรงไปยังห้องครัวแม้จะเป็นช่วงเวลาที่เร็วเกินไปสำหรับการเตรียมอาหารเช้าก็ตาม แต่โฮจินก็ไม่ได้ตกใจอะไรและเปิดจดหมายที่ถูกยัดใส่ในมือของตัวเองออก ภายในจดหมายสั้นๆ ประกอบด้วยแผนการที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าความคิดของผู้หญิง แล้วก็… 

 

 

[อย่าแกล้งยอนฮวาหนักเกินไปนักล่ะ] 

 

 

มีข้อความหนึ่งบรรทัดที่หมายถึงโฮจินอย่างแน่นอนถูกเขียนอยู่ด้วย 

 

 

“ยังเฉลียวฉลาดเหมือนเดิมเลยนะขอรับ” 

 

 

“เอามานี่” 

 

 

ฮาแบคที่เพิ่งตื่นในเวลาเดียวกัน แต่อยู่ในชุดไว้ทุกข์สีขาวและจัดทรงผมอย่างเรียบร้อยไร้ที่ติต่างจากโฮจินที่ใครมาเห็นก็รู้ว่าเพิ่งตื่น พลางฉวยจดหมายไป 

 

 

“แค่พูดว่า ‘ส่งมาหน่อย’ ไม่ได้หรือขอรับ” 

 

 

“ไปช่วยเตรียมอาหารไป” 

 

 

“ถ้าให้ผู้ชายไปทำงานเรือน เดี๋ยวพละกำลังก็ตกหมดหรอกขอรับ” 

 

 

“พละกำลังของเจ้าน่ะ เห็นทีจะต้องลดลงหน่อย…” 

 

 

แต่ก่อนที่ฮาแบคจะพูดจบ 

 

 

“กรี๊ด!” 

 

 

เสียงกรีดร้องของยอนฮวาดังออกมาจากห้องครัว พอโฮจินรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัว ก็เห็นฝาหม้อกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ข้างหน้ายอนฮวาซึ่งมีใบหน้าซีดเซียว ส่วนภายในหม้อมีกระต่ายโชกเลือดหนึ่งตัวถูกใส่เอาไว้ โฮจินจับมันขึ้นมาและยื่นไปตรงหน้าของยอนฮวาพร้อมกับยิ้มร่า 

 

 

“กระต่ายจะกินท่านนางในงั้นหรือ หรือท่านจะกินกระต่ายกันแน่ขอรับ” 

 

 

“อะ เอามันออกไปหน่อยเจ้าค่ะ!” 

 

 

เพราะว่ายอนฮวาที่ใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าและทำท่าจะร้องไห้ดูตลกมาก จึงลืมเรื่องที่รยูฮวาเขียนกำชับไว้ในจดหมายก่อนหน้านี้เสียสนิท ท่ามกลางการใช้ชีวิตในหุบเขาซึ่งมีแต่ความน่าเบื่อ ยอนฮวาซึ่งตกใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นจึงเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวของโฮจิน แต่คนที่ร้องโอ๊ะออกมาทันทีที่เห็นกระต่ายที่คยอกรังจับมาแล้วเอามาใส่ไว้ในหม้อไม่ใช่โฮจิน 

 

 

“โอ๊ะ ลืมตาสิขอรับ ถ้าไม่ลืมตา เดี๋ยวข้าโยนกระต่ายใส่นะ” 

 

 

“อย่านะเจ้าคะ ขอร้องล่ะ! ฮือ…” 

 

 

“แกล้งยอนฮวาอีกแล้วรึ” 

 

 

เสียงที่เข้ามาทางประตูทำให้ยอนฮวาซึ่งน้ำตาคลอเบ้าลุกพรวดขึ้นและโค้งคำนับ โฮจินผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ 

 

 

“แกล้งหรือขอรับ เราต้องเพิ่มความกล้าให้กับท่านนางในสิขอรับ” 

 

 

“เพิ่มความกล้าไปทำอะไร” 

 

 

“ไปล่าสัตว์เหมือนพระชายาบ้าง ไปฆ่าคนเหมือนมินอาบ้าง…” 

 

 

แขนที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวยื่นออกไปลูบหัวยอนฮวาเบาๆ ก่อนจะแย่งกระต่ายมาจากโฮจิน 

 

 

“ที่ไหนเขาเพิ่มความกล้าเพื่อที่จะไปล่าสัตว์กันเล่า มันคนละเรื่องกันต่างหากล่ะ” 

 

 

“คือว่า จะเอามันไปฝังไว้ตรงที่มีแดดส่องถึงใช่ไหมเพคะ” 

 

 

ยอนฮวาพูดออกมาด้วยความระมัดระวัง แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือความเป็นจริง 

 

 

“ฝังงั้นหรือ ถ้าเราถลกหนังมันออก แล้วแล่เนื้อมาตากแห้งน่าจะอร่อยไม่น้อยนะ” 

 

 

“ว้าว นึกว่าจะเป็นคนคงแก่เรียนอยู่ในวังเสียอีก แต่ใช้ได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

โฮจินยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตบไหล่ของฮอนอย่างไม่ยำเกรง ยอนฮวาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเอาจดหมายที่เก็บเอาไว้ออกมาให้ฮอน 

 

 

“พระชายาส่งมาให้เมื่อเช้ามืดวันนี้เพคะ” 

 

 

มุมปากของฮอนซึ่งมีสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลายกขึ้นอย่างช้าๆ สีหน้าสดใสปรากฏบนใบหน้าที่ไม่ยิ้มเลยสักครั้งหลังจากฟื้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก ยอนฮวารู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจนิดหน่อยในขณะที่วุ่นอยู่กับตักข้าวสารขึ้นมาจากถังข้าวสาร ส่วนฮอนก็เก็บจดหมายไว้อย่างหวงแหน ก่อนจะออกจากห้องครัวแล้วกลับไปที่ห้อง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

พระพันปีทรงประทับอยู่ด้านหลังราชบัลลังก์อันว่างเปล่าด้วยใบหน้าซีดเซียวราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ที่ตรงนี้นั้นพระมเหสีที่นั่งเหม่อลอยจ้องมองท้องฟ้าว่างเปล่าอยู่ในวังจานยองซึ่งปราศจากข้าราชบริพารคอยรับใช้เฝ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง พระศพของกษัตริย์ผู้ล่วงลับถูกเก็บไว้ในหลุมพระศพอย่างปลอดภัย อำนาจทั้งหมดของประเทศจึงตกอยู่ในมือของหญิงชราคนนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน จนกระทั่งกษัตริย์องค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ แม้เสียงของประชาชนจะดังเซ็งแซ่ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่พระพันปีก็ยังคงออกมาดูแลบ้านเมืองไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย 

 

 

“เจ้ากรมอาญา โทษของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไรบ้างรึ” 

 

 

ภายในน้ำเสียงที่ออกมาอย่างแผ่วเบาเต็มไปด้วยความมีเกียรติของสตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ แทนที่จะเป็นความเศร้าโศกที่สูญเสียบุตรชายไป เจ้ากรมอาญาจึงก้าวออกไปด้านหน้าราชบัลลังก์และนำกระดาษม้วนหนึ่งซึ่งมีบทลงโทษบันทึกอยู่และถุงใบเล็กออกมา สิ่งนั้นถูกส่งจากมือของเจ้ากรมอาญาไปยังขันทีและถูกส่งต่อไปยังพระหัตถ์ของพระพันปีอีกทีหนึ่ง แล้วจึงกางมันออก 

 

 

“มันคือยาพิษที่มาจากตำหนักของพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่เรียกว่าปลาใต้น้ำคือของหายาก ถึงแม้ว่าจะจ่ายด้วยเงินจำนวนมากก็ไม่สามารถหามาได้ง่ายๆ พ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากว่าไม่มีทั้งกลิ่นและสี ดังนั้นหากมองเพียงผิวเผินจึงไม่อาจรู้ได้เลย นอกจากนั้นแล้วสมรรถภาพของมันยังมีพิษที่รุนแรงด้วย ดังนั้นเพียงแค่หยดเดียวก็สามารถแพร่กระจายไปยังแขนและขาทั้งสองข้าง แล้วทำให้ตายได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

พระพันปีกำถุงนั้นไว้ในมือ หลับตาลงและปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ ขนมที่ใส่สิ่งนี้เข้าไปคืออาหารมื้อสุดท้ายของลูกชาย และพระมเหสีผู้ที่ทำขนมนี้ก็คือลูกสะใภ้ที่ถูกเลือกขึ้นมาด้วยมือของพระพันปีเองเมื่อหลายสิบปีก่อนอีกด้วย ลมหายใจแห่งความสำนึกผิดรินรดบนราชบัลลังก์อันว่างเปล่า 

 

 

“นำตัวพยานเข้ามา” 

 

 

ประตูถูกเปิดออกหลังจากพระพันปีเอ่ยจบ ทหารองครักษ์ผู้แข็งแกร่งเดินขนาบข้างนางในที่เข้ามาด้านใน 

 

 

“นางคือนางในตระกูลชอนซึ่งเป็นนางในที่ประจำอยู่ในตำหนักของพระสนมมุน ผู้กระทำผิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“จงบอกเรื่องที่เจ้าได้เห็นและได้ยินมาให้หมด” 

 

 

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมีเกียรติของพระพันปี พระที่นั่งอันกว้างขวางและสายตาของเหล่าเสนาบดีที่เต็มไปทั่วบริเวณทำให้นางในตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เมื่อนางพูดไม่ออกเพราะความกลัว พระพันปีจึงห้ามปราบเจ้ากรมอาญาที่กำลังจะเร่งนางอย่างน่ากลัวและเกลี้ยกล่อมนางในผู้นั้นอย่างอ่อนโยน 

 

 

“ข้าไม่ได้จะลงโทษเจ้าหรอกนะ เพราะฉะนั้นวางใจได้และพูดออกมาเถิด” 

 

 

“มะ หม่อมฉัน…” 

 

 

ถึงจะเป็นเสียงเล็กๆ ที่สั่นเครือ แต่ผู้จดบันทึกก็สามารถจดได้ครบถ้วนทุกคำเพราะท้องพระโรงนั้นเงียบราวกับป่าช้า 

 

 

“หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลพระกระยาหารที่ฮวังควีบี ไม่สิ พระสนมเอก…มุนเสวยเพคะ แรกเริ่มเดิมทีพระองค์ทรงละเอียดอ่อนเรื่องอาหารอยู่แล้ว แม้กระทั่งชาหนึ่งหยดก็ทรงให้หม่อมฉันชิมก่อนจึงจะเสวย แต่… คะ แค่ขนมนั้นเท่านั้นที่ทรงไม่ให้หม่อมฉันแตะต้องเพคะ” 

 

 

“เพราะเหตุใดนางจึงไม่ให้เจ้าแตะต้องรึ ไหนลองเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียดทีสิ” 

 

 

“มีรับสั่งให้เสด็จไปที่วังจานยองเพคะ ซึ่งพระสนมเอกเสด็จไปเพียงคนเดียวโดยที่ไม่มีนางในติดตามเลยสักคนเพคะ จากนั้นทรงไม่เสวยสิ่งใด ทั้งยังเก็บตัวอยู่แต่ในห้องบรรทม หลังจากนั้นไม่นานขนมนั้นก็มาถึง…อ้อ หลังจากที่ท่านเจ้ากรมการคลังมาก็ทรงไปที่ไหนสักแห่งและกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะออกไปพร้อมกับนำขนมไปด้วยเพคะ!” 

 

 

พอได้ยินชื่อตัวเองถูกพูดถึง จอนจูฮโยจึงสะดุ้งและมีสีหน้าตึงเครียดในทันที พระพันปีพินิจมองเขาโดยละเอียด แต่แล้วก็เบนสายตาและหลับตาลงสักพัก พระสนมเอกมุนรู้อยู่แล้วว่าในนั้นมียาพิษ หรือพระมเหสีข่มขู่ให้นางกินขนม? สะเพร่า นั่นมันสะเพร่าไม่สมกับเป็นพระมเหสีเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าพระสนมเอกมุนจะกินสิ่งนั้นเข้าไปและตายเพียงคนเดียว แต่ความผิดในการวางยาพิษมารดาผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาทก็เพียงพอที่จะทำให้พระมเหสีถูกตัดออกจากราชสมบัติและได้รับโทษประหารชีวิตด้วยยาพิษได้เลย 

 

 

“เจ้ากรมอาญา แน่ใจใช่หรือไม่ว่าขนมนั้นมาจากวังจานยอง” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ มันถูกทำขึ้นที่ห้องครัวของวังจานยอง อีกทั้งพระมเหสียังทรงสั่งให้ผู้ใกล้ชิดนำมันไปส่งด้วยตัวเองอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ตอนนี้แม้แต่หัวสมองก็เริ่มแก่ชราลงแล้วสินะ พระพันปีส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้น 

 

 

“เลื่อนคำตัดสินโทษของพระมเหสีและผู้ที่เกี่ยวข้องออกไปก่อน วันนี้ยุติเพียงเท่านี้” 

 

 

ความคิดยังคงยุ่งเหยิง แม้จะออกมาจากท้องพระโรงและขึ้นไปบนเกี้ยวแล้วก็ตาม ใช้ชีวิตมานานเกินไปแล้วสินะ หากจากไปพร้อมพระราชาผู้ล่วงลับจะดีกว่าหรือไม่ พระพันปียิ้มอย่างว่างเปล่าและยกมือขึ้นบอกให้หยุดเกี้ยว 

 

 

“เปลี่ยนไปยังวังซึงกอน” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ พระพันปี”