ส่วนที่ 4 ตอนที่ 204 ปฏิบัติตามกฎ

ความลับแห่งจินเหลียน

เจียงเจิ้นมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนสลับกับหันไปมองน้องสาวและหลานสาวของตน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “น้องสาว หลายปีที่ฉันเป็นพี่ชายเธอมา ฉันก็ดูแลเธอดีใช่ไหมล่ะ? ตอนนั้นธุรกิจของน้องเขยล้มละลาย อยู่ๆ ก็จากไปและทิ้งหนี้สิ้นให้เธอชดใช้ เธอก็อย่าลืมสิว่าใครที่เป็นคนจัดการปัญหาและคอยดูแลทำให้พวกเธอสองคนแม่ลูกลืมตาอ้าปากได้?” 

 

“พี่ หลายปีมานี้พี่ก็ดูแลฉันไม่ขาดตกบกพร่องเลยจริงๆ” คุณแม่หนิงถอนหายใจ “หนี้ที่ติดค้างพี่ไว้ แน่นอนว่าฉันต้องหามาคืนให้อยู่แล้ว พวกเราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ บางคำพูดก็ไม่ต้องพูดกับคนนอกหรอก หากวันนี้พี่สั่งให้ฉันทำเรื่องอื่น ฉันจะเชื่อฟังและไม่ขัดขืนเลย แต่หินใหญ่ก้อนนี้ฉันก็ให้ไม่ได้เด็ดขาด ตอนนั้นก็เป็นเพราะว่าสามีของฉันทรยศหักหลังและขายเพื่อนของเขา ถึงทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้งหรอก” 

 

“น้องสาว หรือเธอจะลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเงินที่พี่จ่ายไปก็ตกลงกันไว้ดิบดีแล้วว่าจะซื้อหินหยกของน้องทั้งหมด มันก็น่าจะรวมถึงก้อนนี้ด้วยไม่ใช่เหรอ?” เจียงเจิ้นรีบพูดขึ้นในทันที 

 

“ลุงพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะซื้อหินหยกของพวกเราทั้งหมด?” หนิงชุ่ยฉินพุ่งเข้ามาและชี้หน้าของเจียงเจิ้น “หลายปีมานี้ ลุงก็เห็นพวกเราสองแม่ลูกขัดหูขัดตามาโดยตลอด อีกทั้งยังจะให้ฉันไปแต่งงานกับหลานชายโง่ๆ ของลุงนั่น เหอะ! นี่ก็รังแกกันชัดๆ ลุงก็คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ? พอลุงได้ยินว่าพวกเราขายหินก้อนใหญ่ได้ ในใจก็คงร้อนรนรีบกระวีกระวาดมากักตวงผลประโยชน์สินะ? ตัวเองใจดำคับแคบไม่ยอมขาดทุน ลุงคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้เหรอไง?” 

 

“หินหยกก้อนนี้ ยังไงวันนี้ฉันก็จะเอาให้ได้ น้องสาว เธอคอยดูแล้วกัน!” เจียงเจิ้งไม่ได้สนใจกับท่าทีก้าวร้าวของหนิงชุ่ยฉิน เขาหยิบบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อออกมามวนหนึ่ง ก่อนจะจุดไฟและพ่นควันออกมากลุ่มใหญ่ 

 

ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วแน่น พูดแบบนี้มันก็ดูไม่มีเหตุผลหน่อยนะ… 

 

 แต่จะว่าไปก็แปลก เจียงเจิ้นคนนี้อยู่มาได้ตั้งนานก็ไม่เห็นสนใจอยากได้หินหยกก้อนนี้เลย แต่ทำไมเวลานี้ถึงอยากขึ้นมาล่ะ? หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะมา เขาซื้อไปเจียระไนคงได้รวยถังแตกตั้งนานแล้ว และเธอคงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้สัมผัสมันและเป็นของที่จ่ายเงินแล้ว หากยอมให้คนอื่นซื้อไปง่ายๆ จากนั้นเธอก็ต้องมานั่งโทษว่าไม่มีวาสนาต่อกัน นั่นคงทำให้เธอบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม 

 

คุณแม่หนิงเงยหน้ามองซีเหมินจินเหลียน ประจวบเหมาะกับที่เธอมองมาทางนี้พอดี จ่านป๋ายหันไปทางเจียงเจิ้นและพูดว่า “ผมไม่สนว่าหินหยกก้อนนี้จะเป็นของใคร ในเมื่อเมื่อวานพวกเราซื้อสินค้าและจ่ายเงินไปเต็มจำนวนแล้ว วันนี้ก็แค่มารับสินค้าไปเท่านั้น ส่วนเรื่องบุญคุณอะไรของพวกคุณ ก็รอให้พวกเราขนสินค้ากลับไปก่อนแล้วค่อยพูดกันเองเถอะ” 

 

“เมื่อวานคุณมาซื้อหินหยกก้อนนี้กับน้องสาวผม แต่ว่า…น้องผมก็ไม่ได้เป็นเจ้าของหินหยกก้อนนี้ ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เธอจะขายให้คุณได้ยังไงล่ะ?” เจียงเจิ้นเชิดหน้าพูดขึ้น “หินหยกก้อนนี้เป็นของผม” 

 

“เจียงเจิ้น ลุงนี่มันหน้าไม่อายเลยจริงๆ!” หนิงชุ่ยฉินฝืนทนไม่ไหวแล้ว ไม่สนใจการขัดขวางของคุณแม่หนิง เงื้อมมือพุ่งเข้าไปตบหน้าของเจียงเจิ้น 

 

แต่เจียงเจิ้นเป็นชายวัยกลางคน ไม่นานก็พยายามรวบมือเธอไว้ได้! คุณแม่หนิงรีบไปเกลี้ยกล่อม ส่วนหนิงชุ่ยฉินร้องห่มร้องไห้ อีกใจก็พูดว่า “ลุงอย่ามาอ้างเรื่องบุญคุณอะไรนั่นเลย หลายปีมานี้ลุงยังเอาเปรียบพวกเราไม่พออีกเหรอ? ลุงรังแกพวกเราแม่ลูกที่ไม่รู้เรื่องหยก ลุงมันไร้ยางอาย เลวทรามที่สุด!” 

 

“ฉันเลวทรามต่ำช้า แต่ก็สู้พ่อที่ตายไปของแกไม่ได้หรอก!” เจียงเจิ้นถูกกระตุ้นอารมณ์ จึงแผดวาจาหยาบคายออกไปเสียงดัง “เพื่อเงินห้าล้าน พ่อของแกก็ยอมขายแม้กระทั่งเพื่อนได้ลงไม่ใช่เหรอ? พ่อของแกก็ไม่เคยสนใจเลยว่าหินหยกพวกนี้มันเลอะเลือดคนอื่นมาตั้งมากมายเท่าไหร่…” 

 

“แล้วลุงคิดว่าตัวเองดีสักเท่าไหร่กัน ลุงก็ไม่เคยทำร้ายคนอื่นเลยเหรอไง?” แม้หนิงชุ่ยฉินจะถูกแม่ของตนกอดเอาไว้อยู่ แต่ก็ยังคงชี้หน้าพูดไปทางเจียงเจิ้น 

 

จ่านป๋ายลากซีเหมินจินเหลียนพร้อมกระซิบพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลแล้วครับ” 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าและถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดกับคุณแม่หนิงขึ้นมาในทันทีว่า “คุณป้าคะ…” 

 

“คุณซีเหมิน คุณรอเดี๋ยวนะ” คุณแม่หนิงฝืนยิ้ม 

 

“ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะคุณป้า” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “เดิมทีเหตุผลจริงๆ ที่หนูตั้งใจจะซื้อหินหยกก้อนนี้ก็เพื่ออยากจะเชิญคุณป้าไปพม่าเป็นเพื่อนกับหนู และด้วยวาสนาของหนูกับลูกสาวคุณป้าด้วย แต่ในเมื่อคุณคนนี้เขาต้องการหินหยกก้อนนี้ อีกทั้งคุณป้าเองก็ลำบากใจ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะค่ะ เช็คใบนั้นคุณป้าน่าจะยังไม่ได้ไปเบิกเป็นเงินสดใช่ไหมคะ?” 

 

“ยัง…จ้ะ…” คุณแม่หนิงพูด 

 

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนให้คุณป้าคืนมาให้หนูได้ไหมคะ แล้วหนูจะไป” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นเรียบๆ “หินหยกก้อนนั้นหนูก็ไม่เอาแล้ว แล้วก็ตามกฎที่ตกลงกันไว้ ดูเหมือนว่าหนูจะสามารถเรียกร้องค่าปรับได้ถึงสิบเปอร์เซ็นต์จากคุณป้าถูกไหมคะ? หนูไม่สนใจว่าหินก้อนนี้จะเป็นของคุณป้าหรือว่าของเขา แต่อย่างไรคุณป้าก็เป็นคนผิดนัดใช่ไหมคะ?” 

 

คุณแม่หนิงตกตะลึงอยู่นาน มีกฎแบบนี้ด้วยหรือ? 

 

“คุณผู้ชายท่านนี้ก็ทำธุรกิจหินหยกใช่ไหมคะ?” ซีเหมินจินเหลียนเหลือบดวงตากลมโตไปมองหน้าแดงกล่ำของเจียงเจิ้นพร้อมพูดขึ้นว่า “ให้ฉันเรียกคุณว่าอะไรดีคะ?” 

 

“ผมแซ่เจียง ชื่อเจิ้น!” เจียงเจิ้นสูดลมหายใจหันไปมองทางซีเหมินจินเหลียน 

 

“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าหินก้อนใหญ่นี้เป็นของคุณ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ ออกมา 

 

“ใช่! ตอนนั้นผมเคยบอกไว้ว่าจะเหมาซื้อหินหยกของเธอทั้งหมด แน่นอนต้องรวมถึงก้อนนี้ด้วยสิ ตอนนี้เธอก็ไม่มีสิทธิที่จะขายหินหยกก้อนนี้ทั้งนั้น!” เจียงเจิ้นพยักหน้า 

 

“ดีค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูดกับคุณแม่หนิง “คุณป้า คำพูดที่เขาพูดมาดูจะเป็นความจริง” เขาอยากจะไม่เล่นตามกติกาใช่ไหม? ได้ ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็มาเล่นกันให้หมดนี่ล่ะ เธอก็แค่แกล้งบอกว่าไม่ต้องการหินหยกก้อนนี้แล้ว 

 

ยังไงหินหยกก้อนนี้หากไปตกอยู่ในมือคนอื่น ขอแค่ฝ่ายนั้นไม่มีความกล้าตัดจากตรงกลางก็อย่าหวังจะได้เห็นหยกเลย 

 

“นี่…” คุณแม่หนิงได้แต่ถอนหายใจ ตอนนั้นเขาพูดแบบนี้จริงๆ แต่หินหยกก้อนนี้เขาก็ไม่ต้องการนี่นา ทำไมวันนี้ถึงได้กลับคำพูดล่ะ 

 

“คุณซีเหมิน คุณอย่าเพิ่งไปฟังเขาเลย เขาก็พูดจาส่งเดช ไม่มีเรื่องแบบนี้สักหน่อย!” หนิงชุ่ยฉินได้ยินแล้วก็ร้อนรนรีบพูดขึ้น นี่เป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่เธอจะได้ลืมตาอ้าปาก เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้หลุดมือแน่ แปดล้านเชียวนะ? นี่ก็เพียงพอที่จะให้พวกเธอไปซื้อบ้านชุดในเมืองแล้ว และใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ในอนาคตเธอจะได้หาคู่ครองที่ดีมาแต่งงานด้วย… 

 

แม้เจ้าสำนักเสี่ยวหมิงจะเคยเอ่ยปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเธอไว้ แต่ในใจเธอก็รู้ดีกว่าใครว่าเจ้าสำนักเสี่ยวหมิงคนนั้นคงแค่หยอกล้อเธอเท่านั้น ครอบครัวของพวกเขาคงไม่มีทางยอมเกี่ยวดองกับเธอแน่ แต่ถ้าหากเธอมีเงินแปดล้าน นั่นมันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว หลังจากนี้แม่ก็จะได้ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ตัวเธอก็ไม่ต้องเหมือนวิญญาณคอยเร่ร่อนทำงานในโรงงานแปรรูปของคนอื่น 

 

“คุณหนิง ถ้าเธอมีสิทธิ์มีเสียงพอที่จะตัดสินใจได้ ฉันก็คงจะไม่สนใจที่จะจ่ายหนักเพื่อซื้อหินใหญ่สักก้อนหรอก แต่นั่นก็ช่างเถอะ ฉันไม่อยากจะเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวด้วย ถ้าหินหยกก้อนนี้ไม่ใช่ของแม่เธอจริงๆ อย่างนั้นแล้วก็เท่ากับว่าแม่ของเธอก็ฉ้อโกงทางธุรกิจ ตามหลักแล้วต้องจ่ายค่าปรับให้ฉันสิบเปอร์เซ็นต์ด้วย คุณเจียง ฉันไม่ได้พูดผิดไปใช่ไหมคะ?” ซีเหมินจินเหลียนพูดจบก็ตั้งใจเหน็บแหนมไปทางเจียงเจิ้น 

 

เจียงเจิ้นปวดหัวไปหมด หรือข้อมูลที่เขาได้มาจะผิดพลาด? 

 

เขาได้ยินมาว่าขอแค่เป็นหินหยกที่เจ้าหญิงหยกคนนี้สนใจ หินนั่นก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น มีโอกาสสูงที่หินหยกมักจะเผยสีเขียว ดังนั้นตอนที่เขารู้ว่าซีเหมินจินเหลียนทุ่มเงินก้อนหนักเพื่อซื้อหินหยกของน้องสาวเขา เขาก็เลยไม่คิดอะไรมาก อาศัยจังหวะนี้ฉวยคำพูดที่เคยพูดไว้ในสมัยก่อน และพาคนมาขนย้ายไปก่อนที่ซีเหมินจินเหลียนจะมา 

 

ขอแค่เจ้าหญิงหยกคนนี้ต้องการ เขาจะได้โก่งราคาได้อย่างสบายเฉิบ 

 

แต่เมื่อวานที่ซีเหมินจินเหลียนซื้อหินหยกก้อนนี้ไป เดิมทีตัวเขาเองก็แปลกใจอยู่ไม่น้อย ได้ยินว่าเธอกับหลานสาวของตัวเองพูดคุยกันถูกคอ หรือว่าเธอแค่อยากจะช่วยหลานสาวของตนจริงๆ? 

 

ไม่อย่างนั้นน้องสาวเขาที่เปิดราคาไปแค่สองแสน แต่ทำไมเธอถึงยังยืนยันที่จะจ่ายไปตั้งแปดล้านล่ะ? สมองกลับหรืออย่างไร หรือว่ากลัวตัวเองจะมีเงินมากเกินไป? 

 

“คุณซีเหมิน ที่คุณพูดถูกต้องแล้ว” เจียงเจิ้นพยักหน้า 

 

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คุณป้าก็นำเช็คเงินสดใบนั้นมาคืนฉันเถอะค่ะ ส่วนเรื่องค่าปรับก็ช่างมันเถอะ ฉันก็ไม่ใช่คนใจดำกับเรื่องแค่นี้ แต่คุณป้าก็ไม่มีสัจจะจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น 

 

คุณแม่หนิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปหยิบเช็คเงินสดใบนั้นยื่นไปให้ซีเหมินจินเหลียน 

 

หนิงชุ่ยฉินส่งเสียงเรียกขึ้นว่า “แม่…” 

 

คุณแม่หนิงได้แต่ส่ายหน้าไม่ได้มองหนิงชุ่ยฉิน แต่เหลือบไปมองเจียงเจิ้นแวบหนึ่ง สีหน้าไม่สู้ดีนัก เดิมทีเจียงเจิ้นหน้าแดงกล่ำ แต่ตอนนี้พลันถอดสีไปเสียแล้ว 

 

ซีเหมินจินเหลียนรับเช็คมาและดึงมือจ่านป๋ายพลันหันหลังเดินจากไป 

 

“จินเหลียน…” เมื่อรอจนออกมาจากบ้านของหนิงชุ่ยฉินแล้ว จ่านป๋ายก็พูดขึ้นว่า “พวกเขาสมคบคิดกันเหรอ? คุณก็บอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าแม่ของหนิงชุ่ยฉินหน้าบางไม่กล้าทำอะไร?” 

 

“แต่เธอมีพี่ชายหน้าด้านอยู่!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด 

 

“จินเหลียน ตั้งแต่แรกคุณก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องให้ราคาสูงขนาดนั้นเลย ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่เกิดเรื่องเหมือนวันนี้ก็ได้” จ่านป๋ายฝืนยิ้มออกมา จิตใจของคนเราก็มีความโลภเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับคนจนที่หน้ามืดตามัว? 

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วพูดออกมาว่า “ถ้าฉันจ่ายไปสองแสน เธอก็คงไม่มีทางขายแน่” 

 

“ทำไมครับ?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนั้นก็เสนอราคาสองแสนขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอ? 

 

ซีเหมินจินเหลียนหักข้อนิ้วมือของตัวเองและถอนหายใจพูด “แม้ฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องธุรกิจหยกเท่าไหร่ แต่…สายอาชีพนี้ก็ไม่เหมือนธุรกิจอื่นจริงๆ ข้อแรกก็คือไม่มีราคาที่กำหนดไว้แน่นอน” 

 

“แน่นอนสิ ของเล่นแบบนี้จะไปตั้งราคามาตรฐานได้ยังไง?” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด 

 

“เพราะอย่างนั้นปัญหาหลากหลายรูปแบบเลยถาโถมเข้ามาไง” ซีเหมินจินเหลียนยกมุมปากพูดขึ้น “หินหยกก้อนหนึ่ง เดิมทีก็แค่สองแสน หากคนขายเปิดราคาด้วยหนึ่งล้าน คนซื้อคงต่อราคาลงมาเป็นสามแสน คนขายก็คงใช้ประโยชน์นี้กักตวงกำไรและทำธุรกิจกันถูกไหม?” 

 

“อืม!” จ่านป๋ายพยักหน้า การซื้อขายหินเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด นอกเสียจากเหมือนชายชราเมื่อวานท่านนั้น ชายชราท่านนั้นเมื่อวานก็นั่งขึ้นราคาสบายใจเฉิบ 

 

“ธุรกิจธรรมดาทั่วไปยึดมั่นคำสัญญาเป็นหลัก เมื่อตกลงราคาที่แน่นอนไว้แล้วก็ไม่สามารถกลับคำได้ เพราะผู้ขายต้องการเครดิต คนซื้อเมื่อซื้อสินค้ากลับไปแล้วก็ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นเอง ไม่ว่าจะเดิมพันแพ้หรือชนะก็เป็นของตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ขายแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูดต่อ “แต่แม่ของหนิงชุ่ยฉินไม่ใช่นักธุรกิจ ดังนั้นเธอเลยไม่ต้องการเครดิต เธอต้องการแค่ราคาสูง หรือจะพูดว่าเธอไม่เข้าใจกฎกติกาในตลาดหินหยกหรอก…”