วังซึงกอนโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาทันทีเมื่อพระพันปีเสด็จมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เริ่มต้นด้วยเสียงร้องตะโกนอันรีบเร่งต่างจากปกติของยางจิน
“พระชายา พระพันปีกำลังเสด็จมาที่นี่เพคะ!”
ตามกฏของพระราชวังแล้วนั้น เบื้องบนจะไม่ลงมาเยี่ยมตำหนักของผู้น้อย แต่เมื่อพระพันปีเสด็จมาด้วยตนเอง รยูฮาจึงลุกพรวดขึ้นจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันเหล่านางในก็เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศสดชื่นถ่ายเทเข้ามาข้างใน หลังจากปักปิ่นปักผมอย่างหวุดหวิดก็ออกไปต้อนรับเกี้ยวของพระพันปีได้
“เสด็จย่า เหตุใดถึงไม่ทรงเรียกหม่อมฉันไปหาล่ะเพคะ”
“ย่าแค่มารับลมสักครู่หนึ่งน่ะ อย่าได้กังวลเลย”
พระพันปีจับมือที่รยูฮายื่นมาและลงจากเกี้ยว จากนั้นจึงมองดูรอบๆ
“ไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“มันเคยเป็นวังที่ว่างเปล่าจนกระทั่งหม่อมฉันเข้ามาเพคะ เสด็จย่าเคยเสด็จมาเมื่อใดหรือเพคะ”
“ย่าก็เคยเป็นเจ้าสาวคนใหม่แสนสวยเหมือนพระชายานั่นแหละ หญิงชราคนนี้จึงเคยอาศัยอยู่ที่วังแห่งนี้ในสมัยที่เป็นพระชายาเช่นกัน”
รยูฮายิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความยินดีพร้อมกับกำมือของพระพันปีแน่นกว่าเดิม ชาถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าทั้งสองคนที่เข้ามายังห้องนั่งเล่น แต่ไม่มีการเตรียมขนมที่ไว้ทานคู่กัน หลังจากพระราชาเสด็จสวรรคต พระพันปีก็ไม่อนุญาตให้นำขนมออกมาโดยเด็ดขาดเมื่อดื่มชา ขณะที่รยูฮากำลังชงชาอย่างงดงามอยู่นั้น พระพันปีก็กวาดตามองไปรอบห้องซึ่งมีความสง่างามแต่ไม่หรูหราด้วยสายตาที่รู้สึกแปลกใหม่
“เสร็จแล้วเพคะ เสด็จย่า”
“ขอบใจเจ้ามาก ห้องเจ้าเป็นระเบียบเรียบร้อยและไม่รกตาดี พอเห็นแล้วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเลย”
“หม่อมฉันรู้สึกดีใจที่ทรงตรัสเช่นนั้นเพคะ”
แววตาของพระพันปีมองดูรยูฮาซึ่งกำลังดื่มชาอย่างอบอุ่น โชคดีที่ยังมีท่านผู้นี้อยู่ภายในพระราชวัง รยูฮาคิดเช่นนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงชราและยิ้มออกมา
“พระชายา ตอนนี้ย่าทั้งชราภาพและอ่อนแรง สติปัญญาก็ดูเหมือนว่าจะไม่เท่าเมื่อก่อนแล้วด้วย”
“ทำไมถึงตรัสเช่นนั้นล่ะเพคะ ในพระราชวังเสด็จย่าทรงเป็นผู้ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากที่สุดแล้วเพคะ”
คำพูดของรยูฮาเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่พระพันปีกลับส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับยกชาขึ้นมาจิบ
“อันที่จริงแล้วย่ามาเพื่อขอยืมความเฉลียวฉลาดจากพระชายาน่ะ เจ้าจะช่วยย่าได้หรือไม่เล่า”
“หากความเฉลียวฉลาดที่ยังขาดตกบกพร่องของหม่อมฉันสามารถเป็นประโยชน์ได้ หม่อมฉันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
พระพันปีลังเลที่จะพูดออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจหรือไม่ไว้วางใจรยูฮา แต่การพูดถึงลูกชายผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก หญิงชราหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดความสงสัยที่รบกวนจิตใจออกมา
“พระมเหสีคือผู้ที่ส่งขนมใส่ยาพิษให้แก่พระสนมเอกมุน ในเมื่อนั่นคือความจริงอย่างแน่นอน เจ้าคิดว่าเหตุผลที่ทำเช่นนั้นคืออะไรกัน”
“ความจริงแล้วหม่อมฉันเองก็สงสัยเช่นนั้นเหมือนกันเพคะ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร พระมเหสีก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใดเลยมิใช่หรือเพคะ”
ทั้งสองคนนิ่งเงียบสักพักพร้อมกับแบ่งปันความกังวลร่วมกันท่ามกลางความเงียบ แต่แล้วจู่ๆ รยูฮาก็ฉุกคิดคำตอบอันแสนง่ายขึ้นมาได้
“หม่อมฉันจะลองไปถามดูเพคะ”
“แต่นางยังไม่เปิดปากพูดเลยจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าพระชายาจะไป…”
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เราไม่รู้ก็ได้เพคะ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะรีบไปรีบมาเพคะ”
รยูฮาออกไปยังวังซึงกอนในทันทีหลังจากส่งเกี้ยวของพระพันปีเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากยังไม่มีการตัดสินโทษ พระมเหสีจึงยังประทับอยู่ที่วังจานยอง แต่ที่นั่นถูกห้อมล้อมด้วยทหารองครักษ์หลายชั้นและเหลือซังกุงเพียงแค่คนเดียวจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรจากคุก พอรยูฮาปรากฏตัว ทหารยามที่เฝ้ายามกันอย่างแน่นหนาจึงพร้อมใจให้ทางนาง พร้อมกันกับที่ประตูซึ่งถูกปิดสนิทหลายชั้นถูกเปิดออก ทว่ากลับหาความสง่างามอย่างในสมัยก่อนจากพระมเหสีผู้ซึ่งนั่งอยู่บนที่ที่สูงที่สุดในชุดไว้ทุกข์ไม่ได้เลย
“ถวายบังคมเพคะ พระมเหสี”
“พระมเหสีอะไรกัน ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นพระมเหสีหรืออะไรทั้งนั้นแล้ว นั่งลงเถอะ”
คำพูดแกมดูถูกตัวเองตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันห่อเ**่ยว นางลบเครื่องสำอางและเอาเครื่องประดับที่เคยแต่งออกทั้งหมด แต่กลับดูสบายๆ และผ่อนคลายกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ รยูฮาที่มองดูพระมเหสีอย่างช้าๆ ในที่สุดก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“โทษของพระมเหสีจะถูกตัดสินก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“แต่ก่อนอื่น…”
“เจ้าจะถามว่าทำไมข้าถึงส่งขนมใส่ยาพิษไปยังวังยองฮวาอย่างนั้นใช่ไหม”
มันคือคำถามที่ทุกคนที่เข้ามาที่วังจานยองถามก่อนเป็นอย่างแรก แต่พระมเหสีก็ปิดปากสนิทและไม่ได้ให้คำตอบอะไรกลับมา และตอนนี้พระชายาก็มาแล้ว ในที่สุดนางจึงค่อยๆ พูดสิ่งที่เก็บเอาไว้ออกมาอย่างช้าๆ
“ชนะแล้ว พระสนมเอกมุน ไม่สิ ยออ๊กชนะแล้ว”
แม้จะไม่เข้าใจ แต่รยูฮาก็นั่งรออยู่เฉยๆ โดยที่ไม่คะยั้นคะยอ หลังจากหายใจเข้าหายใจออกหลายครั้ง เสียงของพระมเหสีก็ค่อยๆ เปล่งออกมาอย่างสั่นเครือและขาดหาย
“เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ข้าเคยจับลูกชายของยออ๊กมาเป็นเชลยเพื่อใช้ในการข่มขู่”
“ทรงหมายถึงเรื่องของพระสนมเอกยอนใช่ไหมเพคะ”
ชื่อที่คุ้นเคยซึ่งโผล่ขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้แววตาของพระมเหสีสั่นเครือ รยูฮาไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปและพูดต่อ
“ไม่ต้องตกใจไปหรอก เจ้าคงจะคิดว่าในเมื่อพระสนมเอกมุนมีส่วนเกี่ยวข้อง พระราชาผู้ล่วงลับไปแล้วจึงไม่ขุดคุ้ยเรื่องนั้นต่อและปกปิดมันเอาไว้ใช่ไหมล่ะ ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
คิกๆ พระมเหสีระเบิดหัวเราะซึ่งห่างไกลกับคำว่าสง่างามไปมาก ในขณะที่ฝังตัวลงในเก้าอี้
“ข้ามักจะได้ยินข่าวลือว่าพระชายามีปัญญาเฉียบแหลมอยู่เป็นประจำ ใช่แล้ว นางเป็นเช่นนั้นแหละ แต่พระชายาคงจะไม่นึกว่ายออ๊กจะกลับมาแก้แค้นเรื่องนั้น ด้วยวิธีเดียวกัน”
“พระสนมเอกมุนทรงข่มขู่พระมเหสีด้วยชีวิตขององค์ชายหนึ่ง ทรงหมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่เพคะ”
“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่เด็กคนนั้น พระชายาก็รู้จักไม่ใช่หรือ ออนของข้ามองก็ไม่เห็น เสียงก็ไม่ได้ยิน พูดไม่ได้และไม่มีสตินับตั้งแต่เกิด ยออ๊ก นางเป็นผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจไร้สาระจึงรู้สึกสงสารออนอยู่เสมอ”
“ถ้าเช่นนั้น…”
“ข้าเรียกยออ๊กมายังตำหนักก็เพื่อจะฆ่านางทิ้งเสีย เพราะอย่างไรซะทุกสิ่งทุกอย่างมันก็บิดเบี้ยวหมดแล้ว ข้าจึงตั้งใจที่จะตายหลังจากฆ่ายออ๊กแทนที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เจ้ารู้ไหมว่าผู้หญิงหัวไวคนนั้นเอาอะไรมาเจรจากับข้า”
รยูฮาครุ่นคิดสักพัก ถ้าไม่ใช่องค์ชายหนึ่ง โอรสที่พระมเหสีเหลืออยู่ก็คือ…
“…องค์ชายสาม?”
“ฮ่าๆ!”
เสียงหัวเราะของพระมเหสีสั่นสะเทือนภายในห้องอันเงียบสงบทันทีที่รยูฮาพูดจบ
“ใช่แล้ว หัวเราะเยาะข้าให้เต็มที่เลยสิพระชายา! ที่ข้ารักและหวงแหนฮอนจากใจจริง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายของคนที่ข้าเป็นคนฆ่าและแย่งชิงมาก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็กลับกลายเป็นเช่นนั้น ยออ๊กเข้าใจถึงความรู้สึกที่ข้าไม่เคยรู้จักอยู่ก่อนแล้ว นางบอกข้าว่าฮอนมีชีวิตรอดอยู่ข้างนอกนั่น ซึ่งเพียงแค่ข้าส่งขนมนั่นไปที่วังยองฮวา นางก็จะปล่อยไปและไม่ทำอะไรเขา นางให้สัญญาเช่นนั้น!”
ภายในแววตาของพระมเหสีที่มองดูฮอนจะเต็มไปด้วยแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิอยู่เสมอ รอยยิ้มบนริมฝีปากก็ยังคงไม่ถูกลบเลือนไป นั่นคงจะเป็นความจริงใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของนางที่เต็มไปด้วยคำโกหก รยูฮาเบนสายตาอันเจ็บช้ำไปยังหน้าต่างที่ถูกปิดอยู่
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าอีกไม่นานชีวิตของข้าก็จะจบสิ้นลง ถึงแม้จะเป็นชีวิตที่ควรจะสิ้นลมไปพร้อมๆ กับตอนที่พระราชาเสด็จสวรรคต แต่ข้าก็ยอมใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อยและรอคอยพระชายาอยู่เช่นนี้ เพราะฉะนั้นบอกข้ามาเถิดพระชายา ลูกชายของข้า…”
สายตาที่หันกลับมาที่พระมเหสีอีกครั้งเข้าใจความจริงใจของนาง ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร รยูฮาค่อยๆ ก้มหัวลงแล้วเงยขึ้น แม้จะเป็นอากัปกิริยาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้พระมเหสีลุกขึ้นมายิ้มด้วยความดีใจอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง สุดท้ายนางก็ฟื้นคืนความสง่างามของพระมเหสีมาได้
“ข้ามีบางอย่างอยากจะขอร้อง ความจริงแล้ว ข้าไม่เคยมีความคิดที่เกลียดชังฮอนเลยแม้แต่น้อย ฝากไปบอกหน่อยได้หรือไม่”
“หากทรงซักถามขึ้นมา หม่อมฉันจะตอบเช่นนั้นเพคะ”
“ขอบใจนะ แล้วก็…โปรดช่วยดูองค์ชายหนึ่งให้ทีเถิด เพราะถ้าข้าไม่อยู่แล้วก็คงจะไม่มีผู้ใดสนใจเขาเลย”
เมื่อรยูฮาพยักหน้าอีกรอบแล้วโค้งคำนับให้อย่างเงียบๆ พระมเหสีเองก็ก้มศีรษะให้เช่นกัน รยูฮาได้ยินเสียงของนางที่พูดต่ออีกเล็กน้อยหลังจากออกมาข้างนอกแล้ว
“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตลูกชายทั้งสองคนของข้า ข้าจะจากไปโดยที่ไม่ลืมเรื่องนั้นเลย”
นั่นคือการบอกลาครั้งสุดท้าย ในคืนนั้นพระมเหสีนำขนมที่ซ่อนไว้ลึกใต้พื้นไม้ออกมาแล้วกลืนมันลงไป
* * *