ชาถัง
ซูจิ้งจ้องมองด้วยความฉงนอยู่พักนึง และพบว่าเจ้าหนูสองตัวนี้ได้ลืมไปแล้วว่าพวกมันเป็นสัตว์บกและสนุกกับการใช้ชีวิตอยู่ในน้ำไปเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งได้สั่งให้หลี่น้อย และอาลี่ ไปบินจับหนูมาอีกสองตัวแล้วโยนเข้าในถังเลี้ยงปลา พวกมันว่ายน้ำได้ก็จริงแต่มันก็พยายามที่จะปีนออกจากถังเลี้ยงปลาด้วยเช่นกัน แต่ด้วยการที่ขอบถังเป็นกระจกทำให้พวกมันลื่นหล่นลงมาและเลิกพยายามปีนหนีออกไป
“นี่สิถึงจะเรียกว่าปกติ เจ้าหนูสองตัวนั่นต่างหากที่ผิดไป มันเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสัตว์น้ำไปแล้ว นี่เป็นผลมาจากการกินผลไม้นั่นงั้นหรอ” ซูจิ้งนึกได้ว่าเขานั้นให้หนูสองตัวและปลาหนึ่งตัวกินผลไม้สีแดงที่เขาเจอก่อนหน้านี้
ตอนนั้นที่ให้พวกมันกินก็ไม่เห็นดูมีทีท่าว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เขาเองก็ได้ถามทั้งหนูและปลามันก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง
หลังจากนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเขาได้นำกิ่งไม้ที่มีผลไม้สีแดงติดอยู่ออกมา เขาได้เด็ดผลของมันออกมาอีกและลองหาสัตว์มาทดลอง แต่ไม่ว่าเขาจะลองมองหาสัตว์ตัวไหนมาทดลองก็หาไม่ได้ซักที ซูจิ้งนั้นตอนแรกได้แต่คิดว่าหรือมันจะเป็นเพียงผลไม้ธรรมดาจริงๆ ในขณะที่เขาจะเลิกหวังนั้น ทันใดนั้นเขาก็ได้พบการเปลี่ยนแปลงซักที
“ถ้างั้นลองอีกทีก็แล้วกัน” ซูจิ้งนำผลไม้สีแดงออกจากกระเป๋ามิติแล้วนำไปให้หนูตัวหนึ่งที่เขาโยนไปในถังเลี้ยงปลาก่อนหน้านี้
หลังจากรอสักพักเขาจึงได้เหวี่ยงมันลงไปในน้ำ ตอนแรกเจ้าหนูที่ถูกโยนลงไปก็ทำท่าว่าเหมือนตัวเองจะสำลักน้ำ
แต่อีกซักพักมันก็ทำตัวแบบเดียวกับเจ้าหนูสองตัวก่อนหน้านี้นั่นคือว่ายน้ำได้อย่างกับนักกีฬาโอลิมปิค ประดุจดั่งพวกมันเป็นสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง ส่วนตัวที่เหลือนั้นได้หมดแรงและจมลงก้นถังเรียบร้อยแล้ว
“ผลไม้นี่น่ามหัศจรรย์จริงๆ” ซูจิ้งแค่นึกไปว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างจากผลไม้นี่ก็ทำให้ตาของเขาส่องเป็นประกายแล้ว
เขาได้นึกถึงซูหยูที่มีการบันทึกไว้ในห้วงเวลาฯ เรื่องจูเซียน เจ้าพืชนี้ก็น่าจะเป็นต้นไม้ในตำนานเช่นเดียวกัน
มันมีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นฉุน ดอกสีเหลือง และลำต้นสีแดง รสชาติไม่ได้เรื่อง และไม่มีแก่นลำต้น ชื่อของมันคือ ชาถัง มันช่วยให้คนที่ใช้มีความสามารถในการต้านทานธาตุน้ำ
ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ คือจะไม่มีวันจมน้ำตายแน่นอน ฉะนั้นจะผลไม้พวกนี้ควรเป็นชาถังตามตำนานนั่นแน่นอน
“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ผลไม้พวกนี้ควรเป็นชาถัง” ซูจิ้งดีใจอย่างมาก ในห้วงเวลาฯ เรื่องจูเซียน นั้น ต้นไม้อย่างชาถังไม่ได้หายากเลยแม้แต่น้อย นอกซะจากว่าพื้นที่นั้นมีสภาพแวดล้อมที่ไม่มีพลังฟ้าดินอยู่เลย
แต่สำหรับซูจิ้งแล้วมันหายากมาก เขานั้นได้นำเอาชาถังที่ยังสภาพดีออกมาจากกระเป๋ามิติ ล้างมันให้สะอาด และโยนมันเข้าปากไปในทันที หลังจากนั้นซูจิ้งได้กระโดดลงทะเลไป
เขานั้นไม่ได้ปล่อยพลังจิตของเขาออกมาเพื่อแหวกทะเล หรือใส่เสื้อหนังฉลามแม้แต่น้อย เขาได้ว่ายน้ำตามปกติของเขา แต่ซักพักเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ปกติเข้าซะแล้ว
ความผิดปกติแรกที่เขาพบก็คือ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณผิวน้ำ ใต้น้ำ หรือท้องน้ำ เขาเคลื่อนไหวได้อย่างมีอิสระ
ต่อมาเวลาที่ใช้ใต้น้ำหลังจากหายใจเข้าหนึ่งครั้งเขาอยู่ได้นานกว่าปกติ
นอกจากนั้นการว่ายน้ำในทุกท่วงท่ารู้สึกทำได้ง่ายๆ ไม่รู้สึกถึงแรงต้านของน้ำเลยสักนิด
เขาลองว่ายน้ำแบบสุดแรงเกิดและเขาก็ผมว่ามีความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าปกติอย่างมาก
เหมือนกับว่าน้ำทะเลไม่ได้ส่งผลอะไรกบเขาเลยแม้แต่น้ำ จนในที่สุดซูจิ้งก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าหนูที่กินผลชาถังเข้าไปว่ามันรู้สึกยังไง ทำไมมันถึงลิงโลดได้ขนาดนั้น
เขาลองกินผลชาถังเพิ่มเติมนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกสบายยิ่งกว่าเดิมเมื่ออยู่ในน้ำ
หลังจากกินไปห้าผลในทีเดียวผลที่ได้รับกับยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ(ความรู้สึกสบายเริ่มอิ่มตัว ค่าความต้านทานเริ่มเต็ม)
หลังจากกินไปแล้วห้าผล เขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยเขาจึงไม่ได้กินเพิ่ม
“น่าเสียดายจริงที่เจ้าผลนี้ไร้เมล็ดแถมยังไม่สามารถนำกิ่งไปชำได้ แต่ยังไงก็ต้องหาวิธีปลูกมันให้ได้เพราะว่ามันมีประโยชน์ต่อฉันมากจริงๆ” ซูจิ้งรู้สึกเสียดายอย่างมากที่ไม่สามารถปลูกมันได้ แต่ก็ยังดีที่เขาได้ผลของมันมาจำนวนมาก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะให้มันแก่ครอบครัวของเขา ครอบครัวของฉือชิง รวมถึงใครก็ตามที่เขาถูกชะตาด้วย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะว่ายน้ำกันเก่งอยู่แล้วแต่ยังไงซะร่างกายก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ดี และถ้าเกิดเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องอยู่ในน้ำและไม่สามารถว่ายน้ำต่อไปได้ พวกเขาจะไม่มีวันจมแน่นอนถ้าได้กินผลไม้นี้เข้าไป
คราวนี้ซูจิ้งได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาหวังซือหยา เมื่อเธอเห็นว่าเป็นซูจิ้งได้รีบรับทันที หวังซือหยารีบพูดออกไปด้วยท่าทางที่สง่างามและน้ำเสียงที่นุ่มนวลมากกว่าตอนที่เธอคุยโทรศัพท์กับคนอื่น “อาจิ้ง ได้ยินมาจากชิงชิงว่านายมียาลดน้ำหนักแสนวิเศษอยู่ใช่รึเปล่า”
“ฮ่าฮ่า ข่าวไปถึงหูคุณเร็วดีจริงๆ ผมเองก็กะว่าจะหาโอกาสบอกคุณอยู่เหมือนกัน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมนายถึงมีของดีๆ มากมายอยู่ในมือกันนะ ขนาดฉันยังเริ่มจะอิจฉานายแล้วเนี่ย สนใจจะร่วมธุรกิจกับฉันอีกทีรึเปล่าล่ะ เอาให้ครบทุกรูปแบบไปเลยทั้งด้านความสวยความงาม เสริมสร้างสัดส่วน และลดน้ำหนัก” หวังซือหยาถามออกมาด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“แน่นอนสิ ก็ผมไม่รู้จักใครอื่นในเรื่องนี้นอกจากคุณแล้วนี่ ถ้าไม่ร่วมงานกับคุณแล้วผมจะไปร่วมงานกับใคร แล้วตอนนี้คุณอยู่ไหนกัน มาเจอกันหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งถามออกไป ที่เขาถามก็เพราะว่าเฉิงหนานเองก็ทำงานร่วมกับซือหยาอยู่แล้ว แถมทำงานได้อย่างไร้ที่ติ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนที่เขาจะคุยกับซือหยาโดยตรง
“ฉันอยู่ที่บริษัท ตอนนี้กำลังออกแบบเสื้อผ้ารุ่นใหม่อยู่ นายมาที่นี่ได้ไหมหล่ะ” หวังซือหยาถามกลับไป
“ได้ได้เดี๋ยวเจอกันครับ” ซูจิ้งเองก็ตกลงที่จะไปเจอหวังซือหยาที่บริษัท เขาได้ตรงไปที่สำนักงานของซือหยา เมื่อเขาไปถึงยังไม่ทันจะจอดรถเสร็จดี เขาก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งเดินมาที่เขาอย่างรวดเร็ว คนคนนั้นคือโจวซิ่วเพื่อนร่วมชั้นของเขาตอนมหาวิทยาลัย หลังจากที่เขาแนะนำเธอให้ซือหยารู้จัก เธอนั้นก็ได้ทำงานร่วมกับซือหยาแถมยังทำได้ดีซะด้วย ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนที่สวยมากมายอะไรแต่ก็ถือได้ว่าเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง ผิวขาว สูง ตอนนี้เธอมาด้วยชุดสูทสั่งตัด พร้อมมีบัตรพนักงานคล้องคลอและติดเข็มกลัดพนักงานดีเด่นเอาไว้ด้วย
“อาจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” โจวซิ่วทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เธอรู้ด้วยหรอว่าฉันจะมาน่ะ” ซูจิ้งเองก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน
“ใช่แล้ว พี่ซือหยาให้ฉันมารับนาย”
“ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้างหล่ะ”
“ต้องขอบคุณนายมากจริงๆ เงินเดือนของฉันตอนนี้มากกว่าเดิมตั้งสิบเท่าแล้ว ตอนแรกฉันเองก็อยากจะเลี้ยงมื้อค่ำนายสักมื้อ แต่พอได้ยินว่านายเองก็เป็นยอดเชฟขั้นเทพแห่งเมืองชิงหยุนก็เลยเลิกคิดเรื่องนั้นไป ยิ่งกว่านั้นนายเองก็ยังเป็นนักธุรกิจ ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทำได้แม้แต่การลุยไฟและบินขึ้นฟ้าไปช่วยชีวิตคน ฉันก็กลัวว่าจะโทรผิดจังหวะทุกครั้งไปเลยไม่กล้าโทรไปขอบคุณนายซักที” โจวซิวหัวเราะเล็กน้อย
“เอาจริงๆ ฉันเองก็ไม่ได้มีปัญหากับการกินอาหารจากฝีมือคนอื่นหรอกนะ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้ต้องคอยช่วยชีวิตผู้คนตลอดเวลาหรอก ถ้าเธอชวนฉันก็ยินดีเสมอ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเขาได้ยินที่โจวซิวพูด ดูเหมือนการที่เขาไปช่วยคนจะสร้างปัญหากับเขาไม่น้อยเหมือนกัน ที่แน่ๆคือทุกคนยกเรื่องนี้มาหยอกเขาเล่นอยู่เรื่อยๆ
“รอฉันเสร็จงานก่อนก็แล้วกัน ใกล้ได้เวลาแล้ว ฉันรู้จักร้านอาหารอร่อยๆใกล้นี่เอง”
ทั้งสองคนเดินเข้าสำนักงานคุยกันไปหัวเราะกันไป ในไม่ช้าซูจิ้งก็เริ่มรู้สึกตัวว่าเขาเป็นจุดสนใจเข้าซะแล้ว และคนที่มองส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงซะด้วย ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเมืองแม่ม่ายเลยแหะ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะว่ามันเป็นบริษัทเสื้อผ้าและธุรกิจเสริมความงามสำหรับผู้หญิง พนักงานทุกคนล้วนเป็นผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย การจะเห็นผู้ชายที่นี่นั้นจึงเป็นเรื่องยากมากๆ ไม่นานนักพวกเขาก็เดินไปถึงห้องของหวังซือหยา
เมื่อเขาเข้าไปในห้องก็เห็นมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งคุยกับซือหยาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อหวังซือหยาเห็นซูจิ้งรีบส่งสัญญาณให้เขานั่งลงและรีบถามออกไปว่า “อาจิ้ง นายคิดว่าชุดใหม่นี้เป็นยังไงบ้างล่ะ”
ทันใดนั้นผู้หญิงแทบจะทุกคนที่นั่นหันไปหาซูจิ้ง แม้แต่โจวซิวเองก็เช่นกัน พวกเขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าชั้นในกระชับสัดส่วนและชุดย้อนยุคที่สุดแสนจะสง่างามที่เป็นที่เลื่องลือกันนั้นล้วนมาจากการออกแบบของซูจิ้ง แต่พวกเธอก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าซูจิ้งจะมีความเข้าใจในเรื่องการออกแบบเสื้อผ้าผู้หญิงดีตามที่เขาลือกัน