ส่วนที่ 4 ตอนที่ 203 ปัญหางอกเพิ่ม

ความลับแห่งจินเหลียน

แต่ทักษะเจียระไนหินอย่างเป็นธรรมชาติต่างหากถึงเรียกว่านักเดิมพันหินที่แท้จริง อาศัยทักษะที่ช่ำชองมาเจียระไนหิน ไม่อย่างนั้นคงต้องเหมือนจ่านป๋ายที่เริ่มลงมีดตัดจากตรงกลางก่อน ถ้าข้างในมีหยกจริงๆ มีดคงได้ทำลายหยกข้างในจนเสียหายแน่ 

 

 

หยกที่มีพื้นผิวเหมือนกัน แน่นอนยิ่งใหญ่ก็ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งเหมาะสมกับการเก็บสะสม หากไม่ระวังจนตัดหยกจากตรงกลางให้ผ่าเป็นสองซีก ถึงเนื้อหยกทั้งหมดจะเท่ากัน แต่เมื่อประเมินราคาเกรงว่าคงต่างกันราวฟ้ากับเหว 

 

 

ข้อเสียของการตัดเช่นนี้ก็คือ หากเป็นแค่สีเขียวติดเปลือก มีสีเขียวให้เห็นเพียงแค่เล็กน้อย ก็ยากที่จะควบคุมการลงมีด บางทีการลงมีดครั้งต่อไปอาจจะไปโดนสีเขียวก็ได้ 

 

 

“ฉันดูแล้วเหมือนไม่ได้ดีเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนพูด “หรือพวกเราจะมาพนันกันไหม?” หินหยกก้อนนี้เมื่อสักครู่เธอได้ดูแล้ว เป็นเนื้อน้ำแข็งไม่ผิดเพี้ยน แต่เป็นสีเขียวติดเปลือกที่ทำให้ชีวิตคนย่อยยับไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ลุงท่านนี้คงเห็นว่าน่าจะเผยสีเขียวจึงได้ลงมือ เพราะอย่างน้อยคงทำกำไรได้ แต่หากตัดออกมาจริงๆ แล้วคงได้แต่ดีใจเก้อแน่ 

 

 

“จะพนันอย่างไรครับ” จ่านป๋ายยิ้มแฝงเล่ห์นัย รู้ทั้งรู้ว่าเดิมพันกับซีเหมินจินเหลียนก็คือเดิมพันสิบครั้งแพ้เก้าครั้ง เว้นเสียแต่เธอตั้งใจให้เขาชนะ แต่ขอแค่เธอมีความสุข แพ้ก็แพ้ไม่ต่างกัน เป็นดั่งคำที่เธอพูด ตัวของเขาเป็นของเธอแล้ว จะทำอะไรได้อีก? 

 

 

“ฉันพนันว่าเขาคงต้องแพ้ไม่เป็นท่าแน่…อืม ฉันพนันหนึ่งหยวน!” ซีเหมินจินเหลียนแย้มยิ้มออกมา 

 

 

 “ฮะ…” จ่านป๋ายยิ้มออกมาบางๆ พนันหนึ่งหยวนเหรอ? โอเค ขอแค่เธอมีความสุข พนันหนึ่งหยวนก็ได้ “ผมพนันว่าเขาจะชนะเดิมพัน หนึ่งหยวนก็หนึ่งหยวนครับ!” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนควานหาเหรียญหนึ่งหยวนออกมาจากกระเป๋าและส่งไปให้เขา “ของคุณล่ะ?” 

 

 

จ่านป๋ายลูบคลำไปทั่วเรือนรางแต่ก็หาเหรียญหนึ่งหยวนไม่เจอ พูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ผมติดไว้ก่อนได้ไหม” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนอดกลั้นขำไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมา…เธอรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาไม่มีเหรียญหนึ่งหยวน 

 

 

“คุณเฉิน หินหยกก้อนนี้ของคุณขายหรือเปล่า? ผมให้สามหมื่นหยวน!”เพราะเห็นสีเขียวอยู่เล็กน้อยจึงมีเสียงคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาท่ามกลางผู้คน 

 

 

“ไม่ขายแน่นอน คุณไม่รู้เหรอว่าผมก็ทำธุรกิจทางด้านนี้” ลุงที่กำลังเจียระไนอยู่พูดขึ้น เขาจัดตำแหน่งหินหยกให้ดีอีกครั้งและวาดเส้นกำกับเริ่มทำการตัดหินต่อ 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นแล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา คนทำธุรกิจหยก แน่นอนเมื่อเห็นหินหยกสีเขียวใครกันจะกล้าขาย เพราะถ้าคนอื่นซื้อไปแล้วชนะเดิมพัน ตัวเองคงได้เสียใจจนถึงขั้นกระโดดตึกตายก็ได้  

 

 

“คุณผู้ชาย…” สิ่งที่ผู้คนจับจ้อง คงหนีไม่พ้นลุงที่กำลังเจียระไนหินอยู่ตอนนี้ แต่พ่อค้าชราแทรกตัวจากผู้คนเดินมาทางจ่านป๋ายและพูดว่า “วิสัยทัศน์ในการเดิมพันหินของคุณผู้ชายไม่ธรรมดาจริงๆ!” 

 

 

 จ่านป๋ายได้ยินแล้วละอายใจ เขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ดวงดีล้วนๆ และเป็นการเข้าใจผิด โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็น้อยกว่าการถูกลอตเตอรี่เสียอีก 

 

 

“ขายหน้าคุณแล้วครับ ผมแค่ดวงดีเท่านั้นเอง!” จ่านป๋ายยิ้ม 

 

 

“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายสนใจที่จะทำธุรกิจซื้อขายขนาดใหญ่หรือเปล่า” ชายชรากวาดสายตามองไปยังผู้คนโดยรอบ 

 

 

“อ้อ?” จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียน เห็นเธอไม่ได้ขัดขาเลยถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าที่คุณบอกว่าซื้อขายขนาดใหญ่ หมายความว่ายังไงกันครับ?” 

 

 

“ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขามีสินค้าชั้นดีอยู่จำนวนหนึ่ง เพราะช่วงนี้สภาพการเงินขัดคล่อง เลยรีบใช้เงินด่วน เขาจึงอยากขายของ เพียงแต่หาลูกค้าที่จะซื้อสินค้าไม่ได้ เมื่อครู่ผมเห็นคุณเดิมพันหิน วิสัยทัศน์นั้นดูไม่เหมือนใคร เป็นอย่างไรสนใจไหมครับ?” ชายชราพูดเหมือนมีลับลมคมใน 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ขอแค่เป็นสินค้าชั้นดี ผมต้องไปดูอยู่แล้วครับ” จ่านป๋ายยิ้ม ซีเหมินจินเหลียนกำลังกลัดกลุ้มว่าเธอจะหาของดีไม่ได้ เธอก็ไม่เคยกังวลถ้าจะมีหินหยกเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว 

 

 

“วันนี้ทางผมคงไปไม่ได้ คืนพรุ่งนี้เป็นไงครับ?” ชายชราพูด 

 

 

จ่านป๋ายหันไปมองซีเหมินจินเหลียนอีกครั้ง เห็นเธอพยักหน้าจึงเอ่ยปาก “ตกลง ยังไงพวกเราก็คงอยู่ที่เจียหยางอีกสักระยะ คืนพรุ่งนี้ก็ได้ครับ ไม่ทราบว่าผมจะติดต่อคุณได้อย่างไร” 

 

 

“นี่เป็นเบอร์โทรของผม” ชายชราพูดในขณะที่ล้วงซองบุหรี่กับปากกาซอมซ่อด้ามหนึ่งออกมา นำซองบุหรี่ฉีกเป็นสองส่วนและเขียนเบอร์โทรของเขาลงด้านบน พร้อมถามเบอร์ของจ่านป๋าย 

 

 

จ่านป๋ายรับกระดาษกับปากกามา ก่อนเขียนเบอร์โทรส่งไปให้เขา 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคืนพรุ่งนี้ผมจะติดต่อไปนะครับ ผมต้องไปต้อนรับลูกค้าก่อน!” ชายชราพูดจบก็หายเข้าไปในหมู่คนที่เบียดเสียดอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

“ชายชราท่านนี้ ทำให้ผมนึกถึงผู้อาวุโสหูแปลกประหลาด” จ่านป๋ายยิ้ม 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเองก็คิดถึงผู้อาวุโสหูนิสัยแปลกท่านนั้นเช่นกัน แต่ก็รีบส่ายหน้าโดยเร็ว “แม้สถานที่อย่างเจียหยางจะเป็นบัลลังก์เสือหรือมังกร แต่ยังไงผู้อาวุโสหูก็โดดเด่นไม่เหมือนใคร” 

 

 

“ที่คุณพูดก็ถูก ความสามารถในการเดิมพันหินของผู้อาวุโสท่านนั้นถือว่าไม่ได้โดดเด่น แต่วิธีทำธุรกิจที่ประหลาดของเขาต่างหากที่พิเศษต่างจากคนอื่น” จ่านป๋ายพูด 

 

 

“ความสามารถในการเดิมพันหินของเขาก็นับว่าพิเศษกว่าใครแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อน 

 

 

“แต่ก็ยังคงสู้คุณไม่ได้” จ่านป๋ายพูด 

 

 

“ไม่นับฉันสิ!” ซีเหมินส่ายหน้า เธอโกง ถ้าเธอไม่ใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่าน ให้เธอเดิมพันหินด้วยทรัพย์สมบัติร้อยล้านคงได้ล้มละลายลงไม่เป็นท่าตั้งแต่เริ่ม “จริงสิ เสี่ยวป๋าย คุณรู้ได้อย่างไรว่าหินหยกก้อนนั้นแปลก?” 

 

 

“หืม?” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าผมแจ้งเกิดตัวเองยังไง อาชีพของผมต้องมีสองมือที่ว่องไวต่อปฏิกิริยารอบตัว ผมสัมผัสมันได้” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนสงสัย สัมผัสเหรอ? ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง หินหยกก้อนนี้ถูกคนเฉือนออกมาบ้างแล้ว คงต้องมีเนื้อหินที่ราบเรียบของเนื้อแก้วตรงไหนที่เผยออกมาบ้าง เผอิญกับที่เขาสัมผัสลงไปและรับรู้ได้ 

 

 

ในระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่นั้น ลุงท่านนั้นก็ทำการเฉือนเนื้อเบาบางของหินออกมาประมาณหนึ่งเซนติเมตร ทำให้สีเขียวที่มีน้อยนิดนั้นตัดไปไม่เหลือชิ้นดี ข้างในมีแค่หินสีขาวว่างเปล่า… 

 

 

“น่าเสียดาย!” ผู้คนพากันลอบถอนหายใจ 

 

 

ลุงท่านนั้นก็ส่ายศีรษะคล้อยตาม และได้ลงมีดไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ผลที่ได้น่าเอือมระอา หินหยกก้อนอื่นๆ ที่ถูกตัดออกมาหมดน่าเสียดายเหลือเกิน แม้จะเห็นร่องรอยของสีแดง แต่ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีหยกสักก้อน 

 

 

“ไปเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเรากลับโรงแรมกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด 

 

 

 “ครับ” จ่านป๋ายพยักหน้าและเรียกแท็กซี่ นำหินหยกสองก้อนนั้นขึ้นไป ส่วนหยกที่ถูกตัดออกมาแล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อประคองไว้ในมือ 

 

 

เมื่อกลับถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย จ่านป๋ายก็ถามขึ้นว่า “หินหยกสองก้อนนั้น ลักษณะเป็นอย่างไรเหรอครับ” 

 

 

“สัมผัสของมือคุณช่างน่าอัศจรรย์ ฉันดูจากเนื้อผิวทรายละเอียดแบบนี้แล้ว น่าจะเป็นเนื้อแก้วอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสีนั้นฉันก็คาดเดาได้ยาก…ดูจากลักษณะแล้วน่าจะมาจากหมาเหมิง สถานที่แห่งนั้นมีโอกาสเผยสีเขียวสูง ไม่แน่คุณอาจจะเก็บหยกสีเขียวจักรพรรดิมาก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนพูด แม้แต่จ่านป๋ายเธอก็เลือกที่จะไม่พูดความจริง สีของหินหยกทั้งสองก้อนนี้แปลกมาก 

 

 

“ผมไม่ได้หวังเลยว่าจะดวงดีขนาดนี้ เพียงแค่สงสัยเท่านั้น เพราะยังไงก็ไม่แพง ซื้อกลับไปตัดเล่นๆ ก็คุ้มแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วครับ พรุ่งนี้คุณยังต้องไปซื้อหินหยกอีก รีบพักผ่อนเถอะ” จ่านป๋ายพูดกำชับ 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบกลับไม่พูดอะไร 

 

 

เช้าวันถัดมา หนิงชุ่ยฉินไม่ได้มารับพวกเขาตามนัด ในใจของซีเหมินจินเหลียนแปลกใจไม่หยุด คุณแม่หนิงดูเป็นคนซื่อสัตย์ หรืออาจจะพูดได้ว่าคุณแม่หนิงเป็นคนขี้กลัว เมื่อรับเงินเธอไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะกลับใจนี่นา ส่วนหนิงชุ่ยฉินก็ยิ่งแล้วใหญ่ เธอเป็นคนตรงไปตรงมา วันนี้ตอนเช้าที่ไม่มารับเธอตามนัด เกรงว่าเรื่องนี้คงต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลบางอย่าง 

 

 

หินใหญ่ก้อนนั้นเธอทุ่มเทกับมันมาก จึงรีบปรึกษากับจ่านป๋ายและเรียกรถไปยังบ้านของหนิงชุ่ยฉิน 

 

 

เมื่อไปถึงหน้าประตู ซีเหมินจินเหลียนก็งงงันไปหมด เมื่อเธอเห็นรถฟลอร์คลิฟท์คันใหญ่จอดอยู่หน้าประตู มีชายวัยกลางคนแต่งตัวดูดี ลักษณะท่าทางพอใช้ได้ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ไม่รู้ว่ากำลังทะเลาะอะไรกับคุณแม่หนิงอยู่ และยังมีวัยรุ่นอีกสิบกว่าคนที่แต่งกายเหมือนกันหมดมุงอยู่หน้าบ้าน 

 

 

คุณแม่หนิงเห็นซีเหมินจินเหลียนแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเข้าไปต้อนรับทันที 

 

 

“คุณป้า นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?” ซีเหมินจินเหลียนสื่อไปทางคนที่มุงอยู่หน้าประตู 

 

 

“คุณซีเหมิน คุณมาได้เวลาพอดีเลย!” คุณแม่หนิงจ้องไปยังชายวัยกลางคนคนนั้นและพูดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก พวกเขาก็อยากจะซื้อหินใหญ่ก้อนนี้เหมือนกัน” 

 

 

“น้องสาว…เธอจะทำตามใจชอบไม่ได้นะ!” ชายวัยกลางคนมองซีเหมินจินเหลียนเล็กน้อย ก่อนแค่นเสียงเหอะออกมาพร้อมยิ้มเยือกเย็น “เธออย่าลืมสิว่าตอนนี้เธอเป็นหนี้ฉันอยู่หนึ่งล้านห้าแสน” 

 

 

หนิงชุ่ยฉินได้ยินแบบนั้นกฌออกมาจากข้างในบ้าน ใบหน้าแดงกล่ำแยกเขี้ยวพูดออกมาว่า “คุณลุง พวกเราไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไม่คืนเงินลุง แต่หินก้อนนี้พวกเราขายไปแล้วเมื่อวาน ตอนนี้ลุงจะมาอยากได้มันก็สายไปแล้ว อยู่มาตั้งหลายปี ลุงก็ไม่เคยเห็นอยากจะได้เลย แต่เวลานี้กลับจะมาแย่งเนี่ยนะ ลุงนี่ก็ช่าง…ช่างเหลือเกิน” 

 

 

เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ดูแล้วท่าทางเหมือนลูกแมวที่กำลังโกรธจัด พร้อมที่จะตะปบด้วยอุ้งมือทั้งสองต่อหน้าชายวัยกลางคน 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาแล้ว ที่แท้ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือเจียงเจิ้น ลุงแท้ๆ ของหนิงชุ่ยฉิน แต่ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้อยากซื้อหินใหญ่ก้อนนั้นที่ไม่เคยมีใครสนใจมาก่อน 

 

 

“พี่ หินก้อนนั้นคุณซีเหมินก็ซื้อไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อีกอย่างเธอก็จ่ายเงินแล้วด้วย เราตกลงกันไว้แล้วว่าเช้าวันนี้เธอจะมารับของ พอมาเวลานี้พี่บอกว่าจะเอา ฉันก็ขายให้พี่ไม่ได้หรอก” คุณแม่หนิงห้ามปรามหนิงชุ่ยฉินพร้อมส่ายหน้า 

 

 

“น้องสาว ตอนนั้นเธอเคยบอกว่าหินหยกทั้งหมดในบ้านฉันมีสิทธิ์ในการตัดสินใจไม่ใช่เหรอ?” เจียงเจิ้นมองไปทางซีเหมินจินเหลียน ก่อนเชิดหน้าแค่นเสียงใส่ 

 

 

“แต่ก้อนนี้พี่ไม่เอาแล้วนี่!” คุณแม่หนิงพูด “ก้อนที่พี่ต้องการพี่ก็เลือกไปหมดแล้ว ส่วนก้อนที่พี่ไม่เอาจะไม่ขายให้ใครเลยเหรอ? ถ้าไม่มีใครต้องการแล้วพี่จะเอาไป ฉันก็จะไม่ว่าอะไรเลย แต่ตอนนี้คุณซีเหมินจ่ายเงินไปแล้ว ถึงพี่บอกจะเอา ฉันก็ให้พี่ไม่ได้” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วแน่น เธอจ่ายไปแปดล้าน เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอีก แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจก็คือ…ลุงของหนิงชุ่ยฉินอยู่ตั้งนานไม่เห็นมา แต่ทำไมเวลานี้ถึงอยากจะมาแย่งชิงเสียล่ะ คนอื่นๆ ไม่ได้สนใจหินหยกก้อนนี้ แต่เพราะว่าเธอสนใจก็เลยคิดจะแย่งสินค้าไปเหรอ?