ตอนที่ 143 ศิษย์เอ๋ย ข้ารู้สึกว่าข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์แล้ว

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

คำพูดนี้ ยอมรับอย่างชัดเจนว่า เขากับจิวมั่วเหอมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาอีกอย่างระบุความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิวมั่วเหอเอาไว้

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยปาก “ดูจากความจริงใจของท่าน อาจารย์อย่างท่าน ข้ายอมรับแล้ว”

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ “…”

 

 

เขาปาดน้ำตาเห็นความปวดใจที่หางตา เอ่ยว่า “อย่างนั้น ศิษย์เอ๋ย อาจารย์พูดคำพูดจากใจสักคำได้หรือไม่”

 

 

 “ท่านว่ามา” อีกฝ่ายยอมรับเงื่อนไขทั้งสามข้อแล้ว หากตัวเองยังไม่ยอมตอบคำถามแค่ข้อเดียว ก็แสดงออกได้ชัดเจนว่าตนเองไม่รู้จักถนอมน้ำใจคนแล้ว

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ปาดน้ำตาแห่งความปวดใจอีกครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ความจริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่อยากถามว่า เพราะอะไรวันนี้คล้ายกับว่าเจ้ารับข้าเป็นศิษย์”

 

 

ตามหลักแล้ว ล้วนเป็นอาจารย์ที่ต้องยื่นข้อเสนอมิใช่หรือ

 

 

ไฉนถึงทีเขากับนังหนูนี่ กลายเป็นนางยื่นข้อเสนอยกใหญ่ อีกทั้งตัวเขาเองยังตอบรับทั้งหมดอีกด้วยเล่า

 

 

เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักน้อย

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถามว่า “ดังนั้นท่านเอ่ยเช่นนี้ ก็เพราะว่าท่านไม่พอใจแล้วหรือ หากท่านไม่พอใจ อย่างนั้นก็ไม่ต้องรับข้าเป็นศิษย์…”

 

 

 “ไม่ไม่ไม่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ส่ายหน้าโดยพลัน กล่าวด้วยน้ำตาคลอว่า “ข้าไม่ฝืนเลยสักนิด จริงๆ ไม่ได้ฝืนเลย ไม่เพียงแค่ไม่ฝืน ซ้ำข้ายังรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็กระแอมไออีก ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่แอบรู้สึกว่า บางทีอาจจะไม่คุ้มค่า

 

 

เพียงแต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ เพราะอะไรถึงต้องเกิดเรื่องน่าเศร้าใจขนาดนี้ด้วย

 

 

 “อืม ” เยี่ยเม่ยพยักหน้าน้อยๆ

 

 

แสดงออกว่าพอใจมาก จากนั้นก็รีบกล่าวว่า “ดีแล้ว เรื่องนี้พูดจบแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ท่านบอกข้าได้หรือยังว่า กำลังภายในสายเดิมในร่างกายข้าสมควรจัดการอย่างไร”

 

 

คราวนี้ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยิ่งอยากร้องไห้ขึ้นไปอีก

 

 

ทำไมพูดมาถึงตรงนี้ เหมือนกับว่าเขาเป็นคนขอร้องที่จะบอกนาง จะสอนนางฝึกยุทธเล่า

 

 

เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับตนเองเหลือเกิน

 

 

เขาปาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่วันนี้ไม่รู้หลั่งไหลออกมากี่ครั้งแล้ว เอ่ยว่า “ความจริงง่ายมาก เจ้าแค่กินยาชนิดหนึ่ง ก็สามารถหลอมรวมกำลังภายในทั้งสองสายนี้เข้าด้วยกัน นี่คือวิธีแก้ไขที่ง่ายมาก ข้า…”

 

 

เขายังไม่ทันพูดจบ เยี่ยเม่ยก็ยื่นมือออกมา รอให้เขาเอายาให้

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองท่าทางสมเหตุสมผลของนาง ยื่นมือมาให้เขา มุมปากพลันกระตุกเล็กน้อย ยามนี้ยิ่งคิดอยากร้องไห้

 

 

เขาหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกจากแขนเสื้ออย่างเชื่องช้า วางลงในมือของเยี่ยเม่ย สะอื้นเอ่ยว่า “เจ้ารับไปสิ”

 

 

เขาอยากร้องไห้จริงๆ

 

 

เยี่ยเม่ยรับขวดกระเบื้องเอาไว้ กลับพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชาว่า “ขอบคุณอาจารย์”

 

 

หญิงสาวตอบเช่นนี้ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จึงไม่รู้สึกเสียใจอีก

 

 

จากนั้นเขาก็สะอื้นอีกครั้ง เอ่ยปากว่า “ได้รับคำขอบคุณและยังมีคำว่าอาจารย์จากเจ้า ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย ”

 

 

 

 

เขารู้สึกว่าตัวเองข้ามผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บและฤดูร้อนแสนร้อนระอุ รวมทั้งฤดูใบไม้ร่วงสุดจะโหดร้ายไปได้

 

 

 

 

 

 

หากภายหน้ารับศิษย์ต้องเป็นเช่นนี้หมด อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่อยากรับศิษย์อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ภายหลังจะไม่เอาเคล็ดวิชาของตนเองมอบให้ผู้อื่นอย่างเด็ดขาด ช่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

 

 

เคล็ดวิชามอบให้ผู้อื่นไปแล้วถูกคืนกลับไปมาก็เสียหน้า ผู้อื่นรับไปแล้วไม่ยอมคารวะตนเป็นอาจารย์ก็เสียหน้า

 

 

สุดท้ายดำเนินไปถึงขั้นที่ตนอ้อนวอนให้ผู้อื่นคารวะตนเป็นอาจารย์ ดังนั้น ภายหน้าไม่อาจให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างเด็ดขาด อืม

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขาครู่หนึ่ง ไม่เกิดความรู้สึกเห็นใจอะไรทั้งนั้น

 

 

เพียงเอ่ยปากเสียงเย็นเยียบ “ท่านพูดเช่นนี้ หวังว่าภายหน้าข้าไม่ต้องเกรงใจแล้วใช่หรือไม่”

 

 

 “ไม่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่น้ำตาคลอปฏิเสธ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเกรงใจสักหน่อยจะดีกว่า” 

 

 

เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็หมุนกาย ปาดน้ำตาออกจากหางตา เตรียมตัวจากไป ก็กล่าวว่า “ข้าไปก่อนแล้ว ภายในสองวัน ข้าจะเอาข้อมูลของจิวมั่วเหอทั้งหมดมาให้เจ้า จากนั้นค่อยไปตามหาจิ่วหุนให้เจ้า” 

 

 

นี่มันเรื่องอันใดกัน

 

 

เขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแล้ว

 

 

 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า กลับเกรงอกเกรงใจ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ขึ้นอักโข “เดินทางราบรื่น ระวังความปลอดภัยด้วย”

 

 

เห็นนางเอ่ยด้วยความห่วงใย ในที่สุดผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็ไม่รู้สึกเศร้าอีก

 

 

ยังดี

 

 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เคราะห์ดีที่หลังจากรับเขาเป็นอาจารย์แล้ว ท่าทีของนางที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นมาก

 

 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ถอนหายใจคำหนึ่ง สาวเท้ากว้างจากไป

 

 

เยี่ยเม่ยเปิดขวดกระเบื้องออก จากสัญชาตญาณของนักฆ่า นางลองดมดู สุดท้ายไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ นางก็รีบดื่มทันที

 

 

เยี่ยเม่ยหลับตา เริ่มโคจรพลังในร่างกายอีกครั้งหนึ่ง

 

 

แรกเริ่มยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใด แต่เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ฤทธิ์ยาก็ค่อยออก เยี่ยเม่ยรีบสงบจิต ตั้งใจหลอมรวมพลังอย่างจดจ่อ

 

 

   ……

 

 

เช้าตรู่วันถัดมา

 

 

เยี่ยเม่ยลืมตาขึ้น เพียงแค่เวลาคืนเดียว นางรู้สึกว่าพละกำลังในร่างกายเต็มเปี่ยม ดูแล้วกำลังภายในเป็นของดีจริงๆ

 

 

ในขณะเดียวกันนี้เอง ประตูห้องก็มีคนเคาะ

 

 

เยี่ยเม่ยมองไปที่ประตูเอ่ยว่า “เข้ามาได้”

 

 

สิ้นเสียง ประตูถูกเปิดออก

 

 

เซียวเยว่ชิงเดินเข้ามา หลังจากนั้นก็รายงาน “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้ามารายงาน”

 

 

เยี่ยเม่ยมองสีหน้าของเขา บนใบหน้านั้นมีความกระอักกระอ่วนและสำนึก อีกฝ่ายคงหาจิ่วหุนไม่พบ รู้สึกขอโทษนาง

 

 

จึงเอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “หาจิ่วหุนไม่พบหรือ”

 

 

 “อืม” เซียวเยว่ชิงพยักหน้า “ไม่มีร่องรอยเลยสักน้อย ข้าน้อยไร้ความสามารถ”

 

 

ไม่ใช่ว่าไม่มีร่องรอย แต่เป็นพวกเขาไม่กล้าตามหาต่างหาก

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่คัดค้าน เรื่องราวไม่ต่างจากการคาดเดา นางพยักหน้า เอ่ยว่า “หากเขาคิดหลบจริงๆ ก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะหาพบ เรียกทหารกลับมาก่อนเถอะ เตรียมตัวเรื่องการศึกกับต้ามั่ว”

 

 

เซียวเยว่ชิงมองเยี่ยเม่ยอย่างตะลึง “ไม่ต้องตามหาคุณชายเสี่ยวจิ่วแล้ว”

 

 

 “เรื่องของเขา ข้าจัดการเอง” ในเมื่อผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ออกตามหาคน เยี่ยเม่ยเชื่อว่าต้องมีประโยชน์กว่าเหล่าทหารพวกนี้แน่ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในยุคนี้ท่าจะใช้การได้ไม่เลว ฝีมือไม่ต้อยต่ำ โอกาสหาคนพบย่อมมีมากกว่าพวกเขาและตัวนางมากนัก

 

 

เซียวเยว่ชิงฟังนางเอ่ยเช่นนี้ พลันไม่กล้าถามมากความอีก

 

 

จึงถามเรื่องการศึก “ไม่ทราบว่าแม่นางเยี่ยเม่ยเตรียมแผนไว้อย่างไร เตรียมรุกโจมตีหรือไม่”

 

 

ไม่เช่นนั้นไฉนทัพศัตรูยังไม่มา ถึงได้เอ่ยปากให้เตรียมตัวทำศึกแล้วเล่า

 

 

เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยปรายตามอง โบกมือ “ยื่นหูมา”

 

 

           เซียวเยว่ชิงรีบชะโงกหน้าเข้าไป ฟังคำสั่งเยี่ยเม่ย…