ตอนที่ 544 สาเหตุของการเรียกรวมตัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่อย่างสบาย ๆ และเมินเฉยต่อสายตาของทุกคนรอบตัว แม้ฉินอวี้โม่จะพยายามดึงมือกลับ ทว่ามันก็ไม่เป็นผล นางเพียงมองบุรุษข้างกายอย่างจนปัญญาและเห็นประกายความเจ้าเล่ห์ในแววตาของเขา

“เจ้า…”

เมื่อคาดเดาถึงความคิดของหานโม่ฉือได้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อและปล่อยให้เขาจับมือตนเองจูงเดินไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

แน่นอนว่าหลายคนที่กำลังเฝ้าสังเกตดูทั้งสองย่อมเห็นท่าทาง ‘ใกล้ชิด’ ของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้อย่างชัดเจน เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายของบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่าง ‘บุรุษทั้งสอง’ พวกเขาเหล่านั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย

“บุรุษที่ดูโดดเด่นทั้งสองมีความชอบที่แปลกเช่นนี้… มันช่าง…”

ใครคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงเบาทว่าไม่สามารถสรรหาคำบรรยายได้เลย อันที่จริง ‘ความชอบ’ ที่เฉพาะเจาะจงนี้มิใช่เรื่องใหญ่โต อย่างไรก็ตาม มันก็ค่อนข้างขัดต่อหลักสามัญสำนึกทั่วไปและยากที่จะยอมรับได้ในตอนนี้

“อะไรกัน ? แม้ว่ามันจะไม่ปกติเท่าไหร่นัก ทว่าเมื่อดูจากลักษณะของทั้งสองและนึกถึงรูปลักษณ์ความงามของพวกเขา มันก็มิใช่เรื่องใหญ่หรอก”

สตรีบางนางสนใจและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของทั้งสองมากกว่าและต้องการเห็นว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากสีเงินนั้นจะเป็นเช่นไร

ทว่าก็มีสตรีมากมายหลายคนมากกว่านั้นที่รู้สึกเสียดายกับ ‘ความชอบ’ ของบุรุษหนุ่มรูปงามทั้งสองคน

..…

เสียงหารือกระซิบกระซาบยังคงดำเนินไประยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพิ่งมาถึงเมืองซิ่งหัวเท่านั้นทว่าสร้างความปั่นป่วนได้มากเช่นนี้แล้ว

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่แยแสคำกล่าวกระซิบกระซาบรอบตัวแม้แต่น้อย ทั้งสองเพียงเดินตรงไปที่โต๊ะของโรงเตี๊ยมและถามหาห้องว่าง

เสี่ยวเอ้อไม่ประหลาดใจกับท่าทางของคนทั้งสองและเปิดห้องพักให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างรวดเร็ว

โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นอาคารสองชั้น มันไม่หรูหรางดงามมากนักทว่าเป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซิ่งหัว ก่อนเดินทางมาที่นี่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ทำการสืบข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองนี้ไว้ก่อนแล้วพวกนางจึงทราบว่าควรสืบหาข้อมูลจากที่ไหน ควรพักอยู่ที่ไหนหรือรับประทานอาหารจากที่ใด อีกทั้งนางก็ยังได้สืบทราบอีกว่าขุมกำลังในเมืองซิ่งหัวเป็นอย่างไรและมีจอมยุทธ์มากฝีมือคนใดบ้าง

โรงเตี๊ยมซิ่งหัวแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองและยังเป็นสถานที่ที่สืบหาข้อมูลข่าวสารได้มากที่สุด เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงเลือกพักที่นี่โดยไม่ลังเลเพื่อที่จะได้สืบหาข่าวสารที่ต้องการทราบ

เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืน ทั้งสองก็เดินลงไปชั้นล่างและหาที่นั่งเหมาะสมเพื่อถามหาข้อมูลต่าง ๆ

เสี่ยวเอ้อนำสิ่งของมาให้ทั้งสองและกำลังจะเดินจากไปทว่าถูกเอ่ยเรียกโดยฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเสียก่อน

“เสี่ยวเอ้อ พวกเราขอถามอะไรหน่อยจะได้รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมหยิบหินผลึกจำนวนมากออกมายื่นให้กับเสี่ยวเอ้อ

เมื่อเห็นหินผลึกมากมายตรงหน้า เสี่ยวเอ้อก็ยิ้มกว้างทันที เขาหยุดยืนใกล้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งสองถามสิ่งที่ต้องการทราบมาได้เลยขอรับ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะไม่รู้เกี่ยวกับเมืองซิ่งหัวแห่งนี้”

เนื่องจากเป็นเวลาเช้าตรู่ ที่นี่จึงยังมีผู้คนไม่มากนักและเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ยุ่งมากนักเช่นกัน รวมทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มีท่าทางเป็นมิตรจึงทำให้เขาประทับใจไม่น้อย แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่รังเกียจที่จะตอบคำถามที่แขกทั้งสองต้องการทราบ

“เสี่ยวเอ้อ เจ้าทราบรึไม่ว่าเหตุใดครานี้สมาคมช่างหลอมจึงส่งจดหมายเชิญเพื่อให้ช่างหลอมระดับสูงทั่วทั้งดินแดนมารวมตัวกันที่นี่ ?”

ฉินอวี้โม่ไม่อ้อมค้อมและกล่าวตรงเข้าประเด็นเพื่อถามสิ่งที่สงสัยมากที่สุดในทันที

เมื่อได้ยินคำถามตรงไปตรงมาของฉินอวี้โม่ เสี่ยวเอ้อก็ยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวตอบ “ท่านจอมยุทธ์ถามถูกคนแล้วขอรับ”

เขายิ้มและบอกข้อมูลทั้งหมดที่มีให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ทราบ

สมาคมช่างหลอมมักปลีกตัวอยู่เสมอและแทบไม่เข้าร่วมการต่อสู้ของขุมกำลังใด ๆ ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ สมาคมช่างหลอมก็ได้รับจดหมายท้าดวลที่ลึกลับ

เนื้อหาในจดหมายท้าดวลดังกล่าวทำให้หลายคนโกรธเกรี้ยวไม่พอใจอย่างมากและมันก็ดึงดูดความสนใจของสมาคมช่างหลอมได้อยู่หมัด

พวกเขาต้องการท้าดวลกับสมาคมช่างหลอมในวันครบรอบการก่อตั้งของสมาคม หากไม่มีผู้ใดในสมาคมช่างหลอมที่เอาชนะพวกเขาได้ สมาคมก็จะต้องเปลี่ยนผู้นำหรือไม่ก็ถูกยุบตัวไป และหากไม่มีช่างหลอมคนใดในดินแดนที่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ทางสมาคมก็จะต้องตอบตกลงต่อเงื่อนไขบางอย่างของพวกเขา

หากเป็นประเด็นแรกมันก็คงจะเกี่ยวข้องกับสมาคมช่างหลอมเพียงเท่านั้น ทว่าปัญหาก็คือว่าประเด็นหลังที่พวกเขาเหล่านั้นกล่าวมาเกี่ยวข้องกับคนทั้งดินแดนเทพมายา หากกล้าท้าดวลอย่างเปิดเผยเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นมั่นใจว่าจะเอาชนะช่างหลอมอันดับต้น ๆ จากทั้งดินแดนได้

หากคนเหล่านั้นคว้าชัยไปครอง สมาคมช่างหลอมก็จะต้องจำนนต่อเงื่อนไขหลายประการของพวกเขาและนั่นไม่ต่างจากการตบใบหน้าคนทั้งดินแดนเทพมายาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดต้องการให้เกิดขึ้น

เพื่อความปลอดภัยและเพิ่มโอกาสในชัยชนะ สมาคมช่างหลอมจึงส่งจดหมายเชิญช่างหลอมระดับสูงจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมาเข้าร่วมงานครานี้ในเมืองซิ่งหัวและจะได้รับมือกับผู้ที่ส่งจดหมายท้าดวลนั้นด้วยกัน

คำอธิบายของเสี่ยวเอ้อทำให้ฉินอวี้โม่เข้าใจขึ้นมากและพอจะคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้พอสมควร

“แล้วสมาคมช่างหลอมมั่นใจได้อย่างไรว่าจดหมายท้าดวลนั่นมิใช่เป็นเพียงการกลั่นแกล้งเพื่อเล่นสนุกเท่านั้น ?”

หานโม่ฉือกล่าวประเด็นที่เขาสงสัยและจ้องมองไปที่เสี่ยวเอ้อเพื่อรอฟังคำอธิบาย

“ท่านจอมยุทธ์ขอรับ มันเป็นเพราะว่าจดหมายท้าดวลฉบับนั้นมีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าซ่อนเร้นอยู่ในนั้น แน่นอนว่ามันปลอมแปลงไม่ได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มันเป็นของปลอม สมาคมช่างหลอมก็สามารถถือโอกาสนี้เชิญช่างหลอมทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่เพื่อทดสอบระดับความแข็งแกร่งของช่างหลอมแต่ละคนในดินแดน เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจดหมายฉบับนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ พวกเขาก็ต้องการเชิญให้ช่างหลอมทั้งหมดมาที่นี่อยู่ดี”

คำถามตรงไปตรงมาของหานโม่ฉือมิได้ทำให้เสี่ยวเอ้อขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เด็กหนุ่มรู้สึกชื่นชมในความตรงไปตรงมาของแขกทั้งสองอย่างยิ่ง

“ในช่วงที่ผ่านมานี้มีผู้ใดมาถึงที่นี่แล้วบ้าง ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยต่อไป สำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้ นางเชื่อว่าขุมกำลังทั้งหลายคงไม่พลาดที่จะส่งตัวแทนมาที่นี่อย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ อารามโชติช่วง วิหารทมิฬและนิกายหงส์มังกรมาถึงแล้วขอรับ นครล่าฝันและเรือนกระจกน้ำแข็งก็ส่งตัวแทนมาเช่นกัน แม้แต่ขุมกำลังเล็ก ๆ หลายแห่งก็ส่งคนมาแล้ว สมาคมช่างหลอมถือเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน แน่นอนว่าไม่มีใครอยากพลาดโอกาสที่จะผูกมิตรกับพวกเขา”

เสี่ยวเอ้ออยู่ในโรงเตี๊ยมซิ่งหัวแห่งนี้มานานและมีความรู้กว้างขวางรอบด้านทีเดียว เมื่อได้ยินคำถาม เขาจึงยิ้มและกล่าวตอบโดยไม่ลังเล

“ข้าได้ยินว่ามีบุรุษนามว่าฉินหยางจากนครล่าฝันมาที่นี่ด้วยในครานี้ เขาก็เป็นช่างหลอมที่มากฝีมือคนหนึ่ง เรือนกระจกน้ำแข็งก็ส่งตัวแทนเป็นผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์นามว่าฉินเฟยมาที่นี่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งสองมิได้พักที่โรงเตี๊ยมของเรา ข้าจึงไม่เคยพบพวกเขา”

เสี่ยวเอ้อกล่าวเสริมอีกเล็กน้อยทว่ามันเป็นข้อมูลที่ฉินอวี้โม่สนใจเป็นที่สุด หากมิใช่เพราะนางไม่รู้จักเด็กหนุ่มเป็นการส่วนตัว นางคงคิดไปแล้วว่าเขาจงใจบอกข่าวเรื่องนี้ให้กับนางโดยเฉพาะ

“แล้วตัวแทนจากอารามโชติช่วงคือผู้ใดรึ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอีกครั้ง ไม่รู้ว่าครานี้นางจะได้พบ ‘คนรู้จัก’ มากมายเพียงใด

“อารามโชติช่วงคงจะส่งโอรสศักดิ์สิทธิ์นามว่าเซิ่งเซียวมาขอรับ และกล่าวกันว่าตัวแทนจากนิกายหงส์มังกรมีนามว่าหลงเถิง ท่านทั้งสองน่าจะได้ยินมาบ้างแล้วว่าสองขุมกำลังนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด ทว่าเมื่อไม่นานมานี้พวกเขากลับมีเรื่องบาดหมางกัน หากท่านทั้งสองพบกับพวกเขา ทางที่ดีก็ควรอยู่ห่างไว้จะดีกว่าขอรับ”

เด็กหนุ่มไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวเตือนทั้งสองอย่างจริงใจ ทว่าเมื่อสัมผัสถึงคลื่นพลังจากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เขาก็รู้สึกได้ว่าคำเตือนดังกล่าวคงไม่จำเป็น หากอารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกรหาเรื่องจอมยุทธ์สองคนนี้ อาจเป็นพวกเขาเหล่านั้นที่ต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายเสียเอง

“สำหรับวิหารทมิฬ นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ นครเวหาและนครหมื่นอสูร ดูเหมือนว่าตัวแทนจากขุมกำลังเหล่านั้นจะยังมาไม่ถึง ข้าจึงไม่ทราบว่าพวกเขาส่งใครมา อย่างไรก็ตาม ครานี้เมืองของเราครึกครื้นยิ่งนักและน่าจะมีคนระดับสูงจากขุมกำลังเหล่านั้นมาเป็นแน่”

เสี่ยวเอ้อยิ้มและกล่าวโดยไม่ปิดบังสิ่งใด

“เอาล่ะ ขอบใจมากเสี่ยวเอ้อที่บอกพวกเราตามตรง”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ในเมื่อทราบข้อมูลโดยรวมพอสมควรแล้ว นางและหานโม่ฉือจะได้พิจารณาไตร่ตรองแผนการขั้นต่อไป

“โอ้ จริงสิ ! ครานี้เหมือนจะมีคนจากตระกูลลับมาที่นี่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ข้าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลลับเหล่านั้นจึงไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากที่ใด”

เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เสี่ยวเอ้อก็ไม่รอช้าและกล่าวเสริมทันที

บรรดาตระกูลลับเหล่านี้ถือว่าเป็นตระกูลเก่าแก่โบราณของดินแดนมายาและถือได้ว่าลึกลับยิ่งกว่าขุมกำลังใหญ่จากภูมิภาคกลางเสียอีก เขาก็เพียงบังเอิญได้ยินเรื่องนี้มาจากคนอื่นเท่านั้นและไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดนัก

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสบตาอย่างรู้กันทันทีที่ได้ยินว่ามีคนจากตระกูลลับมาเข้าร่วมงานครานี้

บางทีครานี้ทั้งสองอาจได้ติดต่อกับคนจากตระกูลหานเร็วกว่าที่คิด และจะได้ทราบถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลหาน

“หากท่านทั้งสองต้องการสิ่งใด เรียกใช้ข้าได้เลยขอรับ ตอนนี้เริ่มมีแขกมาแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน”

เนื่องจากเวลาล่วงเลยมาพอสมควร เวลานี้จึงมีแขกเพิ่มมากขึ้น เสี่ยวเอ้อจึงยิ้มและกล่าวลาอย่างสุภาพ

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่รั้งตัวเด็กหนุ่มไว้และปล่อยให้เขาไปทำงานของตน

“โอ้ ข้าได้ข่าวว่าจะมีงานประมูลครั้งใหญ่ที่โรงประมูลในวันนี้และจะมีวัสดุสิ่งหลอมดี ๆ หลากหลายอย่าง หากท่านทั้งสองสนใจ เชิญไปดูด้วยตัวเองได้เลยขอรับ ท่านอาจได้ของดีจากในงานประมูลก็เป็นได้”

เสี่ยวเอ้อกล่าวทิ้งท้ายก่อนกลับไปทำหน้าที่ของตน

ทั้งสองไม่รีบร้อนไปที่โรงประมูลทว่าอยู่ต่อเพื่อรับประทานอาหารเช้าอย่างสบายๆ

“โม่ฉือ เจ้ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลหานมากเพียงใด ?”

ขณะรับประทานอาหาร ฉินอวี้โม่ก็มองหานโม่ฉือและเอ่ยถามด้วยความสงสัย

หานโม่ฉือเพียงส่ายศีรษะเบา ๆ นอกเหนือจากเรื่องราวที่บิดาบุญธรรมได้บอกไว้ เขาก็ไม่ทราบข้อมูลใดเกี่ยวกับตระกูลหานแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ต่อให้เขาไม่ทราบสิ่งใดเลย เขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะไปที่ตระกูลหานให้จงได้ ถึงอย่างไรก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จะได้คำตอบก็ต่อเมื่อไปที่นั่นด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ต้องไขปริศนาเรื่องบิดามารดาของตนเองให้ได้

“หากมีตัวแทนจากตระกูลหานมาเข้าร่วมงานครานี้ เราจะได้ถือโอกาสสืบข้อมูลเสียเลย หากเสี่ยวโร่วมาด้วย เราจะได้ขอให้นางช่วยสืบข่าวเรื่องนี้อีกแรง เมื่อจบเรื่องที่นี่ เราจะไปที่ตระกูลหานเป็นอันดับแรก”

ฉินอวี้โม่เขย่ามือหานโม่ฉือเบา ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“แน่นอนขอรับ ข้าจะทำตามคำสั่งของนายหญิง”

หานโม่ฉือพยักศีรษะและกล่าวติดตลก

เมื่อได้ยินวาจาของบุรุษคนรัก ฉินอวี้โม่ก็อดหัวเราะไม่ได้และบรรยากาศระหว่างทั้งสองก็เริ่มอบอุ่นใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้คนโดยรอบก็มองดู ‘บุรุษ’ ลึกลับทั้งสองด้วยแววตาประหลาดอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดและทำได้เพียงกระซิบกระซาบกันเบา ๆ

หลังจากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น ทั้งสองก็ลุกขึ้นและมุ่งหน้าตรงไปยังโรงประมูลตามคำบอกเล่าของเสี่ยวเอ้อ

.