บทที่ 68 หัวเราะเสียงหมู โดย Ink Stone_Romance
บ้านสกุลอวี๋ไม่ได้คึกคักเช่นนี้มานานแล้ว ไม่เพียงทั้งสองครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ยังมีเด็กน้อยที่น่ารักมาเพิ่มอีกสามคน
“พวกเขามาบ้านเราได้อย่างไร” อวี๋หวั่นถาม
“คนที่แซ่วั่นส่งมา” นางเจียงตอบ
ในกล่องที่คนแซ่วั่นส่งมานั้นมีเด็กอยู่สามคน หากคิดแล้ว เป็นของที่เขาส่งมามิผิดแน่!
อวี๋หวั่นลูบคางด้วยความสงสัย “ทำไมเขาจะต้องส่งคุณชายจากจวนคุณชายเยี่ยนมาด้วย เขาไม่ได้บอกอะไรหรือ?”
“ไม่ได้บอก” นางเจียงยักไหล่
ไม่ได้บอกจริงๆ เพราะหลังจากที่ลุงวั่นถูกเรียกว่า ‘วั่นกงกง’ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เขาจึงวางของลงด้วยความมัวหมองแล้วกลับจวนไป
นางเจียง: ข้าเป็นแม่ที่ตรงไปตรงมานี่!
เหตุใดลุงวั่นจึงทำเช่นนี้ เป็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่สั่งให้ทำหรือ? หรือเป็นเพราะเด็กๆ คิดถึงเธอ? อวี๋หวั่นคิดไม่ออกสักที จึงเลิกขบคิดไป แล้วพาเด็กน้อยที่น่ารักทั้งสามไปกินข้าวที่บ้านเดิมกันอย่างสนุกสนาน
แน่นอนว่าต้องพาเด็กๆ ไปล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน
เด็กทั้งสามเติมโตมาร่างกายแข็งแรง ดวงตากลมโต แพขนตายาวสวย ลูกตาดุจลูกองุ่นดำเปล่งประกาย ทั้งยังว่านอนสอนง่าย ทุกคนไม่มีใครไม่เคยเห็นเด็กที่น่ารักถึงเพียงนี้มาก่อน แม้แต่คนที่ปกติมักจะวางมาดอย่างอวี๋ซง ก็อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มพวกเขาไปฟอดหนึ่ง!
เด็กๆ เหล่านี้ล้วนสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่พูดจา
“คนชั้นสูงมักพูดช้า[1]” ลุงใหญ่กล่าว
ป้าใหญ่พยักหน้า “เจินเจินกว่าจะพูดก็นานโข”
อวี๋ซงหรี่ตามอง “แหม”
“แหมอะไร…” ป้าสะใภ้ใหญ่ก็เขกหัวเขาไปหนึ่งที!
อวี๋เฟิงไม่กล้าเล่าเรื่องที่อวี๋หวั่นและเด็กน้อยทั้งสามถูกจับเข้าห้องขังให้คนในครอบครัวฟัง ทว่าพวกเขารู้เรื่องที่อวี๋หวั่นช่วยเด็กทั้งสามจากเหล่าโจรแล้ว พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านจากชนบทที่ซื่อตรง แม้ว่าจะตกใจกับสถานะของเด็กทั้งสาม แต่ก็มิเคยคิดประจบสอพลอพึ่งพาบารมีของคุณชายน้อยทั้งสาม พวกเขาไม่มีทางเสี่ยงเป็นแน่
“กินข้าวเถิด” ลุงใหญ่กล่าว
โต๊ะแปดเหลี่ยมไม่นับว่าใหญ่ วางเก้าอี้ยาวไว้สี่ตัว ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่นั่งที่นั่งผู้อาวุโส[2] นางเจียงและอวี๋หวั่นนั่งด้านหนึ่ง สองพี่น้องอวี๋เฟิงและอวี๋ซงนั่งอีกด้านหนึ่ง ส่วนเด็กๆ ตัวเล็กเกินไป เมื่อนั่งลงก็มองไม่เห็นเสียแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่จึงดึงเก้าอี้ออก แล้วนำโต๊ะตัวเล็กมาตั้งด้านข้าง
เถี่ยตั้นน้อยกินอย่างรวดเร็ว
น้องสาวตัวน้อยกินช้า ยังเหลือข้าวอยู่อีกมาก แต่ก็ยังค่อยๆ เคี้ยวตุ้ยๆ
…………………….
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเด็กน้อยอีกสามคนจะไม่คุ้นเคยรสมือพวกเขา ทว่าได้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่าพวกเขาคิดมากไปเอง
เด็กทั้งสามว่าง่ายเป็นที่สุด ป้อนอะไรก็กิน ผักก็กิน เนื้อก็กิน ปลาก็กิน ข้าวสวยก็กินคำโต แม้แต่ขิงแผ่นและกระเทียมที่อวี๋หวั่นเผลอป้อนให้กิน ทั้งสามคนก็กินลงท้องไปอย่างเอร็ดอร่อย
อาหารที่ได้รับความนิยมที่สุดในค่ำคืนนี้ต้องยกให้กระเพาะปลาและหูฉลาม เมื่อไฟร้อนได้ที่ ก็ใส่กระเพาะปลาลงต้มจนเข้าเนื้อ น้ำแกงสีเหลืองทองรวมเป็นเนื้อเดียวกับหูฉลามเนื้อนุ่มละเอียดราวกับเต้าหู้ มีรสเค็มหวานและหอมอ่อนๆ ทั้งยังใส่หอยตลับเนื้อนุ่มละมุนลิ้น อร่อยจนอยากกลืนลิ้นลงคอไปด้วย
เถี่ยตั้นน้อยและน้องสาวกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงโผเข้าในอ้อมอกมารดาของตน
เด็กทั้งสามคนก็เข้าโผเข้าอ้อมอกของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลูบศีรษะอุ่นๆ ของพวกเขา รู้สึกประหนึ่งหัวใจของเธอกำลังจะหลอมละลาย
หลังจากกินข้าวเสร็จ อวี๋ซงจุดกองไฟด้านนอกบ้าน เขาใช้ลำไผ่ที่ผ่าแล้วนับสิบท่อนโยนลงไป ไม้ไผ่ถูกไฟเผาจนค่อยๆ แตกออก เกิดเป็นเสียงไฟปะทุ
เด็กทั้งสามคนไม่เคยเห็นลำไผ่ปะทุมาก่อน จึงตื่นเต้นจนหัวเราะสั่นจนเสียงคล้ายหมู!
เสียงหัวเราะแปลกๆ เช่นนี้ได้มาจากนางเจียงเป็นแน่
อวี๋หวั่นหน้าดำคร่ำเครียด เดิมทีคิดว่าตนหูแว่วไป แต่ตอนนี้ เด็กๆ กลับเลียนเสียงนี้ได้แล้ว!
ในขณะที่ทุกคนกำลังครื้นเครงกันอยู่นั้น รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนมาหยุดลง ณ ทางเข้าหมูบ้านอย่างไร้สุ้มเสียง
เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ในรถม้า ลุงวั่นก็อยู่ด้วย
ลุงวั่นได้ยินเสียงหัวเราะประหลาดที่มิอาจพรรณาได้ จึงกล่าวว่า “เด็กบ้านใดนี่ หัวเราะอย่างกับหมูร้อง”
องครักษ์กล่างด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “บ้านเราขอรับ”
ลุงวั่น “…”
ลุงวั่นกระแอมทีหนึ่ง
ที่แท้เด็กๆ ก็หัวเราะเป็นหรอกหรือ? หรือว่าหัวเราะเสียงหมูเป็นเพียงอย่างเดียว?
อวี๋ซงจุดประทัดอีกหลายดอก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประทัด หรือเป็นเพราะเสียงหัวเราะของเด็กๆ คนในบ้านต่างดูมีความสุขกันถ้วนหน้า
รถม้าซ่อนอยู่ในความมืด จากรถม้ามองเห็นกองไฟจากหน้าบ้านได้ลางๆ ทั้งยังมองเห็นคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกแสงสะท้อนจากกองไฟจนดูสว่างขึ้นมา พวกเขาสวมเสื้อผ้ามอซอ อาศัยอยู่ในบ้านซึ่งดูทรุดโทรม ทว่าบนใบหน้าของพวกเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความสุข
ลุงวั่นอดหวนนึกถึงจวนเยี่ยนอ๋องเมื่อกลายปีก่อนมิได้ ครั้งเยี่ยนอ๋องยังมีชีวิตอยู่ ก็มีกองไฟและประทัดเช่นนี้ คุณชายวิ่งไปรอบๆ กองไฟราวกับลูกม้าไร้บังเหียน พระมเหสีคอยมองอยู่ด้านข้าง ยิ้มด้วยความอิ่มเอม
ในตอนนี้เยี่ยนอ๋องไม่อยู่แล้ว พระมเหสีสมรสใหม่ แต่ยังมีคุณชายน้อยทั้งสามคน ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าปลื้มใจ
“คุณชาย” ลุงวั่นมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา กำลังจะเอ่ยถามว่าจะลงไปเมื่อใดดี กลับเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาปิดม่านลง แล้วสั่งสารถีให้มุ่งหน้ากลับจวน
ลุงวั่นสับสน “จะ…จะกลับเลยหรือ? ไม่ไปบ้านแม่นางอวี๋หรือ?”
ไม่รับคุณชายกลับแล้ว?
ไม่กินอาหารค่ำฉลองคืนส่งท้ายปีด้วย?
ลุงวั่นมิอยากรับเด็กปีศาจเหล่านี้กลับบ้าน ทว่าอยากลิ้มลองรสมือแม่นางอวี๋ แต่สุดท้ายก็จำต้องกลับจวนไปด้วยความขุ่นเคือง…
เมื่ออวี๋ซงจุดประทัดหมด ทุกคนก็กลับเข้าบ้านไปรอส่งท้ายปี เด็กๆ รอแล้ว รออีก รอจนผล็อยหลับไป อวี๋หวั่นเองก็ตาใกล้ปิดแล้วเช่นกัน เธอได้ยินเสียงลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่คุยกัน ว่าจะไปไหว้หลุมศพท่านปู่และท่าย่า ขอให้พวกเขาคุ้มครองเด็กๆ และคุ้มครองให้บิดาของเธอชนะศึกที่ชายแดน
เมื่อมีเด็กเพิ่มมาสามคน เตียงของนางเจียงก็ดูเล็กเกินไปสักหน่อย โชคดีที่ก่อนหน้านี้พวกเขาซื้อฟูกและผ้าห่มเอาไว้ อวี๋หวั่นพาเด็กทั้งสามไปนอนในห้องของตนเอง
ที่กล่าวกันว่าเด็กจะมีพลังธาตุไฟสูงนั้นจริงแท้แน่นอน เมื่อใต้ผ้าห่มมีเด็กเพิ่มมาสามคน อวี๋หวั่นก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อโทรมกาย
ขณะที่อวี๋หวั่นเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อระบายความร้อน ก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาจากด้านนอก
เสียงนี้เบามาก หากเธอไม่ได้ตื่นขึ้นมาก่อน ก็ไม่มีทางรู้สึกตัว
ความคิดแวบแรกของอวี๋หวั่นก็คือมีโจรขึ้นบ้าน ทว่าผ่านไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง มีดยาวเป็นประกายก็พาดอยู่บนคอของเธอแล้ว
“อย่าตุกติก มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้” บุรุษในชุดดำที่ถือมีดเอ่ยขึ้น
อวี๋หวั่นมองไปอีกทาง บุรุษในชุดดำกล่าวต่อว่า “ไม่ต้องมองแล้ว พวกข้ามีคนมาก เจ้าหนีไม่รอดหรอก”
อวี๋หวั่นหลับตาลงสงบสติอารมณ์ พยายามไม่หลุกหลิก เพื่อไม่ให้บุรุษชุดดำสังเกตเห็นเด็กทั้งสาม “พวกเจ้าจะทำอะไร”
“ส่งของมา”
“ของอะไร”
“อย่ามาเสแสร้ง!”
“ไม่ได้เสแสร้ง”
คนในชุดดำขยับมีดให้เข้ามาใกล้เธออีกชุ่นหนึ่ง ใบมีดแหลมสัมผัสกับคอระหง “วันนั้นที่วัดร้าง อวี้จื่อกุยมอบถุงผ้าไหมให้กับเจ้า ส่งถุงนั่นมาเดี๋ยวนี้!”
………………………………………………
[1] คนชั้นสูงมักพูดช้า หมายถึงเด็กพูดช้าเป็นเรื่องปกติ บางครั้งเป็นยังถือว่าเป็นเด็กฉลาด
[2] ที่นั่งผู้อาวุโส เป็นที่นั่งสำหรับผู้ที่อาวุโสที่สุดในโต๊ะ ส่วนใหญ่มักเป็นที่นั่งตรงข้ามกับประตู