ตอนที่ 543 เมืองซิ่งหัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

แม้เป็นช่างหลอมที่มากความสามารถ ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยสืบข่าวคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของช่างหลอมในดินแดนเทพมายามาก่อน

ในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ ทักษะการหลอมอุปกรณ์ของพวกเขาทรงพลังยิ่งกว่าทักษะการหลอมโอสถมาก นอกเหนือจากสมาคมช่างหลอมในเมืองซิ่งหัวจากภูมิภาคกลางก็ยังมีขุมกำลังที่เต็มไปด้วยช่างหลอมมากฝีมืออย่างเกาะวายุนิ่ง

ด้วยสาเหตุนี้ ศาสตร์การหลอมของพวกเขาจึงพัฒนาไปไกลกว่าศาสตร์การหลอมโอสถ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ความแข็งแกร่งของสมาคมช่างหลอมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และบัดนี้ก็มากพอที่จะทัดเทียมกับขุมกำลังอันดับต้น ๆ อย่างอารามโชติช่วงได้แล้ว

สมาคมช่างหลอมของพวกเขามักปลีกตัวอยู่เสมอและแทบไม่เข้าร่วมการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในดินแดน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาส่งจดหมายเชื้อเชิญช่างหลอมทรงพลังในดินแดนไปยังเมืองซิ่งหัวซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของสมาคมช่างหลอม แม้ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดกันแน่ มันก็น่าจะเป็นเพราะสมาคมช่างหลอมเผชิญกับปัญหาอุปสรรคบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้

ฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์และความจริงข้อนี้คงจะเป็นที่รู้กันทั่วดินแดนแล้ว นางเชื่อว่าเป็นเพราะสมาคมช่างหลอมได้รับข่าวเรื่องนี้ พวกเขาจึงส่งจดหมายเชิญมาถึงนาง

“ท่านผู้นำ คาดว่าสมาคมช่างหลอมคงจะเผชิญกับปัญหาบางอย่างที่พวกเขาแก้เองไม่ได้ พวกเขาจึงส่งจดหมายเชิญมาเช่นนี้ ระหว่างช่วงนี้ พวกนิกายหงส์มังกรคงไม่มีเวลามาสนใจหาเรื่องพวกเรามากนัก ครานี้ท่านสามารถเดินทางไปที่นั่นได้”

ซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาคิดว่าการเดินทางไปครานี้ของฉินอวี้โม่ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อย หากสามารถถือโอกาสนี้ผูกมิตรไมตรีกับสมาคมช่างหลอมได้ มันก็จะเป็นผลดีต่อดินแดนทางเหนือของพวกเขา

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ตั้งแต่ได้อ่านจดหมายเชิญฉบับนี้ นางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง และนั่นไม่เกี่ยวว่านางจะผูกมิตรกับสมาคมช่างหลอมได้หรือไม่ เพียงแต่ในเมื่อพวกเขาส่งจดหมายเชิญมาถึงที่เช่นนี้ นางก็ควรเดินทางไปเข้าร่วมเพื่อรับชมเรื่องสนุก ๆ และน่าสนใจ

“ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนจะถึงวันที่กำหนด และจากที่นี่ไปถึงเมืองซิ่งหัวก็ต้องใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งเดือน หากคำนวณจากเวลาแล้ว ท่านก็ควรออกเดินทางในไม่กี่วันข้างหน้านี้เพื่อมิให้เวลากระชั้นชิดเกินไป”

จากการคำนวณเวลา แม้ว่าจะยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งเดือน ทว่าแท้จริงแล้วมันก็ไม่ถือว่าเป็นเวลาที่นานนัก เพราะเพียงแค่การเดินทางก็จะต้องใช้เวลาที่นานพอสมควร

“ช่วงนี้ดินแดนทางเหนือของเราไม่มีเรื่องวุ่นวายใด ๆ ในเมื่อมีท่านฉินเฟิงอยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็ถูกดำเนินไปตามลำดับขั้นตอน หากท่านผู้นำต้องการจัดการธุระอะไร โปรดเชิญได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา”

ฮั่วชิงซานยิ้มบาง ๆ และกล่าวออกไป

ตอนนี้เขายอมรับในตัวฉินเฟิงโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการจัดการสิ่งต่าง ๆ หรือพลังความแข็งแกร่ง ฉินเฟิงผู้นี้ล้วนเหนือกว่าเขาทุกประการ

ระหว่างช่วงนี้ ดินแดนทางเหนือผนึกกำลังโดยสมบูรณ์และความแข็งแกร่งโดยรวมก็พัฒนาขึ้นมาก ประสบการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งกว่าที่เคย และเวลานี้ดินแดนทางเหนือก็พัฒนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ใช่แล้ว ตอนนี้ท่านก็มีท่านจอมยุทธ์หานโม่ฉือที่คอยปกป้องอยู่ เราไม่จำเป็นต้องส่งใครติดตามท่านไปที่นั่น ท่านเดินทางไปที่เมืองซิ่งหัวและจัดการตามที่ท่านเห็นว่าเหมาะสมเถอะ ส่วนเรื่องของดินแดนทางเหนือ ท่านวางใจได้ พวกเราจะจัดการเอง”

อู่หลิวเฟิงกล่าวเสริมเช่นกัน เขาได้ยินเรื่องราวระหว่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาก่อนและทราบดีว่าเส้นทางที่ทั้งสองต้องเผชิญมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจและเสนอเช่นนี้เพื่อให้ทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่ปฏิเสธ ข้าวางใจได้หากมีพวกท่านเป็นผู้คอยดูแลดินแดนทางเหนือ ทว่าหากข้าไปจากดินแดนทางเหนือในครานี้ ข้าก็มิอาจรู้ได้เลยว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อใด มีบางอย่างที่ข้าอยากจะบอกทุกคนก่อนไป…”

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองอยู่พักใหญ่และตัดสินใจบอกบางอย่างกับคนเหล่านี้ที่นางไว้วางใจ ถึงอย่างไรแล้วหากไปจากดินแดนทางเหนือในครานี้ นางอาจต้องเดินทางไปอีกหลายแห่ง

ไม่ว่าจะเป็นนครล่าฝัน ตระกูลหานและสถานที่ที่ถูกระบุอยู่ในแผนที่ลึกลับ นางมิอาจทราบได้เลยว่าจะได้กลับมาที่ดินแดนทางเหนืออีกครั้งเมื่อใด เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องบอกความจริงกับอู่หลิวเฟิงและคนอื่น ๆ ไว้ก่อนเพื่อให้พวกเขาเตรียมตัวรับมือ

ภายในห้องโถงประชุม ฉินอวี้โม่ก็เล่าความจริงให้อู่หลิวเฟิงและคนอื่น ๆ ได้ทราบเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของนางและจุดประสงค์ของการมาที่นี่

แน่นอนว่าอู่หลิวเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงเมื่อทราบว่าผู้นำขุมกำลังของตนแท้จริงแล้วคือเทพมายาคนใหม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาตกใจเพียงไม่นานและไม่คิดสิ่งใดอีก

ในเมื่อพวกเขาเลือกจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว พวกเขาก็จะจงรักภักดีต่อนางไม่ว่าตัวตนของนางคือผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทราบสถานการณ์ของดินแดนเทพมายาเป็นอย่างดี แทนที่จะต้องกล้ำกลืนฝืนทนและอยู่ใต้อำนาจของขุมกำลังที่พวกเขาไม่ชื่นชม การติดตามผู้ที่พวกเขาเชื่อมั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าชัยชนะสุดท้ายจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะมีความสุขและเป็นอิสระอยู่เสมอ

“ท่านผู้นำ ไม่ว่าท่านจะเป็นเทพมายาหรือเป็นใคร หากท่านเชื่อมั่นในตัวพวกเราและปฏิบัติต่อเราอย่างดีดั่งมิตรสหายร่วมทาง เราก็จะไม่มีวันทรยศความเชื่อใจของท่านอย่างแน่นอน เชิญท่านจัดการธุระด้วยใจที่สงบเถิด พวกเราจะปกป้องดินแดนทางเหนือให้ปลอดภัยและพัฒนาให้มันแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด เมื่อถึงเวลาที่ท่านผู้นำต้องการ มันจะกลายเป็นดั่งอาวุธแหลมคมที่ทิ่มแทงทะลุหัวใจของศัตรู”

อู่ถงยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น วาจาของเขาถือเป็นตัวแทนของทุกคนในที่นี้

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและหนักแน่นของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หลังจากเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองซิ่งหัวทันที

ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและฉู่เจี๋ยทั้งสามคนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางอย่างไม่รีบร้อนจนเกินไป

ทว่าเมื่อออกจากอาณาเขตของดินแดนทางเหนือได้เพียงไม่นาน จู่ ๆ ฉู่เจี๋ยก็กล่าวร่ำลาทั้งสองและต้องการแยกทางออกไป

“พี่อวี้โม่ พี่เขยโม่ฉือ ครานี้ข้าคงจะไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับพวกท่าน ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ข้าก็ยังไม่ได้บอกกับบิดามารดา ครอบครัวและเหล่าสหายที่ดีกับข้าถึงความเป็นอยู่ของข้าในตอนนี้และไม่ให้พวกเขาต้องเป็นกังวลอีกต่อไป ตอนที่เราออกเดินทางก่อนหน้านี้ เราก็ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับพวกเขามาบ้างแล้ว ตอนนี้ข้าจึงจะขอแยกไปที่ดินแดนทางใต้ก่อนเพื่อตามหาครอบครัวของข้าและบรรดาสหายจากดินแดนอ้างว้าง พวกเราจะพบกันใหม่เมื่อมีโอกาสในอนาคต”

ตอนนี้เขามีพลังความแข็งแกร่งในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นแล้วและถือว่าไม่อ่อนแออีกต่อไป หากเขาเดินทางไปที่ดินแดนทางใต้เพียงลำพัง เขาก็จะไม่เผชิญภยันตรายใด ๆ การตัดสินใจครานี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ทว่าฉู่เจี๋ยเพียงต้องการเดินทางสั่งสมประสบการณ์เพียงลำพัง

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นเจ้าก็จงระวังตัวด้วยล่ะ หลังจากที่เจ้าไปถึง อย่าลืมแจ้งท่านพ่อของข้าและเสี่ยวเหยียนว่าพวกเราปลอดภัยดี ข้าจะไปหาพวกเขาหลังจัดการเรื่องของสมาคมช่างหลอมเสร็จสิ้น”

ฉินอวี้โม่ไม่คัดค้านการตัดสินใจของบุรุษหนุ่มแต่อย่างใดและนางเข้าใจความคิดของฉู่เจี๋ยเป็นอย่างดี ตัวนางเองก็ต้องการเดินทางไปพบบิดาเช่นกัน เพียงแต่มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่มีความรู้สึกอยู่เลือนลางว่าบิดาของตนจะเดินทางไปที่เมืองซิ่งหัวเพื่อเข้าร่วมงานรวมพลครั้งนี้เช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น บิดาและบุตรสาวจะได้พบกันเสียที

“เข้าใจแล้ว ไว้พบกันใหม่”

ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะตอบรับอย่างว่าง่าย

“พี่เขยโม่ฉือ ข้าขอฝากท่านดูแลพี่อวี้โม่ อ้ายฉือและอ้ายโม่ด้วย”

ในช่วงที่ผ่านมานี้ ฉู่เจี๋ยรับหน้าที่ดูแลเด็กน้อยทั้งสองมาโดยตลอด เขาจึงรู้สึกผูกพันกับเด็กทั้งสองอย่างยิ่ง บัดนี้เมื่อต้องแยกจากกันโดยไม่ทราบว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด หัวใจของเขาก็รู้สึกเศร้าสร้อยไม่น้อย

“แน่นอน”

หานโม่ฉือเพียงพยักศีรษะเบา ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดมากนัก

จากนั้นฉู่เจี๋ยก็มุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของดินแดนทางใต้ทันทีโดยไม่เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อบอกลาเด็กน้อยทั้งสอง จากจุดนี้ไปถึงดินแดนทางใต้จะต้องใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่าครึ่งปี ระหว่างการเดินทางที่ยาวนานเช่นนี้ก็จะต้องมีอุปสรรคขวากหนามพอสมควรและฉู่เจี๋ยจะได้ถือโอกาสนี้ในการสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ

แท้ที่จริงฉินอวี้โม่รู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่ายามหลับใหลยาวนานหรือว่าเมื่อฟื้นขึ้นมา ฉู่เจี๋ยก็มักใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว บัดนี้เมื่อเขาแยกจากไปอย่างกะทันหัน นางจึงยังไม่ชินกับความรู้สึกนั้น

“อีกไม่นานเราก็จะได้พบกันอีกครั้ง”

หานโม่ฉือจับมือบางของฉินอวี้โม่และกล่าวปลอบประโลมนาง

แน่นอนว่าเขาเข้าใจความคิดความรู้สึกของโม่เอ๋อร์ดีกว่าใคร เมื่อได้รับการยอมรับจากนางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหาย ญาติมิตรหรือผู้ร่วมทาง นางก็ย่อมปฏิบัติกับคนเหล่านั้นด้วยความจริงใจ เพราะเหตุนั้น ทุกคราที่ต้องแยกจากกัน นางจึงรู้สึกไม่เต็มใจนัก

ฉินอวี้โม่เข้าใจทุกอย่างดี นางเพียงทอดถอนหายใจเบา ๆ และสีหน้ากลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวตลอด บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นเมื่อได้อยู่กับบุตรน้อยทั้งสองและโลกที่มีกันและกัน

ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือในตอนนี้แท้จริงแล้วยังมิใช่ขอบเขตนภาเซียนเสียทีเดียว ทว่าเป็นนภาเซียนครึ่งก้าว อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เข้าสู่ขอบเขตนภาเซียนครึ่งก้าวได้ มันก็ถือว่าเข้าใกล้ขอบเขตนภาเซียนเต็มที อีกไม่นานเขาก็จะพัฒนาเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนได้อย่างเต็มตัวและความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง

และจากการที่ฉินอวี้โม่ได้ทำพันธสัญญากับอสูรพสุธาเซียนขั้นสูงสุดทั้งสองตัว พลังของนางก็พัฒนาขึ้นไปในระดับสูงสุดของขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นก่อนที่จะบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางได้ในทันที

ในระหว่างการเดินทางนี้ ทั้งสองก็ไม่ได้มุ่งเน้นกับการฝึกยุทธ์นัก ทว่าใช้เวลาว่างไปกับการปรับสภาวะพลังในปัจจุบันให้เสถียรและมั่นคงมากขึ้น

หลังจากเวลาครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดเมืองซิ่งหัวก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า

เมืองซิ่งหัวถือเป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่มาก ทว่าเนื่องจากมีช่างหลอมอยู่เป็นจำนวนมาก ตัวเมืองจึงดูไม่เก่าแก่หรือทรุดโทรมเลยสักนิด เดิมทีภายในเมืองซิ่งหัวแห่งนี้เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาอยู่แล้ว ทว่าด้วยการจัดงานรวมพลช่างหลอม มันจึงคึกคักและมีผู้คนมากมายกว่าปกติ

ผู้คนมากมายจากหลายขุมกำลังในดินแดนก็ถือโอกาสนี้ส่งคนมาที่เมืองซิ่งหัวด้วยหวังว่าจะได้ผูกมิตรไมตรีกับสมาคมช่างหลอมที่โด่งดัง ช่างหลอมหลายคนจากทั่วทุกสารทิศก็ได้รับจดหมายเชิญจากทางสมาคมและเดินทางมาที่นี่เช่นกัน ทุกคนต่างก็ต้องการมาเห็นด้วยตาตัวเองว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่

แม้แต่ขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนก็ส่งตัวแทนมาที่เมืองซิ่งหัวเช่นกัน

ในเวลานี้หน้าประตูเมือง ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์และสวมหน้ากากสีเงินซึ่งดูลึกลับและผิดแปลกโดดเด่นจากผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งสองสวมอาภรณ์บุรุษโดยที่ฉินอวี้โม่ปิดบังบริเวณลูกกระเดือกของตนไว้ได้อย่างแนบเนียนและชาญฉลาด แม้รูปร่างของนางดูบอบบางกว่าบุรุษทั่วไปก็ไม่มีผู้ใดบอกได้ว่านางเป็นสตรี

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่สามารถระบุได้ว่านางเป็นสตรีและไม่เห็นรูปลักษณ์ใบหน้าภายใต้หน้ากากของทั้งสอง แต่การปรากฏตัวของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ยังดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากอยู่ดี

กลิ่นอายที่แผ่มาจากทั้งสองโดดเด่นและแตกต่างจากผู้อื่นอย่างชัดเจน เพียงอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ‘สองบุรุษชุดขาว’ ก็สะดุดตาชวนมองอย่างยิ่ง และลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากจะซ่อนเร้นได้

“สองคนนั้นเป็นใครกัน ?”

สตรีนางหนึ่งมองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือขณะกระซิบกระซาบกับสหายข้างกาย

“ข้าก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนจะมิใช่บุคคลธรรมดาเลย”

สหายของนางกล่าวตอบเสียงเบาขณะสายตาจับจ้องไปที่บุรุษชุดขาวทั้งคู่ด้วยความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับใบหน้าที่ซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากนั้น

“แปดในสิบส่วนของคนที่สวมหน้ากากล้วนขี้ริ้วขี้เหร่กันทั้งนั้น คงจะอับอายจนไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าของตนเอง”

อย่างไรก็ตาม บุรุษคนหนึ่งยิ้มเย้ยและกล่าวด้วยวาจาถากถางเสียดสี

“เหอะ เจ้าก็แค่อิจฉา ด้วยกลิ่นอายและลักษณะท่าทางที่โดดเด่นเช่นนี้ พวกเขาจะขี้เหร่ได้อย่างไร ? ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องรูปงามและเหนือธรรมชาติมากแน่ ๆ ขอเพียงได้เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นสักครา ข้าจะพอใจอย่างยิ่ง”

แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ไม่คล้อยตามและกล่าวค้านวาจาของคนผู้นั้น สตรีหลายนางยังคงหลงใหลไปตามความคิดของตน

แม้รับรู้สายตาสงสัยใคร่รู้ของผู้คนรอบตัว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดรอบตัวขณะเดินตรงเข้าไปในตัวเมืองอย่างไม่รีรอ

.