บทที่ 67 พร้อมหน้าพร้อมตาในวันฉูซี

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1

บทที่ 67 พร้อมหน้าพร้อมตาในวันฉูซี โดย Ink Stone_Romance

ในห้องครัวของบ้านเดิม อวี๋หวั่น ลุงใหญ่ และป้าสะใภ้ใหญ่ง่วนอยู่กับการเตรียมของสำหรับคืนวันส่งท้ายปี อวี๋หวั่นชำนิชำนาญการใช้มีด หน้าที่หลักของเธอจึงเป็นการหั่นผัก ส่วนป้าใหญ่ล้างผัก และลุงใหญ่ทำอาหาร

นี่เป็นการกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรกหลังจากที่ทั้งสองครอบครัวแยกบ้านไป พวกเขามิได้พูดออกมา ทว่าในใจล้วนรู้สึกปรีดา

ลุงใหญ่ทำอาหารหลากหลาย มีทั้งลูกไก่ตุ๋นเห็ด ปลาหลี่อวี๋น้ำแดง ผักอบวุ้นเส้น กระดูกหมูซีอิ๊ว ทั้งหมดนี้ล้วนอาหารโปรดของอวี๋เซ่าชิง แม้ว่าอวี๋เซ่าชิงจะไม่อยู่ แต่อาหวั่นก็สืบทอดความชื่นชอบจากบิดามา

นอกจากนั้น ยังมีรากบัวตุ๋นขาหมู หมูสามชั้นนึ่งซีอิ๊ว ปอเปี๊ยะทอด และเหนียนโต้วเปา[1]ที่นางเจียงกับเด็กๆ ชอบกินอีกด้วย

“ไฉนถึงทำเนื้อแพะน้ำแดงมากเพียงนี้เล่า?” ท่านป้าเอ่ยถาม อาหารประเภทนี้มิใช่ทำง่ายๆ เขาทำมาเต็มหม้อ อาหารในวันนี้มีมากเพียงพอแล้ว

ลุงใหญ่ยิ้มอย่างจริงใจ “เจ้ามิได้ชอบกินมากหรอกหรือ?”

ป้าสะใภ้ใหญ่หน้าแดง แต่ยังคงวางสีหน้าเรียบเฉยพลางกล่าวว่า “ใคร ใครชอบกินกัน!”

ในบรรดาของที่เถี่ยตั้นน้อยนำชงโหยวปิ่งสองชิ้นไปแลกมา มีอาหารทะเลซึ่งอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารอีกจำนวนหนึ่ง อวี๋หวั่นจึงนำมาให้ลุงใหญ่ทำอาหาร

ลุงใหญ่ฝีมือดียิ่ง ทำอาหารทะเลออกมา ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย

อาหารสำหรับคืนวันส่งท้ายปีนี้ เรียกได้ว่ามีหลากหลายมากทีเดียว

อาหารพร้อมแล้ว กำลังจะจัดวางขึ้นโต๊ะ อวี๋หวั่นจึงเดินออกมายังลานบ้าน เงยหน้าขึ้นถามว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง หลังคาซ่อมเสร็จหรือยัง”

อวี๋เฟิงตอบว่า “เสร็จแล้ว กำลังจะลงไป!”

ทั้งสองค่อยๆ ปีนบันไดไปลงมา

อวี๋หวั่นมองเข้าไปในโถงกลางบ้าน แล้วกล่าวกับเถี่ยตั้นน้อยซึ่งกำลังแทะลูกแพรแช่แข็งว่า “ไปเรียกท่านแม่กับเจินเจินมากินข้าว”

เถี่ยตั้นน้อยมีปฏิกริยาต่อต้านทันที “ข้าไม่ไปหรอก!”

พูดจบก็เผ่นหนีไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา

“เด็กคนนี้!” อวี๋หวั่นจึงจำต้องเดินไปเอง

“ท่านแม่” เมื่อใกล้ถึงปากประตู อวี๋หวั่นส่งเสียงเรียกเบาๆ

ไม่มีเสียงตอบกลับมา

เธอจึงผลักประตูด้านหน้าเข้าไป แล้วก็ได้ยินนางเจียงหัวเราะลั่นจนคล้ายเสียงหมูร้อง

เสียงนี้ประหลาดนัก อวี๋หวั่นรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน เดินตุปัดตุเป๋ จนเกือบชนเข้ากับประตู!

เสียงจากในห้องเงียบลงทันที

“อาหวั่นมาแล้วหรือ?”

เสียงของนางเจียงอันอ่อนโยนดุจสายน้ำดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

อวี๋หวั่นสงสัยว่าตนอาจจะหูเพี้ยนไป

ต…ต้องหูเพี้ยนแน่ๆ ท่านแม่ของเธอเป็นถึงคุณหนูจากตระกูลใหญ่ มิใช่โจรหรืออะไร จะหัวเราะลั่นเหมือนหมูได้อย่างไรกัน?

จะว่าไปแล้ว ท่านแม่กำลังทำอะไรอยู่นะ

 อวี๋หวั่นผลักประตูห้องเข้าไป ก็เห็นนางเจียงกำลั่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่น้ำยาเคลือบหลุดออกไป นางหันหลังให้ประตูมือหนึ่งถือแป้งชาด อีกมือหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าด้านหน้าของนาง นางกำลังเช็ดๆ ถูๆ บนใบหน้าของเด็กสามคนซึ่งสวมเสื้อคลุมสีแดงปักดิ้นลายดอกไม้ บนหัวมีดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ คิ้วโก่งเข้ม ปากสีแดงเถือก

อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตาของเธอเกือบบอดเสียแล้ว…

ในตอนที่ลุงวั่นนำผ้ามาส่งที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เยี่ยนจิ่วเฉาก็ขึ้นรถม้าออกจากจวนเช่นกัน ทว่ามเขามุ่งหน้าไปวังหลวง

เขานั่งอยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าราบเรียบ บ่าวกำลังต้มชาอยู่ด้านข้าง แล้วรินชาให้เขาหนึ่งถ้วย

เส้นทางนี้ขลุกขลักนัก แต่เขาก็ยังสามารถรินน้ำชาโดยไม่กระฉอกแม้แต่น้อย

เยี่ยนจิ่วเฉามิได้ดื่ม นิ้วชี้มือซ้ายเคาะโต๊ะหยกเบาๆ สองสามครั้ง “ช้าหน่อย”

“ขอรับ”

สารถีบังคับรถให้เคลื่อนช้าลง

หลังจากออกมาจากจวน นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งเขาให้ขับช้าลง

 ไม่มีใครถามว่าเพราะเหตุใด นอกจากลุงวันแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะไปต่อปากต่อคำกับเยี่ยนจิ่วเฉา

วังกงกงได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ ให้รอเยี่ยนจิ่วเฉาด้านหน้าวังหลวง แม้แต่พระโอรสก็ยังมิได้รับการต้อนรับเช่นนี้ แต่ใครจะคิดว่าวังกงกงรออยู่ถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ก็ยังไม่พบนายน้อยท่านนี้ ขณะที่วังกงกงกำลังใคร่ครวญว่าตนควรไปหาคุณชายเยี่ยนที่จวนดีหรือไม่ รถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เคลื่อนมาถึงพอดี

วังกงกงรู้สึกยินดีเป็นที่สุด! เขาสะบัดแส้ขนหางจามรี รีบปรี่เข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านอ๋องน้อยมาแล้ว! ฝ่าบาทรอท่านอยู่นาน…”

กล่าวไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรีดร้อง

“คุณชาย แย่แล้ว!”

ลุงวั่นร้องเสียงดังลั่น วิ่งมายังรถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉา คว้าหมับแล้วดันวังกงกงออกไป “ค…ค…คุณชายน้อยหายไปอีกแล้ว!”

วังกงกงซึ่งถูกผลักไปด้านข้าง บัดนี้ลืมแม้แต่จะมีโทสะ “อีกแล้ว?”

เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกม่านออก แล้วกล่าวกับวังกงกงว่า “ข้าฝากกราบทูลท่านลุง ว่าข้าไปกินอาหารค่ำส่งท้ายปีมิได้แล้ว รอให้ข้าจับตัวแสบเหล่านี้ให้ได้ก่อน แล้วข้าจะพาพวกเขาเข้าวังไปถวายพระพรท่านลุง”

กล่าวจบ เขาก็ปล่อยม่านลง แล้วสั่งสารถีให้กลับไปที่จวน โดยมิได้แยแสว่าวังกงกงกำลังยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น

“ปัดโธ่ ท่านอ๋องน้อย ท่านอ๋องน้อย…ท่านอ๋องน้อย!”

รถม้าเคลื่อนออกไปไกลเสียแล้ว

วังกงกงวิ่งตามไป หายใจหอบจนคิ้วขมวดเป็นปม “กล้าไม่ไว้หน้าฮ่องเต้เช่นนี้ มี…มีแต่ท่านนั่นแหละเยี่ยนจิ่วเฉา…”

วังกงกงเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษรอย่างกล้าๆ กลัวๆ นำเรื่องราวทั้งหมดกราบทูลฮ่องแต่ และเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าตนทำสุดความสามารถแล้ว เขาจึงช่วยพูดแทนเยี่ยนจิ่วเฉาด้วย “…นี่นับว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คุณชายทั้งสามเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอ๋องน้อย หากท่านอ๋องน้อยมิได้เป็นห่วงพวกเขา แล้วใครจักเป็นห่วงเล่าพะย่ะค่ะ?”

ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คล้อยตามคำพูดของวังกงกงหรืออย่างไร พระองค์มิได้โกรธ แต่หันไปตรัสถามว่า “เขาสวมอาภรณ์ที่เราให้ไปหรือไม่”

วังกงกงกล่าวด้วยความลำบากใจว่า “ในตอนที่ท่านอ๋องน้อยเปิดม่านออกมา ข้าน้อยใช้ความกล้าเหลือบไปมองครั้งหนึ่ง มิได้ใส่พะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้วางท่อเป่าไฟลง กดลงบนหว่างคิ้วซึ่งปวดหนึบ แล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญาว่า “เขายังไม่ยอมให้อภัยเราสินะ…”

………………………………………………

[1] เหนียนโต้วเปา เป็นอาหารภาคเหนือของประเทศจีน มีลักษณะคล้ายซาลาเปาไส้ถั่ว นิยมกินในฤดูหนาว