จู่ๆ ความหนาวเย็นในช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าช่วงกลางฤดูหนาวก็พัดเข้ามาอย่างกะทันหัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือช่วงกลางฤดูหนาว โฮจินก็ใส่เพียงแค่ชุดสีดำไม่หนามากไปไหนมาไหนอย่างเดียวเท่านั้น แต่บนหน้าผากของเขากลับมีเหงื่อหยดเล็กๆ ผุดขึ้นมา ในตอนที่ถามเรื่องอาหารกับยอนฮวา เขาไม่สนใจคำพูดของยอนฮวาที่บอกให้รอและเข้ามาในห้องครัว ก่อนจะไปนั่งหมิ่นเหม่อยู่ตรงมุมหนึ่ง 

 

 

“ท่านมินอา” 

 

 

“เจ้าคะ?” 

 

 

“ไอ้หมอนั้นรูปงามใช่ไหมขอรับ” 

 

 

ในตอนแรกนางไม่รู้ว่าคำพูดของโฮจินที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นหมายถึงใคร พอยอนฮวาเอียงคอด้วยความงุนงง โฮจินจึงพูดเสริมให้อย่างใจดี 

 

 

“หมายถึงองค์ชายน่ะ รูปงามไหมขอรับ” 

 

 

“เสียมารยาทนะเจ้าคะ!” 

 

 

“เสียมารยาทแค่ในวังน่ะสิ อะไรกัน ข้าแค่สงสัยเองว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงได้ตามติดหมอนั่นแจเสียขนาดนี้” 

 

 

“อะ อะ อะไรเจ้าคะ…! ข้าไม่รู้เรื่องอะไรแบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ!” 

 

 

แต่ใบหน้าของยอนฮวาที่เป็นสีแดงเรื่อทั้งหน้ากลับบ่งบอกอย่างชัดเจน โฮจินยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับถือโต๊ะสำรับขนาดใหญ่ที่มีถ้วยชามวางอยู่ขึ้นอย่างเบามือ 

 

 

“แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้พวกเรามีบุญคุญกับเขาเพราะคอยดูแลเขา แต่ตัดใจจากหมอนั่นน่าจะดีกว่านะขอรับ เพราะโลกใบนี้มันช่างกว้างใหญ่และผู้ชายก็ยังมีอีกตั้งเยอะแยะมากมาย หากเป็นท่าน ข้าสามารถให้ท่านมาเป็นภรรยาน้อยของข้าได้นะ แต่แชยอนของข้าก็มีอารมณ์ฉุนเฉียว…” 

 

 

คำพูดที่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับถูกขัดด้วยฮาแบคที่ปรากฏตัวขึ้นมาพอดิบพอดี 

 

 

“ข้านึกไว้แล้วเชียว เลิกตอแยท่านมินอาสักที!” 

 

 

“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!” 

 

 

โฮจินโต้เถียงด้วยความไม่พอใจและถูกลากออกไปจากห้องครัว ยอนฮวานำชามใหม่ออกมาพร้อมกับกังวลใจกับคำพูดที่เขาทิ้งไว้ แต่หลังจากทำชามแตกไปถึงสองใบ นางจึงหยุดความคิดนั้นลงได้ ยอนฮวาเก็บเศษชามที่แตก แล้วนำอาหารที่เหลือเข้าไปในห้อง วางมันลงและเริ่มลงมือกินอาหาร 

 

 

“ขอบใจท่านมาก” 

 

 

“เดี๋ยวนี้ฝีมือทำกับข้าวดีขึ้นเยอะเลยนะ” 

 

 

“คงจะลำบากน่าดูเลยสินะ” 

 

 

สามคนต่างพูดขอบคุณกันก่อนจะเริ่มจดจ่ออยู่กับมื้ออาหารโดยไม่พูดไม่จา แต่คนที่ทำลายความเงียบคนแรกคือโฮจิน 

 

 

“ฝ่าบาท ตั้งแต่วันนี้จะเริ่มเรียนดาบเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“มีนักดาบมือหนึ่งอยู่ข้างๆ ทั้งที จะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไรเล่า” 

 

 

“อะไรกัน กระหม่อมก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮอนกับโฮจินรีบกินส่วนของตัวเองหมดอย่างว่องไวราวกับแข่งขันกัน ก่อนจะลุกพรวดขึ้น ยอนฮวาตกใจจึงห้ามปรามว่าจะทำอย่างนั้นทันทีหลังจากเพิ่งเสวยเสร็จไม่ได้นะเพคะ แต่ก็ไม่ได้ผล ฮอนทำเพียงแค่ตบไหล่นางเบาๆ สองทีแทนคำตอบ 

 

 

“จะเสด็จไปเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ไปกันเถอะ” 

 

 

ชายหนุ่มทั้งสองถือดาบไว้คนละเล่ม รักษาระยะห่างกันไว้ราวๆ สิบก้าวและลงไปยังลานหน้าบ้าน แววตาของโฮจินเปลี่ยนไปเมื่อได้จับดาบ รอยยิ้มที่ยิ้มอย่างทะเล้นอยู่เสมอก็หายไป การกดดันฝ่ายตรงข้ามด้วยเพียงแค่แววตาช่างสมกับฉายาที่ว่านักดาบมือหนึ่งจริงๆ ฮอนไม่สามารถระงับความรู้สึกประทับใจได้พร้อมกับโค้งคำนับให้นิ่งๆ 

 

 

“ฝากด้วยนะ” 

 

 

ดาบของโฮจินพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าในขณะเดียวกันกับที่ฮอนพูดจบ ท่ามกลางสายฝนของคมดาบที่ต้อนเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน อย่าว่าแต่จะโจมตีกลับเลย แค่หลบได้อย่างหวุดหวิดก็ดีใจแล้ว ฮอนค้นพบช่องว่างจองโฮจิน ในตอนที่ลดตัวต่ำลงเพื่อหลบคมดาบที่ฟันมาด้านบน จึงเสียบดาบเข้าไปและหยุดก่อนที่จะโดนเนื้อ 

 

 

“ทรงทำได้ดีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

จากคำพูดของโฮจินที่ไม่ดูตกใจสักนิด จึงทำให้รู้ว่าเขาจงใจสร้างช่องโหว่แน่นอน ฮอนเก็บดาบแต่ยังไม่ใส่เข้าไปในปลอก 

 

 

“ฝ่าบาททรงเคยฆ่าคนไหมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ยังไม่เคย” 

 

 

“หากทรงค้นพบช่องโหว่แบบเมื่อสักครู่ในขณะที่แกว่งดาบอยู่นั้น ทรงห้ามมีความลังเลและห้ามมีความเห็นใจแม้แต่นิดเดียว และจะต้องฟันคอภายในครั้งเดียวพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

คมดาบที่ฮอนกวัดแกว่งโดยไม่บอกไม่กล่าวหยุดอยู่ตรงคอของโฮจินอย่างน่าหวาดเสียว โฮจินจึงยิ้มอย่างขี้เล่นออกมาเหมือนกับตอนปกติและถอยไปข้างหลังเล็กน้อย 

 

 

“ข้าจะจำเอาไว้” 

 

 

ฮอนมองโฮจินตรงๆ พลางพึมพำเบาๆ พอเขาเก็บดาบ โฮจินก็เก็บด้วยเช่นกัน อีกไม่นานก็จะถึงวันที่จะต้องทวงคืนสิ่งที่ถูกแย่งไป และในวันนั้นเมื่อเขามีโอกาสที่จะฆ่าพี่ชาย จะต้องไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความลังเลโดยเด็ดขาด 

 

 

สิบวันก่อนจะถึงพิธีราชภิเษก ทั้งฮอนและชานต่างเฝ้ารอคอยวันเดียวกัน แต่ความกระตือรือร้นในการเตรียมตัวแตกต่างกันโดยสิ้นชิงเหมือนกับตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้ 

 

 

“กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ชานโยนความรับผิดชอบในการเตรียมการทั้งหมดไปให้พระพันปีกับขุนนางและใช้เวลาอยู่แต่กับเหล้า หลังจากถูกรยูฮาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจึงไม่แวะไปที่วังซึงกอนอีกเลย คนที่มาหาเขาอยู่เป็นประจำมีเพียงแค่มินอาเท่านั้น แต่นางเองก็รู้ดีว่าชานมองหาเงาของรยูฮาจากตัวของนาง 

 

 

“อยู่ที่นี่เถอะ” 

 

 

“หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเพคะ คงจะต้องพักผ่อนสักหน่อย” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่มินอาพูดว่าจะพักผ่อนออกมาจากปากตัวเอง ชานเลื่อนสายตาที่ดูเบลอขึ้นมามองนางแวบหนึ่ง แล้วจึงเติมเหล้าในแก้วเพิ่มอีก เขารู้สึกหวาดกลัวทั้งห้องนอนที่ว่างเปล่าหลังจากมินอาออกไป ทั้งเงาของคนตายที่จ้องจะเข้ามาทำร้าย ดังนั้นหากดื่มเหล้าเข้าไปก็จะสามารถสลัดสิ่งเหล่านั้นไปได้บ้าง เมื่อคอของชานที่กรอกเหล้าเข้าปากเงยขึ้นแล้วก้มลงมาตามเดิม มินอาจึงเรียกเขาเบาๆ อีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

“เจ้า คือคนของใคร” 

 

 

อย่าแตะต้องคนของข้า เขารู้ดีกว่าใครว่าตัวเองไม่ได้ถูกรวมอยู่ในบรรดาคนของข้าที่รยูฮาเคยพูดไว้ มันคือเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วเหมือนกับที่ถ้าพระอาทิตย์ขึ้น พระจันทร์ก็ต้องตกดิน แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้ 

 

 

“เป็นคนของพระชายาเพคะ” 

 

 

ได้รับคำตอบที่หนักแน่นกลับมาเหมือนปกติ นี่เราคาดหวังอะไรอยู่กันนะ ชานแสร้งยิ้มออกมาพร้อมกับสะบัดมือข้างหนึ่ง 

 

 

“…ไปซะ” 

 

 

มินอาทำความเคารพอย่างเงียบๆ แล้วออกจากห้องบรรทมไป ที่บอกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายนั้น แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ซึ่งไม่ได้มีความคิดที่จะพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย นางเดินตรงไปยังวังซึงกอนตามปกติ ก้าวข้ามธรณีประตูของตำหนักด้านในโดยไม่มีการหยุดชะงัก 

 

 

“ถ้าเจ้าดื่มเหล้ามาแล้ว ก็ไปเอามาให้ข้าด้วยสิ” 

 

 

รยูฮาซึ่งนอนคิดอยู่บนเตียงหันไปมองมินอา 

 

 

“ไม่ได้ดื่มเพคะ ฝ่าบาททรงดื่ม” 

 

 

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” 

 

 

“ไม่ได้เพคะ” 

 

 

มินอาซึ่งนั่งลงบนเก้าอี้ถอนหายใจออกมาอย่างแรง ความเหนื่อยทางจิตใจกำลังกัดกินนางยิ่งกว่าความเหนื่อยทางกายเสียอีก 

 

 

“เฮ้อ จะดื่มเหล้าแค่แก้วเดียวตามใจชอบก็ไม่ได้” 

 

 

รยูฮาพึมพำด้วยความเสียดาย ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งตรงกันข้ามกับมินอา ความเงียบที่กดทับพวกนางอยู่ไม่ใช่สิ่งที่สบายใจเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ยังคงเชื่อใจกันและกันเป็นอย่างมากอยู่ 

 

 

“มินอา” 

 

 

“เพคะ” 

 

 

“ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเสียใจ” 

 

 

“หม่อมฉัน…” 

 

 

ไม่เป็นไรเพคะ คำนั้นวนเวียนอยู่ตรงริมฝีปากอย่างขมขื่นโดยไม่สามารถพูดออกมาได้ เป็นสิ ไม่มีทางที่จะไม่เป็นไร มินอาขยับริมฝีปากขึ้นหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ปิดปากสนิท 

 

 

“ถ้าข้าสั่งให้เจ้าไป เจ้าจะทำได้ไหม” 

 

 

“หม่อมฉันคือคนของพระชายาเพคะ” 

 

 

มินอาทวนคำพูดที่พูดกับชานเมื่อครู่นี้ แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่รยูฮาต้องการ 

 

 

“เจ้าคือน้องที่ข้ารัก แต่ข้า…ก็ยังเตรียมส่งเจ้าไป” 

 

 

มินอาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับรยูฮาในชุดผ้าไหมแทนชุดสีดำและเกล้าผมขึ้นดูเหมือนแชยอนในสมัยก่อน หญิงสาวที่เ**่ยวเฉาภายใต้น้ำหนักของชุดผ้าไหมซึ่งกดไหล่ลงมาอย่างช้าๆ แม้นางจะแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ต่างจากแชยอน แต่สุดท้ายแล้วนางก็จะหักภายในครั้งเดียว รยูฮารู้เป็นอย่างดีว่าอีกไม่นานช่วงเวลานั้นก็จะมาถึง 

 

 

“คยอกรังกลับมาแล้ว” 

 

 

ดวงตาของมินอาสั่นไหวอย่างรุนแรง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ารยูฮาพยายามทำเป็นไม่เห็นมัน 

 

 

“ตอนที่ท่านแม่มอบดาบให้ ท่านบอกว่าอะไรนะ” 

 

 

“ผู้หญิง…จะต้องปกป้องสิ่งสำคัญของตัวเอง” 

 

 

“ใช่แล้ว ข้าปกป้องสามีของข้า ดังนั้นเจ้าก็จงปกป้องสามีของเจ้าซะ” 

 

 

รอยแผลเป็นที่ยังไม่หายสนิทปรากฏชัดเจนอยู่บนหน้าผากของมินอาที่กะพริบตาอย่างช้าๆ รยูฮายื่นมือออกไปและลูบรอบๆ นั้นด้วยความระมัดระวัง 

 

 

“ถ้าหากคนนั้นแตะต้องตัวเจ้าอีกก็ศอกใส่เขา ทำราวกับเจ้าไม่ได้จงใจ มันอาจจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ฝนตกไปตลอดชีวิต แต่ซัดให้น่วมไปเลยน่าจะดีกว่า” 

 

 

 

 

 

* * *