ภายในที่บ้านต้นไม้

เมื่อเห็นว่าไอริสทีนและนักเวทกลับมาอีกครั้ง มาร์ธาจึงพูดเสียงแหลมขั้นมาว่า “ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีก ถ้าไม่เชื่อก็รายงานไปที่ฝ่าบาทและผู้อาวุโสเลย พวกเขาจะเป็นคนตัดสินใจเอง แต่ก่อนหน้านั้นโปรดอยู่ให้ห่างจากข้าให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลิ่นเหม็นจากจิตใจของเจ้าทำให้ข้าขยะแขยง!”

เฟลิเป้ และจูรีเซียนค่อนข้างสงบและผ่อนคลายราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาจึงหันกลับไปมองไอริสทีนแทน

ไอริสทีนสูดหายใจเข้าลึก ๆ และลุกขึ้นอย่างกล้าหาญ นางพูดกับมาร์ธาด้วยความรู้สึกไม่พอใจนัก “ท่านมาร์ธา นักเวทเชื่อว่าท่านเป็นผู้ต้องสงสัย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขอค้นบ้านต้นไม้และกระถางต้นไม้…”

“อะไรน่ะ? พวกเขาคิดว่าข้าเป็นผู้ต้องสงสัย?!” มาร์ธาดันไอริสทีนให้ออกไป และถามด้วยน้ำเสียงที่แหลมคม ความโกรธของนางกำลังก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ

พวกเอลฟ์ที่มองว่านางเป็นอาจารย์ก็รู้สึกขุ่นเคือง และโกรธมากเช่นกัน

ไอริสทีนรีบกล่าวเสริมว่า “ท่านแม่ก็เห็นด้วย”

มาร์ธาก้าวถอยหลังด้วยความประหลาดใจ นางแทบไม่เชื่อหูตัวเอง พวกเอลฟ์ที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจเช่นกัน ฝ่าบาสนับสนุนมนุษย์ที่ไร้เหตุผลเหล่านี้ได้อย่างไร!?

ไอริสทีนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่พูดออกไป และท่าทีของนางก็ผ่อนคลายขึ้น “ท่านมาร์ธา ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจเรื่องนี้ ต้นไม้เอลฟ์เป็นสิ่งที่พวกเราชาวเอลฟ์พึ่งพา และพวกเราทุกคนต้องการหาสาเหตุว่าทำไมจึงเกิดมลพิษขึ้นและต้องแก้ไข หากเราทำผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย แต่การสอบสวนจะดำเนินต่อไป หากมีเอลฟ์คนใดที่ปฏิเสธการสอบสวนอยู่เสมอมันก็จะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้มากนัก”

นางได้โยนความผิดทั้งหมดให้กับราชวงศ์เอลฟ์ และตัวนางเองโดยที่ไม่พูดถึงนักเวทและมนุษย์เลยแม้แต่คำเดียว แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะนุ่มนวล แต่นางก็แสดงความมุ่งมั่นมากมายในฐานะผู้นำ

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ได้สอนบทเรียนอันล้ำค่าให้กับนาง

เอลฟ์คนอื่น ๆ เริ่มพยักหน้า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต้นไม้เอลฟ์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจกับเรื่องนี้มากนัก แต่การขัดขวางการสืบสวนครั้งนี้เป็นการทำลายอนาคตของเผ่าพันธุ์เอลฟ์! พวกเขาควรจะให้ความร่วมมือตราบเท่าที่ไม่มีเอลฟ์คนใดถูกใส่ร้ายจากมนุษย์ที่กระหายเลือดเหล่านั้น

แต่เมื่อพวกเขามองไปทางนักเวท พวกเขาก็ยิ่งโกรธเคืองมากขึ้นราวกับว่าทุกอย่างเป็นความผิดของมนุษย์เหล่านั้น

ผิวหนังสีเขียวเข้มบนใบหน้าของมาร์ธาทำให้ยากที่จะบอกได้ว่านางกำลังรู้สึกอย่างไร หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่เมื่อทุกคนคิดว่านางยอมรับการถูกค้นหาแล้วจู่ ๆ นางก็พูดขึ้นมาว่า

“ข้าไม่อนุญาต! ฝ่าบาทกำลังถูกนักเวทสกปรกพวกนี้หลอก!”

“นี่เป็นการทำลายศักดิ์ศรี และจิตใจของข้า ฉันขอต่อต้านด้วยชีวิต!”

ท่าทีของนางทำให้พวกเอลฟ์ประหลาดใจมาก ท่าทีอย่างนี้ทำให้พวกเขาสงสัย หากนางเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ๆ การประท้วงต่อหน้าฝ่าบาท ผู้อาวุโส และเจ้าหญิงจะเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ หลังจากค้นหาเสร็จสิ้นแล้ว และไม่พบสิ่งใด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่โอกาสที่ดีนักที่จะแสดงอารมณ์ออกมา เว้นแต่ว่า …

“ท่านมาร์ธา ถ้าท่านกังวลว่าพวกนักเวทอาจจะสร้างหลักฐานปลอม ๆ ขึ้นมา ดังนั้นพวกเราจะอยู่ที่นั่นและคอยดูตลอดเวลา พลังของเราที่ได้รับจากธรรมชาตินั้นไม่ด้อยไปกว่าเวทมนตร์เลย” เอลฟ์หญิงพยายามเกลี้ยกล่อมมาร์ธา

เอลฟ์ชายอีกคนพยักหน้า “แม้ว่าพวกเขาจะมีหลักฐานปลอมอยู่บ้าง แต่การแสดงความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของท่านไม่ใช่เรื่องยากเลย นี่เป็นเรื่องทางมลพิษของต้นไม้เอลฟ์ ดังนั้นเราจึงต้องดูได้ว่าจุดดำบนต้นไม้เอลฟ์จะหายไปหรือไม่”

ไฮดี้เหลือบไปที่แอนนิคแล้วพยักหน้าให้จูรีเซียน พวกเขาแน่ใจแล้วว่ามาร์ธาซ่อนอะไรบางอย่างเพราะท่าทีของนางแสดงออกชัดเจนเกินไป

เมื่อได้ยินคำชักชวนท่าทีของมาร์ธาก็อ่อนลงเล็กน้อย นางพูดกับพวกเขาอย่างเย็นชาว่า “เอาเลย หากเจ้าไม่พบสิ่งใดโปรดจำไว้ว่าข้าจะไม่ยอมรับคำขอโทษของพวกเจ้า ข้าแค่หวังว่าพวกเจ้าจะออกจากป่าด้วยความอับอายของตัวเอง”

เฟลิเป้เดินไปในบ้านต้นไม้อย่างสบาย ๆ สองมือของเขายังคงล้วงกระเป๋าตลอดเวลา เขาก้าวขึ้นบันไดโปร่งแสงที่ทำจากอากาศและเดินตรงไปยังต้นไม้ทีละขั้น พวกเอลฟ์ก็รีบตามไปด้วยความกลัวว่าเขาจะทำสร้างหลังฐานปลอมใส่ร้ายมาร์ธา

จูรีเซียน ไฮดี้ และแอนนิคก็เดินตามไอริสทีนและมาร์ธาไป พวกเขาไม่ต้องการทำตัวให้พวกเอลฟ์โกรธอีกต่อไป

บ้านต้นไม้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีระเบียบ และสะอาดมาก อีกทั้งตัวบ้านก็ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้ และดอกไม้ นอกจากหนังสือเครื่องดนตรี และภาพวาดบางชิ้นก็ยังมีของประดับตกแต่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำจากกลีบดอกไม้แห้ง หินรูปร่างแปลก ๆ และใบไม้

ภายใต้คำสั่งของจูรีเซียน แอนนิค และนักเวทคนอื่น ๆ ก็เริ่มค้นหาทุกซอกทุกมุมของบ้านต้นไม้ทั้งสองแห่ง อัลเฟอร์ริสเป็นคนที่มีแรงจูงใจมากที่สุดในบรรดาพวกเขาก็ยังวิ่งไปมาในหมู่เอลฟ์ ดวงตาของมันส่องประกายราวกับอัญมณีขณะที่มันจดจำทุกสิ่งที่ส่องประกายในสถานที่แห่งนี้ บางครั้งอุ้งเท้าเล็ก ๆ ของมันก็หยิบสิ่งของที่ส่องแสงขึ้นมาเป็นครั้งคราว และไม่เต็มใจที่จะวางลง

ในตอนนี้เอง เฟลิเป้ได้หยิบสมุดบันทึกขึ้นมา และเริ่มเปิดอ่าน

“นี่คือโน้ตดนตรีและการเต้นรำ เจ้าอ่านออกไหมล่ะ?” มาร์ธากล่าวอย่างประชดประชัน

เมื่อได้ยินคำว่า “ดนตรี” ในภาษาเอลฟ์ มือขวาของเฟลิเป้ก็กระตุกเล็กน้อยจากนั้นเขาก็พูดตอบกลับนางอย่างเย็นชาว่า “เอาง่ายๆ น่ะ ความสามารถด้านศิลปะของข้าไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิด”

“โอ้ งั้นหรือ? เจ้าถนัดที่จะใช้กระดูกโคนขาของคนตายเป็นปี่ หรือกระดูกซี่โครงของเจ้าเองมาเป็นพิณล่ะ?” มาร์ธาพูดอย่างขมขื่นเมื่อรู้ว่าเฟลิเป้เป็นหมอผี

เฟลิเป้อ่านโน้ตต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดนั้น

หลังจากนั้นไม่นานพวกนักเวทก็ทำการค้นหาเสร็จสิ้น แต่ก็ไม่พบอะไรเลย

เฟลิเป้เงยหน้าขึ้น และใบหน้าที่ดูซีดเซียวของเขาก็ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง “ท่านมาร์ธา ข้าอยากถามคำถามกับท่านหนึ่งข้อ ทำไมท่านถึงใส่ความคิดเหล่านี้ไว้ในภาพแต่ละภาพที่บันทึกเกี่ยวกับระบำล้างแค้นกันล่ะ? ความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับความเกลียดชังต่อธรรมชาติ และบาปของมนุษย์ สำหรับข้ามันดูเหมือนพิธีกรรมพิเศษหรือภาษาสำหรับพิธีกรรม”

แววตาของนักเวทที่เหลือสว่างวาบ แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการค้นพบนั้นง่ายดายเกินไป

มาร์ธาอธิบายอย่างเศร้าโศก “เพื่ออธิบายความสำคัญของการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้ง พวกมันเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมตรงไหน?”

“ในฐานะนักเต้นอย่างท่าน ถ้าพวกมันเป็นเพียงสิ่งจำเป็นบางอย่าง มันก็ไม่จำเป็นต้องบันทึกอะไรมากมาย ท่านกำลังเปลี่ยนให้มันเป็นการบรรยายและคำปฏิญาณ” เฟลิเป้พูดอย่างเย็นชา

เมื่อเอลฟ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มาร์ธากำลังจะอธิบาย เฟลิเป้ก็หยิบหนังสือออกมา “นี่คือพิธีกรรมพิเศษสำหรับการเรียกปีศาจ ทุกคนสามารถดูได้เพื่อดูว่าเหมือนกันหรือไม่”

ไอริสทีนเหลือบไปมองที่หนังสือ และเห็นชื่อหนังสือว่า :พิธีกรรมอัญเชิญพิเศษของไวเค็น

“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว” มาร์ธามองออกไป และหัวเราะเยาะ

เอลฟ์คนอื่น ๆ เข้ามาและเริ่มอ่านหนังสือด้วยความสับสน

ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเริ่มอ่าน จู่ ๆ มาร์ธาก็ก้าวถอยหลัง และเดินไปที่ขอบเขตบ้านต้นไม้ จากนั้นนางก็โยนไม้เท้าของนางขึ้นไปในอากาศ จากนั้นไม้เท้าก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นสัตว์ประหลาดสีเขียวเข้มสูงประมาณสองเมตร

ในเวลานี้เองคลื่นสีดำที่นางอัญเชิญออกมาก็พุ่งเข้าใส่พวกนักเวท

นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดของดรูอิดที่เรียกว่าแมลงไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีผลทำให้คัน เป็นอัมพาต และมึนงง ครั้งหนึ่งนักเวทเคยถูกกับดักแมลงแบบนี้กักขังไว้ ทำให้การร่ายเวทย์ทั้งหมดหยุดชะงักรวมถึงคาถาที่สลักอยู่ในจิตวิญญาณด้วย ดังนั้นนี้จึงเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมของดรูอิดในการต่อต้านการร่ายเวทย์

เอลฟ์ที่เหลือต่างตกตะลึงกับการต่อสู้ที่ไม่คาดคิดนี้ แต่นักเวทก็เตรียมตัวมาอย่างดี

อัลเฟอร์ริสไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นกบ ดังนั้นมันจึงไม่ชอบแมลงเป็นอย่างมาก มันเงยหน้าขึ้น และคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พลังในการคำรามของมันทำให้แมลงในอากาศสะดุ้งเล็กน้อย

จากนั้นสนามแม่เหล็กแรงสูงก็ปกคลุมบ้านต้นไม้ และบิดเบือนทุกอย่างในนั้น

ภายใต้อำนาจของสนามแม่เหล็กที่แข็งแกร่ง แมลงเวทมนตร์ถูกฉีกกระชากในขณะที่พวกมันยังคงวัตถุ

มาร์ธากระโดดถอยหลังขึ้นไปในอากาศ ต้นไม้รอบ ๆ ตัวนางก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมา ต้นไม้เหล่านี้มีความสูงไม่กี่เมตร และพวกมันก็ได้ทำการโอบล้อมบ้านต้นไม้จากทุกทิศทาง

“นักเวทสกปรกกำลังใส่ร้ายข้า! ข้าจะไปหาท่านเฟอร์รากอนด์!” มาร์ธาพูดเสียงดัง

มือของเฟลิเป้ยังคงอยู่ในกระเป๋า แต่ภาพลวงตาสีดำกำลังรวมตัวกันรอบตัวเขาเหมือนคลื่น

ทันทีที่สัตว์ประหลาดสีเขียวเข้มของมาร์ธาสัมผัสกับคลื่นที่เป็นพิษนี้ ทำให้ผิวหนังของมันสูญเสียความแวววาวลงไปทันที พลังทั้งหมดของพวกมันกำลังอ่อนแอลง ราวกับว่าความแข็งแกร่งของพวกมันถูกพรากออกไป

เวทหมอผีวงแหวนที่ 7คลื่นมรณะ!

คลื่นสีดำไม่ส่งผลกระทบต่อนักเวทเลยราวกับว่ามันมีสติปัญญาของตัวเองซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าเฟลิเป้สามารถควบคุมเวทมนต์วงแหวนที่เจ็ดนี้ได้ดีเยี่ยม ส่วนนักเวทย์ระดับสูงส่วนใหญ่ พวกเขาไม่สามารถทำให้คลื่นแยกแยะระหว่างมิตรและศัตรูได้

ไฮดี้พูดกับแอนนิคผ่านทางกระแสจิตว่า “ใช้พิธีกรรม เราปล่อยนางไปไม่ได้!”

ไฮดี้ไม่สามารถทำพิธีแบบนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่แอนนิคค่อนข้างร่ำรวย ดังนั้นนางจึงทำแทนเขา

ภายในเมืองนิรนาม

ปรากฏการณ์พลังงานไฟฟ้าที่ทรงพลังมาก และกระแสไฟฟ้าที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าที่ปล่อยออกมานั้นเป็นอันตรายอย่างมากซึ่งนั้นทำให้เกิดเสียงหึ่ง ๆ ที่น่ากลัวออกมาด้วย

เมสันเริ่มสูญเสียการมองเห็น และเขาเริ่มตระหนักว่าเขาได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว สิ่งที่เขาเหลืออยู่คือความมุ่งมั่นเท่านั้น

ในเวลานี้เอง แสงที่อบอุ่น และนุ่มนวลก็สาดส่องลงมาที่ตัวเขาซึ่งทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายในทันที และภายในไม่กี่วินาทีกระแสไฟฟ้าก็สลายหายไปทั้งหมด

“ใคร…?” เมสันถามด้วยเสียงแหบแห้ง

น้ำเสียงที่นุ่มนวล และเป็นมิตรดังขึ้น “ข้าคือแอตแลนต์ จากสภาเวทมนตร์ หากข้าอยู่ที่นี่จะไม่มีใครทำร้ายพวกเจ้าได้”

ในที่สุดเมสันก็ผ่อนคลายเต็มที่ และหันกลับไปมองมนุษย์ด้วยท่าทีความอ่อนแออย่างแท้จริง

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง แอตแลนต์ก็กล่าวกับแลงค์เชียร์, เซลินดา และโลเดลล์ว่า “ได้รับการยืนยันแล้วว่าแมททิว และเอลฟ์ระดับสูงหลายคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พวกเขาพยายามที่จะใช้เมือง และสมาชิกระดับสูงจำนวนมากเพื่ออัญเชิญปีศาจแห่งความแค้นที่แท้จริงออกมา แต่ภาพมายาสะท้อนของปีศาจก็ถูกระเบิดทั้งหมด เราไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง”

“มันเป็นข้อเสนอของเฟอร์รากอนด์ในการปิดล้อมเมือง” แลงค์เชียร์กล่าวอย่างเศร้าโศก

เซลินดาพยักหน้า “เอลฟ์เหล่านั้นมาจากนิกายกบฏธรรมชาติ พวกเขารู้จักแมททิวดี”

โลเดลล์ยังคงตกตะลึง “เป็นเฟอร์รากอนด์เหรอ? แต่เขาทำเพื่ออะไรล่ะ?”

“เขาเป็นหัวหน้านิกายกบฏธรรมชาติ บางทีนั่นจึงอาจเป็นเหตุผล! อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าต้องกลับไปที่บ้านต้นไม้ไม่ว่าเขาจะสงสัยหรือไม่ก็ตาม โปรดดูแลสถานที่แห่งนี้ด้วย” แลงค์เชียร์กล่าวอย่างกระวนกระวาย

แอตแลนต์หลับตาลง “ข้ากำลังจะกลับไปเหมือนกัน เราไม่สามารถปล่อยให้จูรีเซียนและคนอื่น ๆ ตกอยู่ในอันตรายได้”

ราชินีเอลฟ์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ต้นไม้เอลฟ์เป็นพิษต่อไป แม้ว่านางจะสามารถต่อสู้กับเอลฟ์ทั่วไปได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฟอร์รากอนด์ “ผู้ล้างแค้นแห่งธรรมชาติ” พลังของนางก็จะถูกจำกัดอย่างรุนแรง

“เราจะอยู่ที่นี่และรักษารอยแยกไว้จนกว่าผู้เฒ่า และท่านอีวานส์จะกลับมา” โลเดลล์พยักหน้า

ทั้งเขาและเซลินดาไม่ได้เป็นเอลฟ์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอยู่ให้ห่างจากความขัดแย้งภายในระหว่างเอลฟ์

เฟลิเป้ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นภูตผีก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของมาร์ธา ภูตผีนั้นโปร่งแสง แต่คลุมด้วยชุดคลุมสีดำ มันยังคงกลับไปกลับมาระหว่างโลกวัตถุหลัก และโลกแห่งวิญญาณได้ มันใช้เวทมนตร์ทุกชนิดเพื่อป้องกันไม่ให้มาร์ธาหนีไป

นี่คือเวทมนต์อัญเชิญแบบใหม่ที่หัตถ์ไร้ชีวาหยิบยกมาใช้หลังจากศึกษาโลกแห่งวิญญาณมาหลายปี ผู้ร่ายเวทสามารถเรียกภูตผีเหมือนไวเค็นที่สามารถย้อนกลับไปมาระหว่างช่องว่างทั้งสองได้ ดังนั้นภูตผีพวกนี้จึงยากที่จะกำจัด และยังมีพลังมากอีกด้วย

มาร์ธาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ นางถูกภูตผีระดับสูงพวกนี้กักขังไว้ ตอนนี้มีทับทิมอยู่ในมือของจูรีเซียนที่ทำให้ดวงตาของอัลเฟอร์ริสเป็นประกาย ทับทิมยิงรังสีใส่มาร์ธาเร็วมากก่อนที่ใครจะทันทำอะไร

รังสีพุ่งเข้าหามาร์ธาอย่างแรง และปลดโล่ป้องกันออก

แอนนิคเตรียมพิธีเพื่ออัญเชิญมิติพิเศษอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ไฮดี้กำลังหาโอกาสที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ นางเห็นว่าเฟลิเป้ยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง

แต่คราวนี้จู่ ๆ ข้อมือขวาของเฟลิเป้ก็ขาด! จากนั้นมือที่ขาดก็พุ่งขึ้นไปในอากาศและคว้าหมับเข้าที่ใบหน้าของมาร์ธา

จากนั้นเส้นเลือดที่น่าขนลุกก็งอกทะลุออกมาจากมือที่ขาดและขังมาร์ธาไว้ข้างใน

เมื่อมาร์ธาอยู่ในสภาพสิ้นหวัง น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของนางก็ดังขึ้น “ไอ้มนุษย์ระยำ! เจ้ากล้าต่อสู้ในบ้านต้นไม้ได้อย่างไร?”

“ท่านเฟอร์รากอนด์ ข้าถูกมนุษย์ใส่ร้าย! พวกเขาบอกว่าข้าอัญเชิญปีศาจออกมา!”