ฮาแบคพยักหน้าให้กับคำติเตียนของฮอนอย่างเงียบๆ ส่วนโฮจินก็ยักไหล่พร้อมกับกางจดหมายที่รยูฮาส่งมา มีวันที่อยู่สามสี่วันและตัวเลขที่ยากจะเข้าใจความหมายเรียงกันอยู่ และข้างล่างนั้นก็มีคำตักเตือนที่ส่งถึงโฮจินแนบมาด้วยหนึ่งประโยค 

 

 

“วันนี้คือวันสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ หากพลาดวันนี้ไปก็คงต้องรอจนถึงปีถัดไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งในตอนนี้พระวรกายของฝ่าบาทก็ทรงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว…” 

 

 

ฮาแบคใช้นิ้วชี้ไปตรงวันที่ซึ่งอยู่ด้านบนนิดหน่อยพลางมองไปที่ฮอน 

 

 

“ดังนั้นในความคิดของกระหม่อม อีกไม่นานก็น่าจะเคลื่อนไหวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“รีบๆ ทำไม่ได้หรือขอรับ แล้วแชยอนของข้าจะต้องรออีกนานเท่าไหร่ ข้าอยากรีบกลับไปหาสะโพกอวบอัดนั่น…” 

 

 

“ออกไป!” 

 

 

ฮาแบคลุกขึ้นไปเตะเก้าอี้ที่โฮจินนั่งอยู่อย่างแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วฮอนไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะนางก็ได้จากอ้อมอกของตนไปแล้ว การที่โฮจินมอบความรักที่ชัดเจนให้ซึ่งตนไม่สามารถให้ได้กลับเป็นเรื่องที่น่าขอบใจเสียด้วยซ้ำ 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่ ข้าเองก็อยากเคลื่อนไหวโดยเร็วเช่นกัน…” 

 

 

“ทรงคิดถึงพระชายาใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ยัยคนขี้ฉุนเฉียวนั่นมีอะไรดีนักหรือ” 

 

 

ฮอนตอบคำถามของโฮจินที่พูดแทรกเข้ามาด้วยความจริงใจปนหัวเราะ 

 

 

“ข้าคิดถึงคนอารมณ์ฉุนเฉียวคนนั้นมากเสียจนไม่อาจข้ามลำธารแห่งปรโลกไปได้ และต้องกลับมายังโลกนี้อีกครั้งเชียวนะ” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“พระชายา องค์รัชทายาทเสด็จเพคะ” 

 

 

ผ่านมาสักพักแล้วหลังจากที่สำรับเย็นถูกนำเข้ามา ดังนั้นช่วงเวลาที่ชานมาที่วังซึงกอนจึงเป็นช่วงเวลาที่ดึกมากแล้ว ถึงจะไม่มีใครตอบรับเสียงของนางใน แต่ชานก็เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ทันทีเสมือนเป็นห้องตัวเอง พรึ่บ ภายในห้องอันเงียบสงบมีเพียงเสียงหน้าหนังสือที่ถูกพลิกเท่านั้นที่ต้อนรับเขาด้วยความยินดี 

 

 

“อ่านหนังสืออยู่หรือ” 

 

 

ถึงจะถามด้วยความอ่อนโยนแต่ก็ยังไม่มีคำตอบกลับมาอยู่ดี สำหรับชานแล้วนั้น ท่าทางของรยูฮาซึ่งไม่ละสายตาออกจากหนังสือที่อยู่ในมือแม้แต่น้อยเป็นทั้งการทรมาน ซ้ำยังเป็นคมดาบที่กวัดแกว่งอย่างแรงจนทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจ ให้มองด้วยแววตาดูถูกหรือสาดคำพูดรุนแรงที่ทำให้เกิดบาดแผลยังจะดีเสียกว่า มือของชานที่ยื่นออกไปอย่างลำบากวนเวียนอยู่รอบๆ เส้นผมที่ระอยู่บนต้นคอขาว ก่อนจะรีบวางลงบนโต๊ะ 

 

 

“หลังจากพิธีราชาภิเษก อีกไม่นานดอกไม้ก็จะผลิบาน ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนั้นคงจะยุ่งมาก แต่หากมีเวลา เราไปเดินชมดอกไม้ด้วยกันดีหรือไม่” 

 

 

พรึ่บ หน้าหนังสือถูกพลิกไปอย่างไม่สนใจอีกครั้ง 

 

 

“พาพระพันปีไปด้วยกันเถอะ อ๋อ จะเอาดาบไปด้วยก็ได้นะ หากพระชายาต้องการ” 

 

 

แม้คำเรียกที่รยูฮาเกลียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ แม้คำเรียกที่นางไม่ชอบให้ชานเรียกเป็นอย่างยิ่งจะโผล่ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ อยู่ดี หรือควรจะต้องขอบใจที่นางให้เขามองนางได้อย่างเต็มที่ดี ชานเท้าคางบนโต๊ะและมองดูใบหน้าของรยูฮาที่ยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือ 

 

 

“ข้าชอบตอนที่พระชายาถือดาบเป็นที่สุด พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว เหมือนว่าข้าจะตกหลุมรักหญิงสาวในชุดสีขาวที่กำลังกวัดแกว่งดาบสีนิลที่วังร้างตั้งแต่แรกพบ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาความสนใจของข้าก็เทไปหาเจ้าเสียหมด” 

 

 

รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของชานที่กำลังหวนนึกถึงความทรงจำนั้น 

 

 

“ข้ารู้ดีกว่าใครๆ ว่าพระชายาคงจะไม่ให้อภัยหรือความเมตตาแก่ผู้ที่แตะต้องฮอนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ร้องขอความรักจากเจ้า เจ้าจะไม่ยกโทษให้ข้าก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่เคียงข้างข้าแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เปลือกนอกก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดแล้วประวัติศาสตร์ก็จะบันทึกไว้ว่าเจ้าคือพระมเหสีของข้า ในหนังสือประวัติศาสตร์พวกเราคือสามีภรรยาและเป็นหนึ่งเดียวกัน” 

 

 

น่าขนลุก รยูฮาคิดเช่นนั้นพลางพลิกหน้าหนังสือ แต่สุดท้ายเสียงของชานที่ยังพูดต่อก็ทำให้สายตาเย็นชาของนางหันกลับมามองเขา 

 

 

“วันนี้ข้าจะนอนที่นี่นะพระชายา ข้าจะครอบครองแม้จะเป็นเพียงเปลือกนอกของเจ้าก็ตาม” 

 

 

หน้าหนังสือที่ถูกพลิกอย่างสม่ำเสมอหยุดชะงักกึก จากนั้นคำสบถรุนแรงก็ดังขึ้นมาภายในห้องอันเงียบสงบจนได้ยินแม้แต่เสียงกลอกตา 

 

 

“ไอ้…” 

 

 

ฮ่าๆ รยูฮาระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อแล้วลุกขึ้น ชานลืมสิ่งที่กำลังจะพูดไปชั่วขณะและจ้องแต่ริมฝีปากของนางที่พ่นคำหยาบคายออกมาเมื่อครู่อย่างนิ่งงัน 

 

 

“เห็นหม่อมฉันอยู่เงียบๆ หน่อยก็ทรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันเหมือนเป็นลูกสุนัขนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นเลยสินะเพคะ ไม่ใช่สิ แม้แต่ลูกสุนัขยังไม่กระดิกหางให้ไอ้บ้าที่หวังจะจับกินเลย แต่ว่าอะไรนะ นอน? นอนงั้นหรือเพคะ” 

 

 

“พระชายา!” 

 

 

“พระชายา? ทรงอยากโดนเย็บปากหรือเพคะ” 

 

 

ลักษณะการพูดที่มักจะอยู่ในบ่อนพนันไม่ใช่สิ่งที่มาจากในพระราชวังอย่างแน่นอน ปลายปิ่นปักผมอันแหลมคมที่รยูฮาดึงออกมาจากศีรษะเล็งไปที่ชานอย่างพอดิบพอดี 

 

 

“เลือกมาเพคะ แขน ขา คอ หรือจะให้ควักตาเฮงซวยนั่นออกมาแล้วนำไปขึ้นสำรับเช้าพรุ่งนี้ดี” 

 

 

นางเอาจริง สัญชาตญาณของชานเตือนเช่นนั้น นางคือผู้หญิงที่สามารถตัดขาคนข้างหนึ่งออกได้ในพริบตาเดียว ชานลุกพรวดขึ้น เพ่งมองไปที่ข้อมือก่อนจะขยับเพื่อห้ามรยูฮา แต่ไม่สามารถสู้ความว่องไวของนางได้เลย รยูฮาบิดตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนเก้าอี้ที่ถูกเตะขึ้นอย่างแรงก็ลอยเฉียดผ่านใบหูของชานไปยังกำแพงอย่างฉิวเฉียดและพังในที่สุด 

 

 

“ถ้าพระชายาทำเช่นนี้ คนที่ชีวิตจะตกอยู่ในอันตรายจะไม่ได้มีเพียงแค่คนสองคนนะ” 

 

 

“เพราะชีวิตเหล่านั้น ฝ่าบาทก็เลยทรงยังมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่หรือเพคะ” 

 

 

เก้าอี้อีกตัวลอยเข้ามาในเวลาเดียวกันกับที่พูดจบ ชานหมุนไปด้านข้างเพื่อหลบมัน แต่ทว่า 

 

 

“จะทำอะไรล่ะเพคะ” 

 

 

ในขณะที่สายตาของชานพุ่งตรงไปยังเก้าอี้สักพักหนึ่ง รยูฮาก็เขยิบเข้าไปใกล้แล้วจับแขนเขาบิดไปด้านหลังให้ติดกับผนัง เสียงของรยูฮาที่ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้กระซิบลงข้างใบหู รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงแขนที่ค่อยๆ ถูกบีบรัดมากขึ้น ความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้วนั้นทำให้ชานรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด นี่เรายังมีชีวิตอยู่สินะ 

 

 

“หม่อมฉันไม่ได้พูดเล่นๆ นะเพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

ปิ่นที่อยู่ตรงหน้าชานเจาะลึกลงไปบนกำแพง ซึ่งนั่นเป็นระยะที่ใกล้มากจนพอที่จะทำให้ขนตาสั่นไหวได้ 

 

 

“ลองแตะต้องคนของหม่อมฉันแม้แต่คนเดียวดูสิเพคะ แล้ววันนั้นเราจะได้เห็นดีกัน ลองดูสิเพคะ” 

 

 

รยูฮาปิดท้ายด้วยการหักข้อต่อของแขนที่จับไว้อยู่ พร้อมกับกระซิบกระซาบอย่างเยือกเย็น 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ฝ่าบาท ยาสมุนไพรเพคะ” 

 

 

ยอนฮวาทูลให้ทราบเบาๆ จากด้านนอกประตู แต่ไม่มีคำตอบออกมาจากด้านใน หรือจะยังไม่ตื่นกันนะ นางเอียงคอสงสัยและเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อย 

 

 

“ฝ่าบาท ยาสมุนไพร…” 

 

 

“อืม เอามานี่สิ” 

 

 

เสียงของฮอนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังไม่ใช่ภายในห้อง มือแกร่งจับไหล่ของยอนฮวาที่หันหลังแล้วเซไปเซมาเพราะตกใจ 

 

 

“เจ้านี่ซุ่มซ่ามเสียจริง” 

 

 

ใบหน้าของฮอนที่ยกยาสมุนไพรขึ้นมาดื่มจากโต๊ะสำรับด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยสมบูรณ์แล้ว ยอนฮวารีบก้มหน้าอย่างว่องไวเพื่อซ่อนพวงแก้มที่ร้อนผ่าวเป็นสีแดงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและรับชามเปล่าไว้ 

 

 

“เสด็จไปที่ไหนมาหรือเพคะ” 

 

 

“ไปภูเขากับโฮจินมาน่ะ” 

 

 

“คงจะทรงหิวมากเป็นแน่ เดี๋ยวหม่อมฉันจะนำสำรับเช้าออกมาถวายให้เพคะ” 

 

 

ยอนฮวาโค้งคำนับและถอยหลังกลับเข้าไปยังห้องครัว และเตรียมอาหารสำหรับสี่คนอย่างวุ่นวาย เนื่องจากฮอนดึงดันที่จะให้ทุกคนมากินอาหารร่วมกันให้ได้ จึงไม่มีการเตรียมสำรับอาหารแยกเฉพาะสำหรับเขา สำหรับนางแล้วการที่ได้เตรียมอาหารให้แก่ผู้ที่อยู่ไกลเกินเอื้อมด้วยมือของตัวเองและได้นั่งกินด้วยกันแบบนี้คือความสุขที่เหมือนฝันเลยทีเดียว แม้ว่าตอนจบจะถูกกำหนดไว้แล้วก็ตาม 

 

 

“เสร็จแล้วหรือยังขอรับ” 

 

 

“รอสักครู่เจ้าค่ะ”