บทที่ 71 จูบแย่ๆ (3)

“ให้ฉันช่วยนายเถอะ” อี้เป่ยซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะกินข้าวครู่หนึ่ง รู้สึกว่าปล่อยให้แขกยุ่งอยู่แบบนี้ไม่ดีเท่าไร จึงเบียดตัวเองเข้าไปในห้องครัวเล็กๆ เห็นท่าทางที่คล่องแคล่วของลั่วจื่อหานแล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คุณชายใหญ่ที่ดูสูงส่งกว่าคนทั่วไป คิดไม่ถึงว่าจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย

ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเธอ จึงตอบอือเบาๆ “เธอไปล้างผักชีฝรั่งที่อยู่ทางนั้นเถอะ”

อี้เป่ยซีพับแขนเสื้อตัวเอง ตั้งใจทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ลั่วจื่อหานไว้วานเป็นครั้งคราวอยู่ข้างๆ บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมาก

“นี่ ฉันอยากลองดู” ลั่วจื่อหานมองดวงตากลมโตเป็นประกายที่เปี่ยมด้วยความคาดหวังคู่นั้น ท้ายที่สุดก็คลายมือ ส่งตะหลิวให้เธอ ส่วนตัวเองมองอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง

“ใส่น้ำมันก่อน”

“อืมๆๆ”

ภายใต้ความร่วมแรงร่วมใจของทั้งสองคน ไม่นานอาหารค่ำก็เสร็จสมบูรณ์ อี้เป่ยซีมองดูกับข้าวที่มีสีสันน่ารับประทาน เผยรอยยิ้มพึงพอใจ “ที่แท้ทำกับข้าวมันง่ายแบบนี้นี่เอง ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย” เธอสูดหายใจลึก “ไม่รู้สึกเหมือนตัวเองทำเลย”

“เอาไปวางกันเถอะ” ลั่วจื่อหานมองเธออย่างเอ็นดูพร้อมกล่าวเสียงเบา อี้เป่ยซีที่กำลังดื่มด่ำกับฝีมือการปรุงอาหารของตัวเองจึงดึงสติกลับมาแล้วพยักหน้าให้ จากนั้นเอาจานไปวางบนโต๊ะอย่างมีความสุขมาก ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน ลั่วจื่อหานลุกขึ้นหยิบไวน์แก้วหนึ่งจากตู้เก็บไวน์มารินให้ตัวเอง

เธอถาม “บ้านฉันมีไวน์ตั้งแต่เมื่อไร?”

เขาจิบไปคำหนึ่ง “เธออยากดื่มไหม ในตู้ไวน์ยังมีเหล้าผลไม้ แอลกอฮอล์ต่ำมาก”

อี้เป่ยซีกัดตะเกียบพยักหน้า ไม่นานแก้วไวน์ที่อยู่ตรงหน้าก็ปรากฏเหล้าผลไม้สีชมพู เธอหยิบขึ้นมาดมๆ รสพีชเหรอ?

“อร่อยจริงด้วย นายไปซื้อมาจากไหน?”

“เพื่อนหมักน่ะ ถ้าชอบยังมีอีกเยอะ ค่อยๆ ดื่มก็ได้”

เธอพยักหน้าให้ เริ่มลองชิมอาหาร ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าอาหารโฮมเมดเหล่านี้กลายเป็นความแปลกใหม่ ทุกคำล้วนมีรสเลิศ เธอแอบเหลือบมองลั่วจื่อหาน จากนั้นก็ก้มหน้ากินข้าว น่าจะเป็นเพราะตัวเองก็ได้มีส่วนร่วมด้วย อารมณ์จึงต่างออกไป

“ฉันล้างเอง” หลังจากกินเสร็จ อี้เป่ยซีอาสาเข้าห้องครัวไป ลั่วจื่อหานยืนอยู่ด้านข้างพอดี เขาช่วยเธอพับแขนเสื้อที่ตกลงขึ้นมาอีกรอบ นิ้วที่สัมผัสโดนแขนเรียวเล็กโดยไม่ได้ตั้งใจก็นุ่มนวลอ่อนโยน เขาไอเบาๆ ทำจนเสร็จด้วยความคล่องแคล่ว อี้เป่ยซีรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเขา ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วล้างจานต่อไป

ทำไมต้องออกแบบห้องครัวให้เล็กแบบนี้ด้วย เธอคิดในใจ รู้สึกว่ารอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นกายของผู้ชาย แม้ว่ากลิ่นนั้นจะทำให้รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่งก็ตาม

“ระวัง” ลั่วจื่อหานดึงเธอหลบไป ถ้วยกระเบื้องที่ร่วงลงบนพื้นจึงไม่ได้กระเด็นบาดใส่ขาเธอ เสียงแตกของเครื่องเซรามิกทำให้ในใจของอี้เป่ยซีบีบรัดแน่น แตก…แตกอีกแล้ว

“ก็แค่ถ้วยแตกใบหนึ่ง ไม่เป็นไร” ลั่วจื่อหานปลอบโยนอยู่เหนือศีรษะเธอ ได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าทำไม่ถึงรู้สึกอยากร้องไห้ “เป็นอะไรไป เป่ยซี”

“ไม่รู้ ฉันเสียใจมากเลย ลั่วจื่อหาน”

“ไม่เป็นไร ฉันอยู่นี่”

“ฮือๆๆ…” อี้เป่ยซีพิงที่ไหล่ของเขา ร้องไห้ออกมาทันที สองแขนของลั่วจื่อหานกอดแน่นเล็กน้อย ปลอบประโลมเธอเบาๆ ไม่รู้ว่าร้องไห้นานแค่ไหน เธอจึงค่อยหยุดน้ำตาไหล แต่ตอนนี้เสื้อของเขาเปียกไปส่วนหนึ่งแล้ว

เธอผละออกมาจากอ้อมอกเขาอย่างเขินอาย ก้มหน้าลง “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

ทันทีที่ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าอ้อมอกของตัวเองว่างเปล่า ก็รู้สึกว่าบางตำแหน่งเบาโหวงด้วย “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทำไมถึงเสียใจขนาดนี้ล่ะ?”

อี้เป่ยซีส่ายหน้า เขานึกว่าเป็นเพราะเธอไม่อยากพูด จึงก้าวไปข้างหน้ากอดเธอไว้ในอ้อมแขน “มีอะไรไม่สบายใจก็บอกฉันได้ ไม่ต้องกังวลอะไร”

“อือ แต่ว่าเสื้อของนาย…”

“หืม? เรื่องเล็กน้อยน่ะ”

“ลั่วจื่อหาน ให้เวลาฉันอีกหน่อย ฉันจะคิดให้ดี”

เขาหัวเราะเบาๆ “ได้ ฉันจะรอเธอคิดให้ดี”

ลั่วจื่อหานพาเธอไปส่งที่ห้องรับแขกแล้วก็จัดการกับตัวเอง เขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อชั้นบน แล้วลงมาจัดการความยุ่งเหยิงในห้องครัวให้เรียบร้อย อี้เป่ยซีมองดูห้องของตัวเอง เหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย รูปแบบสีขาวดำที่เย็นชืดในตอนแรกกลับเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอบอุ่น หลายจุดที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้ก็ถูกเติมเต็มแล้ว

ตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหน ถึงเพียงพอให้ลั่วจื่อหานย้ายของเข้ามามากขนาดนี้?

สิ่งของทุกชิ้นล้วนเข้ามาในนี้อย่างเงียบเชียบ คนก็เข้ามาอยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบเช่นกัน

จู่ๆ อี้เป่ยซีรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจ เธอกอดหมอนที่อยู่บนโซฟา เปิดโทรทัศน์เลือกซีรี่ส์ดูตามใจชอบ เรื่องราวและนักแสดงมีความเอาใจใส่ ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกเนื้อเรื่องดึงเข้าไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ลั่วจื่อหานมานั่งข้างตัวเองก็ไม่รู้เรื่อง

เขาก็ไม่ได้อ้าปากเรียกเธอ นั่งลงข้างเธอเงียบๆ ดูภายนอกเหมือนคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน มีความกลมเกลียวและเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไร ลั่วจื่อหานไม่กล้าขยับตัว ด้วยกลัวว่าบรรยากาศแบบนี้จะหลุดลอยจากมือไป

นาฬิกาบนเหนือศีรษะเดินไปอย่างระมัดระวัง รอบแล้วรอบเล่า บทเพลงในตอนจบดังขึ้น อี้เป่ยซีจึงกลับมาสู่โลกปัจจุบันด้วยความตื้นตันเล็กน้อย ซีรี่ส์เรื่องนี้สนุกเกินไปแล้ว จะต้องไปดูย้อนหลังสักหน่อย

“เอ๊ะ นายมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” เธอพูดพลางกะพริบตาปริบๆ

ลั่วจื่อหานรู้สึกใจเต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขายื่นมือออกไปลูบผมของเธอ “ดูจบแล้วก็ไปนอนก่อนเถอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว”

อี้เป่ยซีเงยหน้าดูนาฬิกาบนผนัง ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว งั้นเขานั่งอยู่ข้างเธอตลอดเวลา ก็เพื่อรอจนเธอดูจบแล้วกำชับให้ไปนอนงั้นเหรอ?

น่าจะไม่ใช่มั้ง จะมีคนที่รอนานแบบนี้เพื่อประโยคเดียวได้อย่างไร เธอส่ายหัวด้วยความวุ่นวายใจเล็กน้อย กอดหมอนในอ้อมแขนไว้แน่น

“งั้นฉันกลับแล้วนะ เธอระวังตัวด้วย”

“เอ๊ะ? นายจะกลับเหรอ? ดึกป่านนี้แล้ว”

เมื่อเข้าใจความหมายของเด็กสาว ลั่วจื่อหานหัวเราะก่อนเอ่ยว่า “ทำไมล่ะ อยากให้ฉันค้างคืนกับเธอหรือไง?”

“เชอะๆๆ ฉันเปล่าสักหน่อย นายไปเถอะ กลับดีๆ ล่ะ รีบไปๆ” อี้เป่ยซีเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นไม่อยากสนใจเขาอีก

ลั่วจื่อหานเข้าใกล้เธอเล็กน้อย อี้เป่ยซีหันกลับมากะทันหัน ปลายจมูกจึงสัมผัสกัน รู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เขาหัวเราะเบาๆ แล้วคว้าศีรษะของคนที่ยังคงงุนงงกับสถานการณ์เข้ามา จูบบนริมฝีปากแดงที่งดงาม เพียงประกบครู่เดียวไม่ได้ลึกซึ้ง จากนั้นก็ปล่อยอี้เป่ยซีที่หน้าแดงจนถึงคอไป

“งั้นฉันกลับก่อนนะ”

อี้เป่ยซีซ่อนตัวอยู่หลังหมอน ไม่ได้พูดอะไร เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาที่ค่อยๆ ไกลออกไปจึงรวบรวมความกล้าพูดว่ากลับดีๆ นะ จากนั้นก็หดตัวแกล้งตายเหมือนเต่าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา

อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี สมองเธอพังไปแล้วหรือยังไงนะ ผลักเขาออกไปไม่ได้หรือไง ผลักออกไปสิ

ยังไม่ทันคิดให้ดีก็รับจูบของเขาด้วยความนิ่งเฉยขนาดนั้น เชอะ เธอนี่มันหน้าไม่อายเกินไปแล้ว

เธอหน้าไม่อายอะไรกัน เพราะลั่วจื่อหานเป็นคนเข้ามาจูบเอง เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกต่างหากโอเคไหม แบบนี้จะผลักเขาออกไปได้ยังไง เขาต่างหากล่ะที่หน้าไม่อาย ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย

ใช่ ลั่วจื่อหาน หมอนั่นไร้ยางอายเกินไปแล้ว

………………………….