“ใต้เท้ามีเรื่องอะไรถึงได้มาถึงที่นี่หรือขอรับ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าพระสสุระแล้วนี่นา” 

 

 

สีหน้าของซอดูยังคงอ่อนโยนแม้จะโดนจูเยฮึงเหน็บแนม ท่าทางของเขาดูสบายอกสบายใจเพราะตนเองเป็นผู้ชนะจนเยฮึงย่นหน้าผากอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ 

 

 

“พระสสุระอะไรกันเล่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรีบร้อนคุยกันหรอกนะ ถึงท่านจะไม่ยินดี แต่ในเมื่อข้าเป็นแขกผู้มาเยี่ยมเยียน ข้าขอชาสักแก้วหน่อยได้หรือไม่เล่า” 

 

 

“ข้างนอกมีใครอยู่บ้าง ไปนำโต๊ะรับรองแขกออกมา! 

 

 

แม้โต๊ะชาจะถูกนำเข้ามาอย่างไม่เต็มใจนักจะเป็นโต๊ะที่มีคุณภาพสูงจนสามารถเทียบเคียงกับสิ่งของในพระราชวังได้เลย แต่ใบชากลับเป็นของคุณภาพต่ำ แต่ซอดูก็ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิมพร้อมกับยกถ้วยชาของตนเองขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเปิดปากพูดอย่างผ่อนคลาย 

 

 

“ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมนะ ข้าจะขอเงินเจ้าหน่อย” 

 

 

“เฮอะ!” 

 

 

นอกจากจู่ๆ ก็มาหาโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วยังจะมาขอเงินอย่างปุบปับแบบนี้อีก ดังนั้นการที่เยฮึงหัวเราะเยาะออกมาจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำเกินไปนัก เนื่องจากเหตุการณ์อันเศร้าสลดที่พระมเหสีได้เริ่มต้นขึ้น เขาจึงตกอยู่ในอันตราย แม้แต่ตระกูลขุนนางต่างๆ ก็ยังปฏิบัติต่อเขาเสมือนเป็นเศรษฐีชั้นต่ำ 

 

 

“อย่างที่ท่านรู้ ตระกูลจูขอเรามีความจงรักภักดีมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ข้าไม่มีเงินที่จะมอบให้หรอกขอรับ” 

 

 

“ไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ…” 

 

 

ซอดูลูบหนวดเคราพร้อมกับจ้องมองเยฮึงสักพัก แววตานั้นซึ่งเปรียบเสมือนดาบอันยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่สิ่งที่บุคคลธรรมดาจะสามารถโต้ตอบกลับไปได้เลย เยฮึงจึงยกถ้วยชาขึ้นมาโดยไม่จำเป็นและวางลงพร้อมกับกระแอมไอ 

 

 

“ข้าจำได้ว่าในตอนที่พระชายาเสด็จไปยังชายแดน ทรงนำสิ่งของที่น่าสนใจมากทีเดียวมาด้วย” 

 

 

“ยะ อย่างนั้นหรือขอรับ” 

 

 

เยฮึงยิ้มให้และจงใจทำเป็นไม่รู้ ทว่าหนวดที่ติดอยู่บนริมฝีปากนั้นกลับมีการสั่นไหวเล็กน้อย 

 

 

“หนึ่งในข้าราชการท้องถิ่นที่ทุจริตมีผู้ที่เป็นหัวหน้าอยู่ด้วยนะ ไหนดูสิ หนังสือเล่มนั้น…” 

 

 

ในไม่ช้าหนังสือเล่มเล็กๆ ก็ออกมาปรากฏอยู่ภายในมือของซอดูที่ควานหาในหน้าอกด้วยสีหน้านิ่งเฉย จากนั้นพออ่านไปได้หนึ่งบรรทัด เยฮึงก็วางถ้วยชาลงดังปัง ราวกับว่าความสบายใจสุดท้ายได้หายไปจนหมดสิ้น 

 

 

“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มียศตำแหน่งและความมีเกียรติให้เสียอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านไปจัดการเองเถิดขอรับ ใต้เท้า!” 

 

 

ถ้าจะต้องให้ยัดเงินใส่มือของคนที่น่ารังเกียจเช่นนั้น สู้ไปลงนรกดีกว่า เยฮึงกัดฟันกรอด อีกด้านหนึ่งซอดูทำเพียงแค่ยักคิ้วให้หนึ่งที แล้วจึงเริ่มพูดกลอุบายถัดไปออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง 

 

 

“อืม แล้วก็ ไม่นานมานี้ข้าได้บังเอิญไปรู้จักกับพวกนักฆ่ากลุ่มหนึ่งมา เจ้าสงสัยไหมว่าพวกนั้นพูดว่าอะไรบ้าง” 

 

 

คราวนี้เขาถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออกเลยทีเดียว เดิมทีแล้วพวกนักฆ่าจะไม่ปริปากพูดต่อให้จะถูกตัดคอก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าซอดูจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วจึงรู้ว่าควรจะทำอย่างไรสินะ จริงๆ เลย ตอนนั้นน่าจะจัดการทุกอย่างให้สิ้นซาก 

 

 

ไม่ว่าจะรู้สึกเสียใจเรื่องในอดีตมากแค่ไหน แต่ตอนนี้จูเยฮึงพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว แม้ว่าในตอนนี้จะถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้วก็ตาม แต่หากความจริงที่ว่าเขาเป็นคนสั่งให้ซุ่มโจมตีองค์รัชทายาทกับพระชายาปูดออกมาล่ะก็ นอกจากชีวิตของตนเองแล้ว ชีวิตของวงศ์ตระกูลที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิดก็คงไม่รอดพ้นโทษตาย 

 

 

“ท่านมีความคิดจะให้ข้านำเงินที่ซ่อนไว้ออกมาได้อย่างไรกันขอรับ ใต้เท้าเองก็รู้มิใช่หรือขอรับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าได้มาต้องชำระคืนพร้อมกับดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นบุญคุณหรือศัตรูก็ตาม” 

 

 

“ถ้าเจ้าให้เงินแก่ข้า” 

 

 

เยฮึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนดูน่าสมเพช เขาพยายามรักษาความสุขุมเอาไว้ในขณะที่เจรจา แม้ในตอนแรกเขาจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสามารถเจรจาต่อรองได้ แต่ในเมื่อความปลอดภัยของครอบครัวอยู่ในมือของซอดู จึงจำเป็นที่จะต้องเลียแข้งเลียขาของเขา 

 

 

“ท่านจะสามารถรับรองความปลอดภัยของครอบครัวของข้าได้หรือไม่ขอรับ” 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว” 

 

 

อย่างไรก็ไม่มีวิธีหลบเลี่ยงอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ซ้ำยังต้องขอบใจเสียด้วยซ้ำที่คนที่มาหาคือซอดูมิใช่องค์รัชทายาท เยฮึงสั่นระริกด้วยความรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่ก็เปิดประตูห้องใต้ดินที่ซ่อนไว้ลึกใต้พื้น แล้วจึงนำทองคำที่เก็บซ่อนมิดชิดไว้ในนั้นออกมาให้เขา 

 

 

“เท่านี่ก็น่าจะเพียงพอนะขอรับ” 

 

 

เก็บไว้เยอะเลยนะเนี่ย ซอดูเอ่ยสั้นๆ พร้อมกับยิ้มแย้ม เยฮึงว่าจะเอาส่วนหนึ่งไปซ่อนก่อนที่เขาจะกลับไปเอาเกวียนมา แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ตระหนักได้ว่ามันคือความคิดที่ตื้นเขินจนเกินไป 

 

 

“เข้ามา!” 

 

 

ซอดูตะโกนออกไปข้างนอกด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย ในตอนนั้นเองเหล่าทหารถือดาบก็กรูกันเข้ามาจากข้างนอกที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกเหมือนว่ามีใครอยู่ บรรยากาศที่ตึงเครียดโดยฉับพลันทำให้เยฮึงตกใจกลัวก้าวถอยหลังด้วยความลังเล พร้อมกับมองซอดูสลับกันกับเหล่าทหาร 

 

 

“คะ คือว่า ท่านมหาเสนาบดี ท่านตกลงแล้วไม่ใช่หรือขอรับ!” 

 

 

“แน่นอนว่าข้าให้คำมั่นกับเจ้าแล้ว” 

 

 

ซอดูยกมุมปากขึ้นเบาๆ แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย เมื่อเขาอ้าแขนออกทั้งสองข้าง ชุดคลุมสีดำที่ทหารนำมาให้จึงถูกสวมเข้าไปในแขนนั้น ก่อนจะผูกปมอย่างประณีต 

 

 

“ข้าบอกแล้วไงว่าจะรับรองความปลอดภัยของครอบครัวเจ้าให้” 

 

 

เขายื่นมือขวาออกไปด้านข้างทั้งที่ยังคงจ้องเยฮึเขม็ง จากนั้นหนึ่งในทหารที่ยืนห้อมล้อมอยู่ก็เอาดาบของตนเองออกมาวางไว้บนมือของเขา คมมีดซึ่งเหวี่ยงเบาๆ ตัดผ่านอากาศเล็กน้อย เยฮึงไม่รู้ตัวเลยว่าฉี่รดกางเกงจนไหลลงไปถึงข้อเท้าแล้ว 

 

 

“ไม่สงสัยหน่อยหรือว่าพวกนักฆ่าที่ข้าได้ไปบังเอิญได้รู้จักปริปากพูดออกมาได้อย่างไรกัน” 

 

 

ไม่ ไม่สงสัย เพราะว่าพอจะรู้ได้คร่าวๆ แล้ว ทว่าเขากลับไม่สามารถพูดหรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้เลย ในขณะที่เยฮึงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่นั้น ซอดูก็พูดต่อเรื่อยๆ 

 

 

“ปลาใต้น้ำ ดังนั้นเขาจึงตายไปโดยที่ทรมานน้อยลงนิดหน่อยอย่างไรเล่า” 

 

 

“ตะ ตะ ใต้เท้า ฟะ ฟังข้าก่อน ไม่สิ ข้าทำผิดไปแล้วขอรับ ข้าทำผิดไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้น…!” 

 

 

“หุบปากเสีย” 

 

 

คำอ้อนวอนของเยฮึงที่รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายถูกขัดด้วยเสียงอันเยือกเย็น 

 

 

“ในโลกนี้มีอยู่หลายสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภรรยาของข้า ต่อจากนั้นคือลูกสาวทั้งสองคนและลูกชายทั้งสี่คนของข้า และถัดมาก็คือพระราชาอย่างไรเล่า ตอนนี้นอกจากเจ้าจะเข้ามายุ่งกับลูกสาวของข้าแล้ว ยังกระทำความผิดที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการกบฏอีกด้วย” 

 

 

ชิ้ง ซอดูแกว่งดาบอีกหนึ่งครั้ง แต่สิ่งที่ถูกเชือดในคราวนี้ไม่ใช่อากาศอันว่างเปล่า แต่ก่อนที่เยฮึงซึ่งกำลังเหม่อมองดูข้อเท้าของตนเองถูกแยกออกมาจากร่างกายจะทันได้ส่งเสียงร้องออกมา ทหารนายหนึ่งก็เข้ามายัดที่อุดปากใส่เข้าไปในปากของเขาเสียก่อน 

 

 

“อื้อ! อื้อออ!” 

 

 

ซอดูจะไม่เล็งอวัยวะสำคัญเป็นอันขาด เขาจะเชือนเยฮึงราวกับเนื้อสัตว์ด้วยวิธีอันแสนทรมานอย่างเชื่องช้าที่สุด ดาบถูกส่งกลับคืนไปยังทหารเหมือนเดิม หลังจากที่หัวของเยฮึงซึ่งคาบที่อุดปากที่เปื้อนเลือดอยู่ล้มตกลงไปบนกองเลือด 

 

 

“จัดการให้เรียบร้อยแล้วขนทองคำมาซะ” 

 

 

ซอดูสั่งการด้วยเสียงเบาก่อนจะออกจากประตูไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง ทิ้งไว้แต่เพียงชุดคลุมสีดำที่ชุ่มเลือดเท่านั้น การแก้แค้นให้มินอาที่ขี่หลังโฮจินเข้ามาพร้อมกับเลือดไหลอาบจบลงด้วยสิ่งนี้ ภรรยาของเขาขอให้ไว้ชีวิตหมอนี่อย่างน้อยสามวันและลงโทษด้วยการเชือนผิวหนังออกมาทีละนิด ซึ่งนั่นถือว่าเป็นการลงโทษที่ใจดีเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

“โชคดีนะ ถ้าภรรยาของข้ามาด้วย หัวของเจ้าก็อาจจะยังไม่หลุดออกจาบ่า” 

 

 

ซอดูพูดปลอบใจก่อนจะกระโดดพรวดขึ้นไปบนกำแพง ดวงจันทร์สีขาวในตอนกลางวันลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาเติมเต็มท้องนภาด้วยกันกับดวงอาทิตย์ 

 

 

 

 

 

* * *