ตอนที่ 119-3 คืนเข้าหอที่แสนตลกขบขัน

จำนนรักชายาตัวร้าย

คิดเช่นนั้น อีกสักครู่ที่เบื้องหลังของขบวนเจ้าบ่าวจึงเกิดลมเย็นพัดมา แล้วค่อยๆ กลายเป็นลมที่เย็นยะเยือก สุดท้ายกลายเป็นลมพายุที่หนาวเหน็บ

 

 

“เกิดอะไรขึ้น”

 

 

“น่ากลัวเหลือเกินว่าไหม!”

 

 

ดูเหมือนว่ายิ่งพวกเขาเดินเชื่องช้าเท่าไหร่ ลมพายุที่หนาวเย็นยะเยือกที่ด้านหลังก็ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น

 

 

ทำให้ทุกคนต้องรีบจ้ำอ้าวอย่างรวดเร็ว

 

 

ครั้นเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนนำขบวนเจ้าบ่าวมาถึงที่หน้าจวนอ๋องนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงถึงกับพระวรกายซวนเซจวนจะล้ม โชคดีที่เซี่ยงจิ้นประคองเอาไว้ได้

 

 

ยังดีที่ไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น ลูกชายรับลูกสะใภ้กลับมายังจวนอย่างปลอดภัย!

 

 

ตอนที่เข้าพิธีไหว้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้ากรมพิธีการอ่านผิดจริงๆ หรือเจตนากันแน่ เพราะประโยคที่เขาควรจะขานว่า ‘สองไหว้ฮ่องเต้’ เป็น กลับขานเป็น ‘สองไหว้บิดามารดา’ เสียอย่างนั้น

 

 

วันนี้มีแขกเหรื่อเดินทางมาที่จวนหลินเจียงอ๋องมากมาย ไม่เพียงแต่ราชสกุลเท่านั้น ยังมีขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ เมื่อทุกคนได้ยินในสิ่งที่เจ้ากรมขาน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องปาดเหงื่อแทนเจ้ากรมทีเดียว

 

 

ในเวลาสำคัญเช่นนี้ จะกระทำสิ่งผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้ได้อย่างไร!

 

 

แต่ดูเหมือนว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนน่าจะมีความสุขมาก จึงไม่ได้มีปัญหาขุ่นข้องหมองใจแต่อย่างใด ยังคงคารวะซย่าโหวจวินอวี่ต่อไป

 

 

“ดีๆ!”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

 

 

ที่เบื้องขวาของฮ่องเต้ มีกล่องผ้าแพรกล่องหนึ่งวางอยู่

 

 

ไม่มีใครรู้ ว่าด้านในบรรจุหยกประจำกายที่มู่หรงเยียนมักจะห้อยติดตัวตลอดเวลาวางเอาไว้

 

 

“พี่เยียน ท่านเห็นหรือยัง”

 

 

“ลูกชายของเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วทั้งแต่งงานแล้วด้วย!”

 

 

“ในที่สุดเขาก็ยอมรับพวกเรา!”

 

 

รอจนกระทั่งบ่าวสาวทำพิธีเสร็จเรียบร้อย ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นมาแนบอกเฉกเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่อยู่ที่จวนพระยาภักดี แล้วตรงเข้าไปในห้องหอที่จัดไว้ทันที

 

 

“แคกๆ!”

 

 

ฮ่องเต้ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยายสภาพจิตใจของตนเองในตอนนี้ได้เลย

 

 

พระองค์ทรงแสร้งทำเป็นดื่มน้ำชา โดยที่ไม่มองสีหน้าของแขกเหรื่อเลย

 

 

สมแล้วที่เป็นท่านอ๋อง!

 

 

เซี่ยงจิ้นนับถือในตัวซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก

 

 

มีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร เป็นผู้นำที่ยืนหยัดเพียงลำพัง ไม่มีใครเก่งกาจห้าวหาญถึงเพียงนี้อีกแล้ว!

 

 

แขกเหรื่อผู้มาร่วมงานถึงกับตกตะลึงไปครู่ใหญ่ หลังจากนั้นก็เข้ามาแสดงความยินดีกับซย่าโหวจวินอวี่พร้อมกับเสียงหัวเราะกันใหญ่

 

 

พวกเขาไหนเลยจะกล้ามีคำถามกับ ‘การกระทำ’ แต่ละย่างก้าวของหลินเจียงอ๋องได้!

 

 

เขาไม่เพียงแต่เป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ทรงไว้พระทัยที่สุดเท่านั้น ยังเป็นจอมเทวาอีกด้วย! ส่วนฮูหยินของเขาคือปรมาจารย์ที่พ่วงตำแหน่งจักรพรรดิโอสถ! กลายเป็นคู่สามีภรรยาที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ไปแล้ว ใครกันเล่าที่จะไม่ดูตาม้าตาเรือ สิ้นคิดอยากซวยไปล่วงเกินพวกเขาได้

 

 

จนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนส่งตัวอวี้เฟยเยียนเข้าห้องหอเรียบร้อยแล้ว เมื่อเดินออกมาก็พบว่าที่ด้านนอกห้องก็มีคนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามาล้อมเขาเอาไว้

 

 

“ท่านลุงสิบสี่ ข้ามาเพื่อก่อกวนห้องหอของท่าน!”

 

 

คนที่ร้องขึ้นนั้นคือองค์ชายหก ซย่าโหวหลิน

 

 

คือโอรสองค์เล็กที่สุดของซย่าโหวจวินอวี่ เพิ่งจะอายุเพียงแค่สิบขวบ ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง และเคารพนับถือซย่าโหวฉิงเทียนเป็นที่สุดเช่นกัน

 

 

บรรดาราชนิกุลฝ่ายหญิง เหล่าองค์หญิง พระญาติที่เป็นผู้หญิงต่างก็กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยืนเรียงรายอยู่เบื้องหลังซย่าโหวหลิน พวกนางพากันมาเพื่อต้องการมายลโฉมพระชายาของหลินเจียงอ๋องนะสิ

 

 

เพียงแต่ทุกคนรู้ดีว่า ซย่าโหวฉิงเทียนมีนิสัยเข้าหายากสักหน่อย จึงได้เรียกให้ซย่าโหวหลินที่เยาว์วัยมากที่สุดเป็นคนออกหน้า

 

 

“ก่อกวนห้องหอ”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนได้ยินดังนั้นก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที

 

 

แมวน้อยเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว หากต้องมีผู้หญิงเป็นฝูงมาห้อมล้อมจ้องมอง เช่นนั้นมิกลายเป็นละครลิงไปหรืออย่างไรกัน

 

 

พลันซย่าโหวฉิงเทียนจึงทำมือส่งสัญญาณ

 

 

เสียง “โห่ง…บรู๊ว…” ก็ดังขึ้น

 

 

หานจื่อตัวใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏตรงเบื้องหน้าของผู้หญิงพวกนั้นทันที

 

 

“พวกเจ้าต้องการก่อกวนห้องหอนะได้ แต่ต้องผ่านด่านมันให้ได้ก่อน!”

 

 

หานจื่อเมื่อได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนมอบหมายภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง ก็รีบยืดหลังตรง ยื่นหน้าออกไปคำรามใส่พวกนางอย่างดุร้ายทันที

 

 

“แม่นางน้อย เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”

 

 

หานจื่อแยกเขี้ยวยิงฟัน เผยให้ฟันสีเงินซี่ใหญ่ยักษ์

 

 

เมื่อเห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่แยกเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หน้าห้องหอเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันถอยออกไปทันที

 

 

น่ากลัวชะมัด!

 

 

ใครแต่งงานแล้วไม่มีการก่อกวนห้องหอบ้าง!

 

 

มีเจ้าสาวที่ไหนไม่ถูกเห็นหน้าบ้าง

 

 

เหตุใดเมื่อถึงคราวของซย่าโหวฉิงเทียน ประเพณีเหล่านี้กลับใช้การไม่ได้เสียแล้ว

 

 

ท่านลุงสิบสี่รักใคร่หวงแหนท่านป้าสิบสี่ยิ่งนัก!

 

 

พระชายาแห่งฮั่นอ๋อง ใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากแล้วหัวเราะขึ้นมา

 

 

“ท่านลุงสิบสี่ไม่รู้อะไร! ยิ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกแกล้งมากเท่าไหร่ ท่านสองคนก็จะยิ่งรักกันยืนนานมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น! นี่เป็นธรรมเนียม!”

 

 

หลังจากซย่าโหวหนานถูกปลดจากตำแหน่ง ซย่าโหวจวินอวี่ก็ใช้อำนาจลึกลับ แต่งตั้งลูกชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วทั้งสามคนให้เป็นอ๋อง แล้วส่งพวกเขาไปประจำที่หัวเมืองต่างๆ ในทันทีทันใด

 

 

ฮั่นอ๋องคือโอรสองค์ที่สามของซย่าโหวจวิอนวี่ ซย่าโหวฉุน

 

 

เพื่องานมงคลของซย่าโหวฉิงเทียน อ๋องสามถึงกับพาครอบครัวรีบเดินทางมาอวยพรทันที

 

 

“ไม่จำเป็น! ข้ากับพระชายาจะต้องรักกันมั่นคง อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าอย่างแน่นอน!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนทิ้งคนกลุ่มนั้นเอาไว้ที่ด้านนอก ส่วนตัวเองกลับเข้าไปในห้องหอ

 

 

“ท่านอ๋อง ทรงเข้ามาตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือเพคะ”

 

 

นางกำนัลที่ปรนนิบัติอวี้เฟยเยียนเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามาอีกครั้ง ก็ถึงกับปวดหัว ท่านอ๋องที่ไม่ยอมปฏิบัติตามประเพณีเช่นนี้ ทำให้คนลำบากใจจริงๆ เลย!

 

 

“ท่านอ๋องควรจะออกไปดื่มขอบคุณแขกเหรื่อ! ตอนนี้ท่านอ๋องยังพบหน้าเจ้าสาวไม่ได้นะเพคะ!”

 

 

“ข้าจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาคอยบงการ!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนตวัดสายตาเย็นชาจ้องมองไปที่นางกำนัลผู้นั้น จนกระทั่งนางตกใจกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา เขาถึงได้ละสายตา

 

 

“บ่าวผิดไปแล้วเพคะ!”

 

 

นางกำนัลผู้นั้น ‘ตึก’ คุกเข่าลง นางกำเริบเสิบสาน ลืมฐานะตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

 

 

“ไสหัวไป…”

 

 

หากมิใช่เพราะเกรงจะทำให้อวี้เฟยเยียนตกอกตกใจละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนเกือบจะหิ้วนางขึ้นมาแล้วเหวี่ยงออกไปให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

“เพคะ…”

 

 

นางกำนัลโซซัดโซเซออกจากห้องหอไป ผู้คนที่อยู่ด้านนอกเห็นภาพเช่นนั้นเข้า ก็ถึงกับงงงวยไปตามๆ กัน เกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางกำนัลถึงได้ตกใจถึงเพียงนั้น

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีเวลาไปสนใจความคิดของใคร เขาตรงเข้าไปหยิบไม้คันชั่งช้อนเปิดผ้าคลุมหน้าของอวี้เฟยเยียนออก

 

 

“แมวน้อย เจ้าเหนื่อยหรือไม่!”

 

 

เมื่อครู่ยังเป็นคนร้ายหน้าโหดอยู่เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นเจ้าบ่าวที่อ่อนโยนไปเสียแล้ว

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนถอดมงกุฎประดับศีรษะของอวี้เฟยเยียนออก พร้อมกับดึงปิ่นปักผมของนางออกมาด้วย

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ช่างจัดหนักจัดเต็มจริงๆ เพียงแค่มงกุฎประดับศีรษะอันเดียว ก็ใช้มุกบูรพาปาเข้าไปถึงสิบแปดเม็ดเข้าไปแล้ว ยิ่งมิต้องพูดถึงอัญมณีเครื่องประดับอื่นๆ เลย ว่าเลี่ยมหรือล้อมด้วยมูลค่ามากมายเพียงใด

 

 

แม้ว่าเครื่องประดับเพชรนิลจินดาจะสวยงาม แต่มันก็หนักมากเช่นกัน!

 

 

ยิ่งแทบไม่ต้องเอ่ยถึงเครื่องประดับอื่นๆ เช่นชุดเจ้าสาวปักลวดลายมังกรและหงส์มงคล ร้อยตะเข็บด้วยไข่มุกและหยกน้ำงาม และอัญมณีวาววับ ทำให้อวี้เฟยเยียนใส่จนเหนื่อย

 

 

เหนื่อยเสียยิ่งกว่าประมือกับซย่าโหวฉิงเทียนทั้งบ่ายเสียอีก

 

 

แต่ถึงแม้จะเหนื่อยมาก แต่อวี้เฟยเยียนก็ยังตกตะลึงกับการกระทำของซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ดี

 

 

ในเวลานี้คือช่วงกลางวัน เขามิควรจะโดนมอมสุราอยู่ในงาน ตกกลางคืนค่อยกลับมาในสภาพเมามายหรอกหรือ นั่นต่างหากถึงเป็นขึ้นตอนที่ถูกต้อง!

 

 

‘ตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนถอดเครื่องเคราให้กับนาง นี่เขาจะทำอะไร!’

 

 

‘อนาจารกลางวันแสกๆ ’

 

 

‘นางก็เขินอายเป็นนะ!’

 

 

คิดไปคิดมา แก้มทั้งสองข้างของอวี้เฟยเยียนก็แดงราวกับลูกแอปเปิลอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

 

มองดูแก้มทั้งสองข้างที่แดงระเรื่อจนถึงใบหูของอวี้เฟยเยียน ทำเอาเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนเริ่มแหบพร่า

 

 

“ปวดเมื่อยคอยิ่งนัก!”

 

 

อวี้เฟยเยียนแก้มแดง ปากน้อยๆ สีแดงสดนั่นกำลังห่อเข้าด้วยกัน

 

 

ทันใดนั้นมือใหญ่ทั้งสองข้างก็วางบนส่วนลำคอของนางเพื่อบีบนวดให้กับนาง

 

 

“สบายจังเลย!”

 

 

อวี้เฟยเยียนหลับตาพริ้ม ราวกับแมวน้อยจอมขี้เกียจก็ไม่ปาน

 

 

“เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถอะ พี่จะสั่งให้เสวี่ยเยี่ยนทำอะไรอร่อยๆ มาให้เจ้ากิน อีกเดี๋ยวจะยกเข้ามาให้นะ!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสาร

 

 

คราวนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้แล้วว่าซย่าโหวฉิงเทียน เป็นห่วงเป็นใยใส่ใจนางจริงๆ เท่านั้นมิได้คิดเป็นอื่น

 

 

นางเข้าใจผิดเอง…

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนถอดชุดเจ้าสาวให้กับอวี้เฟยเยียนด้วยความชำนาญ ทั้งยังปรนนิบัตินางเปลี่ยนชุดเป็นชุดกระโปรงลำลองแบบอยู่บ้านสบายๆ อีกด้วย

 

 

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นไปตามธรรมชาติและนุ่มนวล เพียงแค่มองก็รู้ได้ในทันทีว่าจะต้องทำเป็นประจำ

 

 

คนทั้งสองแสดงความรักต่อกันราวกับว่าข้างๆ ไม่มีใครอยู่ด้วยอย่างไรอย่างนั้น จนนางกำนัลทั้งหลายที่รายล้อมอยู่ข้างๆ ต่างพากันก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้ามองพวกเขาทั้งสองคนด้วยซ้ำ

 

 

‘สวรรค์ นี่พวกนางมาเห็นอะไรเข้า!’

 

 

‘หลินเจียงอ๋องเป็นทาสเมีย!’

 

 

‘พวกเขามารู้ความจริงเช่นนี้จะถูกฆ่าปิดปากไหมนะ’

 

 

“ดี!”