บทที่ 70 จูบแย่ๆ (1)

อี้เป่ยซีรีบกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของตัวเองแล้วล็อคประตูทันที

“เอ๋ เธอออกไปกับพี่ใหญ่จื่อหานไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอถึงกลับมาคนเดียวล่ะ?”

เธอทำลมหายใจให้เป็นปกติ เอ่ยปากสบายๆ “เขามีธุระกลับไปแล้ว”

“ฉู่เซี่ย ทำไมเธอหน้าแดงแบบนั้น? ปากเป็นอะไรไป? เหมือนมันบวมเลย”

เธอกัดปาก บ่นแล้วมองฉู่ซ่ง “สังเกตละเอียดขนาดนั้นทำไมไม่ไปเป็นนักสืบล่ะ”

“ฉันก็เคยคิดนะ แต่น่าเสียดาย มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันสนใจที่สุด”

“พูดมาก ฉันกลับห้องแล้ว นายเก็บของแล้วรีบไปซะ”

“เธอนี่นะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”

“เด็กดี อย่าพูดสำนวนส่งเดช อย่างฉันน่ะลับมีดเร็วรี่ปรี่หาหมูแพะเพื่อฆ่าต่างหากเล่า ถอยไปๆ ฉันจะกลับพักผ่อน”

ฉู่ซ่งมองแผ่นหลังของเธอที่เดินเข้าไปข้างใน เอ่ยปากขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันได “ฉู่เซี่ย ไม่ใช่ว่าหลับไปแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้จะกลายเป็นความฝันนะ โตป่านนี้แล้ว เธอควรจะคิดว่าจะเผชิญหน้ายังไง ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย คิดแต่จะหนีอย่างเดียว คิดจะรักษาสภาพที่เป็นอยู่”

อี้เป่ยซีจับราวบันได ทำอย่างไรก็ก้าวเท้าไม่ออก ฉู่ซ่งเดินมาข้างเธอ

“นึกว่าผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว เธอจะพัฒนากว่านี้”

“ฉัน…”

“เจ้าเต่าน้อย เธอไปแอบเถอะ ถึงยังไงก็ไม่มีคนบังคับเธอ จะให้ฉันซื้อทรายให้ด้วยไหม?” ฉู่ซ่งผลักเธอ “เหนื่อยแล้วขึ้นไปพักผ่อนเถอะ ไปสิ ไปสิ เอนตัวหลับตาสบายจะตาย ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ฉันจะไม่บอกลั่วจื่อหานแล้วก็จะไม่บอกอี้เป่ยเฉินหรอก แบบนี้โอเคแล้วมั้ง”

อี้เป่ยซียังคงหยุดยืน เธอมองดูมือของตัวเอง “บางทีฉันไม่อยากคิดอะไรชัดเจนขนาดนั้น ฉันจะรู้สึกเหนื่อยมาก ฉันนึกว่าจะเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างโง่ๆ ไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก หลับไปก็ลืม ก็เปลี่ยนไปแล้ว สิบกว่าปีมานี้ฉันสบายดีมาก คนรอบกายก็ต่างมีความสุขมาก ทำไมฉันจะต้องเลือกให้ตัวเองรับความกดดันจากการตัดสินใจ แล้วก็ยอมรับความหดหู่ที่พูดไม่ได้ด้วยล่ะ”

“ฉู่เซี่ย เธอนี่จริงๆ เลย” ฉู่ซ่งกุมหน้าผาก “ดูแล้วพวกเขาคงใจกว้างกับเธอจริงๆ เธอไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเอาเรื่องของตัวเองผลักไปให้คนอื่นหมดแล้วเหรอ? ตอนนี้ฉันชักรู้สึกสงสารอี้เป่ยเฉินขึ้นมาซะแล้ว ฉู่เซี่ย มันคือเรื่องของเธอ เธอก็ควรคิดให้มันชัดเจน อย่าคลุมๆ เครือๆ ทำให้ทุกคนต่างอึดอัดไปด้วย ถึงตอนนั้นอี้เป่ยเฉินก็ดี ลั่วจื่อหานก็ดีก็จะสับสนเพราะเธอและได้รับความเจ็บปวดที่ไม่สมควรได้รับ”

“เอาเถอะ ฉันรู้แล้ว ฉันจะคิดให้ดีๆ”

ฉู่ซ่งพยักหน้าชื่นชม บนใบหน้าเผยให้เห็นอาการว่าเด็กคนนี้โตแล้วพูดรู้เรื่อง จึงหันหลังและเดินจากไป แต่อี้เป่ยซีกลับรู้สึกหนักอึ้ง ประคองราวบันไดขึ้นชั้นบน นั่งบนเก้าอี้โยกขนาดเล็กที่จัดไว้ก่อนหน้านี้ มองแสงพลบค่ำนอกหน้าต่าง ครุ่นคิด

เธอรู้สึกอย่างไรกับลั่วจื่อหาน? เธอยื่นมือออกไป ยกสร้อยข้อมือขึ้นมาตรงหน้า เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะคิดออกได้อย่างไร อยู่กับเขา…เธอนึกถึงตอนยังเป็นเด็ก นึกถึงลั่วจื่อหานเนื้อตัวมอมแมมตอนที่ทั้งสองคนเจอกันครั้งแรก นึกถึงสมบัติของเขาบนภูเขาหิมะ นึกถึงเรื่องรูปถ่าย นึกถึงจูบหวานๆ เมื่อครู่ เหมือนกับกำลังอยู่ในความฝัน นึกถึงฝันนั้น

เธอจึงพบว่าเธอกับลั่วจื่อหานรู้จักกันมานานแล้วจริงๆ เกิดเรื่องมากมายขนาดนั้น เวลาที่มีเขาอยู่ก็จะรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายมาก เวลาไม่มีเขาอยู่ก็ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น เวลาที่เจอเขาก็รู้สึกดีใจแทบกระโดดโลดเต้น เวลาที่ไม่เจอเขาก็ไม่ได้คิดถึงเขาเท่าไร

ฉะนั้นสรุปแล้วเธอรู้สึกอย่างไรกับลั่วจื่อหานกันแน่? เป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นญาติก็ไม่ใช่ และไม่น่าจะเป็นความรักที่จะอยากเข้าใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าเขาดีมาก และรู้สึกว่าเขาสำคัญมาก มีบางเวลาที่อยากจะแบ่งปันความสุขกับเขา บางเวลาก็อยากระบายเรื่องทุกข์ใจกับเขา อยากเอาความคิดทั้งหมดของตัวเองบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาที่สุด

จะไม่บอกหลานฉือเซวียนหรือเซี่ยเซ่อ จะไม่บอกฉู่ซ่ง จะไม่บอกพี่เป่ยเฉิน จะไม่บอกคุณพ่อคุณแม่อี้ ต้องการจะบอกเขาเพียงคนเดียว

ก็เพราะรู้สึกว่าเขาไว้ใจได้อย่างสมบูรณ์ พูดคุยได้ทุกเรื่อง

เพราะว่าหน้าแดงเมื่ออยู่ใกล้เขา เพราะจูบของเขา…

“อ๊าๆๆ…ลั่วจื่อหานนายทำให้ฉันปวดหัวจริงๆ เลย”

“อย่าเพิ่งไปคิดเลย” จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาอี้เป่ยซีตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้

“นายๆๆ ทำไมถึงนายถึงเดินมาเงียบๆ? ตกใจหมดเลย”

“เพราะว่าเธอคิดจนใจลอยเกินไป กำลังคิดถึงฉันเหรอ?” พูดพลางลั่วจื่อหานก็เดินเข้ามาข้างเธอ แววตาลึกซึ้ง “เธอเพิ่งฟื้นมาไม่เท่าไร อย่าฝืนตัวเองแบบนี้สิ”

เสียงของอี้เป่ยซีต่ำมาก “แต่ว่า ฉันก็อยากคิดให้ชัดเจนนี่นา”

ลั่วจื่อหานเอื้อมมือเคาะหัวของเธอ “เด็กโง่ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องคิดให้เข้าใจหรอก ใช้ใจก็พอแล้ว”

“เจ็บนะ” แววตาไม่พอใจทำให้ลั่วจื่อหานรู้สึกอบอุ่น

“หิวหรือเปล่า คืนนี้อยากกินอะไร?”

“เอ๋ นายทำกับข้าวเป็นเหรอ?” ลั่วจื่อหานแสดงอาการอวดเก่งประมาณว่าเธออย่ามาพูดเป็นเล่นนะ “อืม อยากกินปลานึ่ง ปลาเปรี้ยวหวาน เนื้อสันในหมูเปรี้ยวหวาน…”

ลั่วจื่อหานได้ยินแล้วพยักหน้าเป็นครั้งคราว อี้เป่ยซียิ่งประหลาดใจ “นายก็ทำพวกนี้เป็นด้วยเหรอ?”

“วันนี้เลือกสองสามอย่างเถอะ ไม่ได้กินอะไรหลายวันแล้ว อย่ากินเยอะ ท้องจะรับไม่ไหว”

“เชอะ” เธอพิงอยู่บนเก้าอี้หลับตา “เพราะนายทำไม่เป็นล่ะมั้ง”

“เป่ยซี เธอกินของพวกนี้คนเดียวไม่หมดหรอก”

“วางใจเถอะๆ ฉันกินเก่งนะ”

ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอ “ไปเถอะ พวกเราไปซื้อวัตถุดิบกัน”

“หา” แม้ไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ยังเดินออกไปกับเขาแล้ว มาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ไม่ไกลนัก อี้เป่ยซีเห็นท่าทางของเขาที่เลือกวัตถุดิบอย่างตั้งใจก็เหม่อลอยเล็กน้อย หมอนี่ คงไม่ทำกับข้าวเยอะแบบนั้นจริงๆ หรอกนะ

ขณะที่ลั่วจื่อหานกำลังหยิบเนื้อวัวอีกชิ้นขึ้นมานั้น อี้เป่ยซีรีบยื่นมือห้ามเขาทันที “อย่าๆๆ วันนี้ถ้าทำหมดทุกอย่างแล้ว ต่อไปจะมีอะไรใหม่ๆ ล่ะ” ลั่วจื่อหานได้ยินคำว่าต่อไปของเธอ จึงวางเนื้อวัวในมือลง ดึงเธอมาอยู่ระหว่างตัวเองกับรถเข็น

“นี่ คนมองเยอะแยะ นายอย่านะ” อี้เป่ยซีหันซ้ายหันขวา โดยปกติหน้าตาของลั่วจื่อหานก็ดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว บวกกับการกระทำของเขา ผู้คนที่อยู่ข้างๆ กำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง คนจะหาว่าไม่มีกาลเทศะน่ะสิ

“ต่อไป เธอก็จะชินแล้ว” ลั่วจื่อหานพูดคำว่าต่อไปอย่างชัดเจนมาก อี้เป่ยซีหน้าแดงอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ เธอก้มหน้า ในใจบ่นพึมพำว่ามองไม่เห็นฉัน

ลั่วจื่อหานไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก จุ๊บหน้าผากของเธอแล้วปล่อยอย่างเป็นธรรมชาติมาก แต่อี้เป่ยซี

กลับรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติอยู่สักหน่อย

ทำไมเขาเอะอะอะไรก็จูบนะ เขาเป็นโรคอะไรกัน ไม่ได้ จะต้องคุยกับเขา เธอมองลั่วจื่อหานกำลังลังเลครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องเอ่ยปากอย่างไร เพียงแค่สบสายตาของเขาที่หันมาก็หลบตามองไปทางอื่นแล้ว และยังหยิบของบนชั้นวางของข้างๆ

“กล่องเล็กนี้ดูแล้วก็ไม่เลวนะ มีโปรโมชั่นด้วย” ขณะที่เธอเห็นตัวอักษรด้านบนชัดเจนแล้วก็รู้สึกประหลาดใจราวฟ้าผ่า ใครเล่นพิเรนเอา***มาไว้ตรงของสดนะ นี่มันทำร้ายกันชัดๆ

อี้เป่ยซีหน้าแดงต้องการจะวางของกลับไป ลั่วจื่อหานแย่งมาได้ด้วยความว่องไว “ใช่ไม่เลวเลย” เขายกมุมปาก เผยยิ้มที่มีเสน่ห์ชั่วร้ายให้อี้เป่ยซี “เป่ยซีอยากจะส่งสัญญาณบอกอะไรฉันเหรอ?”

เธอรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงจนแทบระเบิด ต่อไปเธอจะไม่มาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้อีกแล้ว น่ากลัวเกินไปจริงๆ “แค่ก ยังจะซื้ออะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีแล้วก็กลับกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”

ลั่วจื่อหานไม่ได้แซวเรื่องนี้ต่ออีก เอาของวางกลับไปที่เดิม “ทำไมเธอถึงหน้าแดงแบบนั้นล่ะ?”

“ที่นี่มันอบอ้าวเกินไป” พูดพลางใช้มือพัดวี “พวกเรารีบกลับบ้านเถอะ”

เขายิ้มจูงมือของเธอ “ได้ กลับบ้าน”

เหมือนจะพูดผิดอีกแล้ว…

……………………..