แผลเป็น

หวังซือหยาได้เปิดสมุดสเก็ตแบบเสื้อผ้าให้ซูจิ้งดู โดยรูปสเก็ตพวกนั้นเป็นรูปชุดเดรสยาวให้ความรู้สึกสูงสง่าแบบชุดจีนโบราณ ซูจิ้งบอกได้แค่ว่าลวดลายนั้นออกแบบได้มาตรฐานและดูมีชีวิตชีวาเท่านั้น แต่ถ้าจะบอกว่าดีก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากนัก เขาเลยบอกไปตรงๆ ว่า “สำหรับผมก็ว่ามันแค่ดูปกตินะ ไม่ใช่ว่าพี่หยาหลิงนั้นถนัดออกแบบพวกเสื้อผ้าสมัยใหม่ไม่ใช่หรอ ทำไมงวดนี้ถึงมาออกแบบชุดเดรสจีนสมัยก่อนได้หล่ะ”

 

“ฮ่าฮ่า เพราะใครกันหล่ะที่ไปกระตุ้นทำให้ตอนนี้ตลาดแฟชั่นยุคจีนโบราณกำลังได้รับนิยมอยู่ เพราะการออกแบบของนายน่ะแหล่ะ ตอนนี้ลูกค้ามากมายต่างก็รอเสื้อผ้ารูปทรงใหม่อยู่นะ พวกเราเลยต้องลองออกแบบเสื้อผ้าแบบที่พอจะผลิตได้จำนวนมากเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าดู จนกระทั่งเราได้รูปแบบเสื้อผ้ารุ่นใหม่ออกมา แต่ว่าชุดเดรสย้อนยุคยังดูไม่ค่อยดีเลย ตอนผลิตออกมาก็คงจะดูแย่แน่ๆ” เซียหยาหลิง บ่นออกมาอย่างหมดหนทาง

 

“อาจิ้ง ช่วยออกแบบให้หน่อยสิซักชุดก็ยังดี” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

ซูจิ้งเองก็คิดไว้แล้วเหมือนกัน ถึงตอนแรกเธอจะลองออกแบบดูเองแต่ว่าซือหยาต้องขอให้เขาช่วยอยู่ดี สำหรับเขานั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยซักนิด ถ้าเขาไม่ได้กลัวว่าจะสร้างความปั่นป่วนในวงการแฟชั่นมากไปหล่ะก็เขาจะออกแบบมาให้ซือหยาเรื่อยๆอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงยิ้มตอบออกไปแล้วพูดว่า “ได้สิ”

 

เขาหยิบปากกาที่วางอยู่ข้างๆเขาขึ้นมา แล้วก็เริ่มลงเส้นบนกระดาษทันที หวังซือหยาและเซียหยาหลิงนั้นคุ้นชินแล้ว แต่กับสาวๆคนอื่นนั้นได้แต่ทำตาโตจ้องมองอย่างไม่วางตา พลางคิดไปว่านี่เขาไม่ลังเลก่อนจะลงมือวาดแต่ละเส้นเลยรึไงกัน

 

สาวๆเห็นแค่ซูจิ้งทำการวาดเส้นอย่างรวดเร็ว เขาค่อยขีดเส้นทีละนิดทีละนิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งค่อยออกมาเป็นรูปเป็นร่างและไม่ทันที่ทุกคนจะรู้ตัวผลงานการออกแบบของซูจิ้งก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว งานการออกแบบเสื้อผ้าชุดจีนย้อนยุครูปโฉมใหม่ปรากฏต่อหน้าของผู้คน หวังซือหยา เซียหยาหลิง โจวซิว และสาวๆคนอื่นได้แต่จ้องมองจนตาค้าง มันเป็นชุดเดรสยาว ดูเรียบง่าย ทรงสง่า เหมือนชุดของเทพธิดาก็ไม่ปาน มันดูสวยงามซะจนไม่อยากละสายตาไปไหน

 

“พวกเธอคิดว่ายังไงกันบ้างหล่ะ” ซูจิ้งได้วางมือลงและได้ถามออกมา ชุดนี้ซูจิ้งได้แรงบันดาลใจมากจากชุดๆหนึ่งที่เข้าเก็บมาได้จากขยะห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียน ซึ่งมันเป็นหนึ่งในลวดลายที่เขาชอบมากที่สุด ซูจิ้งยังค่อนข้างมั่นใจซะด้วยซ้ำว่าชุดนี้จะต้องเป็นชุดของลู่เสว่ฉี(ในละครทีวีเป็นนางรองแต่สวยกว่านางเอก 555)และศิษย์แสนสวยคนอื่นๆของสำนักเมฆาเขียวแน่นอน

 

“สวยจัง” หวังซือหยาเอ่ยปากชม

 

“คุณซู คุณนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ ทำไมฉันถึงออกแบบอย่างนี้บ้างไม่ได้นะ” เซียหยาหลิง รู้สึกอิจฉาความสามารถในการออกแบบเสื้อผ้าของซูจิ้งอย่างมาก

 

“แค่ได้ยินไม่สู้เห็นเองจริงๆ” เหล่าสาวๆต่างพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

 

ซูจิ้งยังคงลงมือออกแบบต่อไป ภายใต้สายตาของทุกคนนั้นพวกเขาต่างรู้สึกเหมือนกันว่าเพียงซูจิ้งลงมือวาดไม่นานนักชุดใหม่ก็เสร็จแล้ว

ชุดรูปแบบใหม่ค่อยๆทยอยออกมาปรากฏแก่สายตาพวกเธอ บางชุดซูจิ้งก็ได้แรงบันดาลใจมาจากห้วงเวลาฯเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน ชุดหนึ่งจากห้วงเวลาฯเขตแดนที่นองเลือด ชุดหนึ่งจากห้วงเวลาฯเรื่องศึกท้ารบสวรรค์ อีกชุดหนึ่งมาจากห้วงเวลาฯเฉินมู่ชุดแต่ละชุดนั้นล้วนแล้วแต่มีลวดลายที่แตกต่างกันแต่พวกมันต่างก็มีความสวยงามและรูปทรงที่ดูทันสมัยเข้ากับยุค ทุกคนได้แต่ยืนทึ่งในความงดงาม แม้แต่หวังซือหยาและเซียหยาลิงเองที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี่ก็ยังได้แต่ยืนดูแบบทึ่งๆ

 

ช่างเป็นความเร็วและพรสวรรค์ที่น่าตกตะลึง ช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ มันยากจริงๆที่จะเชื่อว่าซูจิ้งไม่ใช่นักออกแบบเสื้อผ้ามืออาชีพ ถ้าเขานั้นยอมที่จะมาเอาดีด้านนี้ล่ะก็วงการแฟชั่นเสื้อผ้าต้องสั่นสะเทือนและต้องมีคนไม่น้อยต้องตกงานเป็นแน่

 

“เอาหล่ะ แค่นี้คงพอแล้ว” ซูจิ้งแสดงความรู้สึกเหนื่อยออกมาเล็กน้อย

 

“มากพอแล้ว” หวังซือหยาพยักหน้าตอบรับและรีบหยิบสมุดออกแบบของซูจิ้งมาเปิดดูทีละหน้าทีละหน้า ยิ่งเธอเห็นเธอก็ยิ่งชอบมันมากขึ้นเรื่อย เธออดไม่ได้ที่จะเอามือไปแตะที่บนหัวของซูจิ้งเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณสมองของซูจิ้งคะ คุณสมองอยู่มานานแค่ไหนแล้วคะ ช่างมีพรสวรรค์จริงๆเลย”

 

“ฮ่าฮ่า ผมรู้สึกดีเลยนะเนี่ย” ถึงซูจิ้งจะพูดอย่างนั้นไปแต่ใจจริงแล้วเขาเองก็รู้ดีว่าเขานั้นไม่ใช่คนออกแบบมันจริงๆ เขาแค่อาศัยแรงบันดาลใจจากห้วงเวลาฯเรื่องต่างๆ ตามสิ่งของที่เขาได้พบเจอมาแค่นั้นเอง

 

“พวกเธอคิดว่ายังไงบ้าง” หวังซือหยาหันไปถามสาวๆคนอื่น

 

“สมบูรณ์แบบ” ทุกคนในที่นั้นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันออกมา

 

“พวกนี้คือเสื้อผ้าจีนย้อนยุครูปโฉมใหม่ของพวกเรา ต้องรีบผลิตพวกมันออกมาให้เร็วที่สุด พวกเธอไปคุยเกี่ยวกับรายละเอียดกันก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวฉันขอคุยกับอาจิ้งซักพัก แล้วก็ฉือเหยาเธอไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเป็นบนขาของเธอให้มากนักหรอกนะ แค่รอยแผลเป็นนิดหน่อยใส่กระโปรงยาวก็ไม่เห็นแล้ว ฉันจะให้เธอเป็นนางแบบกระโปรงยาวชุดนี้เลยเอ้า” หวังซือหยาพูดออกมา

 

“ได้เลยจ้ะ” สาวสวยคนหนึ่งหันมาพยักหน้าให้ซือหยาพร้อมรอยยิ้ม “กระโปรงยาวชุดนี้ช่างดูสวยมากซะจนฉันแทบจะรอใส่มันไม่ได้อยู่แล้ว”

 

“แผลเป็นงั้นหรอ” ซูจิ้งถามแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางสนใจ

 

“ฉือเหยานั้นไม่ใช่นางแบบเต็มตัวหรอก เธอเป็นนางแบบขาน่ะ ไม่กี่วันก่อนมีอุบัติเหตุรถยนต์นิดหน่อยเกิดขึ้นกับเธอทำให้เกิดรอยแผลเป็นเล็กๆเท่ารอยแมวข่วน ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่กับฉือเหยาเธอค่อนข้างกังวลเรื่องนี้น่ะ ถึงการทาแป้งจะช่วยดูให้จางลงแต่มันก็ยังมองเห็นอยู่ดี” หวังซือหยาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ซูจิ้งฟัง

 

“ฉันไม่ได้กังวลเรื่องขาซะหน่อย ฉันกังวลเรื่องงานโฆษณาที่บริษัทรับมาต่างหาก เธอรู้ไหมว่าเราต้องพลาดงานไปกี่งานเพราะเจ้ารอยแผลเล็กๆนี่” เจิ้งฉือเหยาทำได้เพียงแค่ยิ้มรับสภาพแค่นั้นในตอนที่เธอพูดออกมา

 

“ขอผมดูหน่อยได้ไหม” ซูจิ้งถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“เอ่ออออ….” ทุกคนต่างทำหน้างงๆใส่กัน โจวซิวและเซียหยาหลิงเองก็มองซูจิ้งแปลกๆ หวังซือหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ชายผู้โด่งดังกลับมาขอดูขาของสาวน้อยเนี่ยนะ เธอนึกในใจก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “นายนี่ไม่เกรงกลัวข้อครหานินทาเหมือนเดิมเลยนะ(ทำอะไรไม่คิด)”

 

“แค่ก ผมไม่ได้หมายความว่าจะดูแบบนั้นซะหน่อย ผมหมายถึงขอดูรอยแผลหน่อยเพื่อว่าจะทำอะไรได้บ้างน่ะ” ซูจิ้งรีบพูดออกมาทันที แต่เมื่อซือหยาได้ยินเธอกลับทำตาลุกวาว แต่เจิ้งฉือเหยา โจวซิว เซียเหยาหลิง และคนอื่นๆกับทำหน้ามึนทันที พวกเขารู้เพียงแค่ว่ารอยแผลเป็นนั้นไม่มีทางหายไปไม่ว่าพวกเธอจะไปเข้าโรงพยาบาลเสริมความงามชั้นนำที่ไหนก็ตาม แล้วอย่างซูจิ้งจะทำอะไรได้ ต่อให้ใช้แป้งเหม่ยหยานที่ซูจิ้งคิดค้นยังลบได้เพียงเล็กน้อยแค่นั้นเอง ผลที่ใช้ในการลบเลือนริ้วรอยนั้นใช้ได้กับแค่แผลเป็นเล็กๆเท่านั้น

 

“ฉือเหยา ให้อาจิ้งดูให้เถอะ” หวังซือหยาพูดออมา

 

“ก็ได้” เจิ้งฉือเหยาไม่รีรอแม้แต่น้อย เธอยืนด้วยท่วงท่าที่ดูดีที่สุดในชีวิตเพราะเอาจริงๆ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะยืนแบบไหนเพื่อไม่ให้ซูจิ้งรู้สึกไม่ดี เพราะซูจิ้งถึงจะสูงประมาณ175ซม.ซึ่งถือว่าสูงมากแล้วแต่เธอก็ยังสูงกว่าซูจิ้งแถมเธอยังใส่รองเท้าส้นสูงขึ้นไปอีก ขาของเธอนั้นมีรูปร่างตรงและยาวอย่างได้รูป เหมาะสมแล้วที่เธอเป็นนางแบบขา ฉือเหยาได้ดึงกระโปรงยาวของเธอและแสดงให้เห็นถึงเรียวขาพร้อมแผลเป็นเล็กๆ ที่ขาด้านขวาของเธอ

 

โดยทั่วไปแล้วคนทั่วไปไม่มีใครมานั่งสนใจเรื่องรอยแผลเป็นพวกนี้ซักเท่าไหร่นัก พวกเขาต่างก็คิดว่ามันไม่ได้แตกต่างจากสีผิวซักปกติของพวกเขาเท่าไหร่นักหรอก แต่กับคนที่มีขาขาวประดุจหยกแบบเธอนั้น แค่ฝุ่นเม็ดเล็กๆเกาะก็เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเป็นกังวล

 

“ยังดีที่ไม่ลึกมากนะเนี่ย” ซูจิ้งพูดลอยๆออกมา

 

“คุณซู คุณมีวิธีทำให้มันหายไปจริงๆงั้นหรอ” เจิ้งฉือเหยามองซูจิ้งแบบจริงจังพร้อมเอ่ยถามออกมา

 

“มันก็พอมีแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้ผลรึเปล่านะ” ซูจิ้งพูดจบแล้วเขาก็ได้หยิบขวดเล็กๆออกมาขวดหนึ่ง เขารินผงเล็กๆสีขาวๆออกมาจากขวดนั้น เขาป้ายผงนี้ลงบนรอยแผลเป็นของเจิ้งฉือเหยาแล้วยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งทาแป้งลงไปบนแผลเป็นซะล่ะ แล้วเราค่อยมาดูผลกันทีหลัง”

 

“แค่เนี้ยย…” ทุกคนที่เห็นการกระทำของซูจิ้งต่างก็คิดว่าเขานั้นล้อเล่นแน่ๆ รอยแผลเป็นไม่มีทางหายไปได้ง่ายๆต่อให้เธอไปเข้าโรงพยาบาลเสริมความงามก็ตาม แล้วกับแค่ผงแป้งเล็กๆเนี่ยนะ

“ฉือเหยา ทำตามที่อาจิ้งบอกเถอะนะ” หวังซือหยาพูดรับประกันออกมา

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ขอบคุณค่ะคุณซู” เจิ้งฉือเหยาได้ยิ้มดีใจออกมา ถึงแม้จะเชื่อได้ยากว่าแค่ทาแป้งพวกนี้แล้วแผลเป็นจะหาย แต่เธอก็ไม่ควรปฏิเสธความหวังดีของคนที่ใจดีกับเธอ ลองดูแค่นี้ก็ไม่เสียหายอะไร แล้วถ้ามันได้ผลขึ้นมาจริงๆ หล่ะ