บทที่ 73 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 73 แผนร้ายถูกเปิดโปง (2)

“โอ๊ย เธอทำอะไรน่ะ เจ็บนะ” ฉู่ซ่งมองอี้เป่ยซีด้วยสีหน้าน้อยใจ ลูบคลำหน้าอกของตัวเองที่ถูกศอกของเธอกระแทกอย่างอดไม่ได้ ไม่เห็นต้องลงมือกันแรงแบบนี้เลย เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย

อี้เป่ยซีกวาดตามองเขาอย่างสงสัย “นายรีบพูดมาเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้านายไม่พูดฉันจะไปถามคนอื่น ถึงยังไงพวกเขาก็รู้”

‘ใครจะกล้าเสี่ยงชีวิตบอกเธอล่ะ’ ฉู่ซ่งไม่เห็นด้วยอยู่เงียบๆ “ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่เชื่อเธอก็ไปถามคนอื่นสิ พวกเขาก็จะตอบแบบนี้แหละ”

“ลั่วจื่อหานไม่ให้นายพูดใช่ไหม? ใช่ไหม?”

“เกี่ยวอะไรกับพี่จื่อหานด้วยล่ะ ฉู่เซี่ยเธอถามใจตัวเองดู ลั่วจื่อหานทำไม่ดีกับเธอเหรอ ทำไมพอเกิดเรื่องก็สงสัยเขา”

เธอหรี่ตา “นายบอกว่าไม่มีอะไรไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้มาบอกว่าเกิดเรื่องล่ะ ถ้านายไม่บอกฉัน ฉันจะไปถามเอง” พูดจบก็หันหลังจะจากไป ฉู่ซ่งดึงเธอไว้

‘ครั้งนี้จะเฉไฉก็เฉไฉต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้างั้นผ่อนหนักให้เป็นเบาเล่าสักหน่อยเถอะ’ เขาพยักหน้า กระแอมไอ

“ก็เพราะเธอนั่นแหละ ก่อนหน้านี้ส่งฉินรั่วเข่อกลับหอพัก เขาร้องไห้หนักขนาดนั้น คนอื่นก็พูดว่าเธอเป็นคนรังแก ก็เลยรักษาระยะห่างจากเธอ ฉันก็กลัวว่าเธอจะโมโหนี่นาเลยไม่ได้บอก แต่ว่าเธอวางใจเถอะ เรื่องนี้อีกไม่นานก็เรียบร้อยแล้ว”

‘หวังว่านะ’ เขาแอบอธิษฐานอยู่ในใจขณะสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของอี้เป่ยซี

“ฉันก็ว่าทำไมฉินเยวี่ยเข่อถึงมาหาเรื่องฉัน ที่แท้ก็เพราะอย่างนี้…” เธออึ้งไป “ไม่ใช่สิ แล้วทำไมฉินรั่วเข่อต้องร้องไห้เสียใจขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

ฉู่ซ่งเกาหัว “เธอถามว่าทำไมเยอะแบบนั้น ฉันอยากรู้เหมื่อนกันว่าทำไมพวกผู้หญิงอย่างเธอเอะอะๆ ก็ร้องไห้ เธอก็เหมือนกัน ร้องไห้จนคนอื่นทำตัวไม่ถูกเลย”

“ฉันมีเหตุผลโอเคหรือเปล่าล่ะ แต่นายโง่เองที่ดูไม่ออก”

เขายักไหล่ “ฉะนั้นนะ เธอกับฉินรั่วเข่อรู้จักกันไม่นาน เธอจะดูเขาออกได้ยังไงล่ะ” มองเห็นชัดเจนว่าเธอเป็นคนอย่างไรกันแน่ ใช้ลูกไม้ไหนกันแน่ คิดถึงตรงนี้ ฉู่ซ่งอดไม่ได้ที่จะกัดฟัน

อี้เป่ยซีค่อยพยักหน้าด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่ความสงสัยในใจยังคงไม่จางหายไป “ทำไมจู่ๆ นายก็โผล่มาที่หน้าห้องเรียนพวกเราล่ะ?”

“ฉัน ฉันอยากจะไปกินข้าวกับเธอนี่นา เธอไม่ได้อยู่กับฉันนานแล้ว ไปเถอะๆ”

“ตอนนี้เพิ่งสิบโมงจะกินข้าวอะไร อีกอย่างฉันยังมีเรียนนะ เด็กน้อยไปเล่นที่อื่นไป อย่ามารบกวนความตั้งใจเรียนของฉัน”

“ไม่สน ไม่สน ไป” เขาไม่สนว่าอี้เป่ยซีจะเต็มใจหรือเปล่า ก็ดึงเธอออกไปทันทีแล้ว ในใจรู้สึกโล่งอก

ปิดบังเธอตลอดแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ใช่ เมื่อไรมันจะจบลงสักทีนะ เขาอยากจะบอกเธอทุกอย่างจริงๆ อยากให้เธอได้เห็นอย่างชัดเจนเร็วกว่านี้ และอยู่ห่างคนพวกนั้นไปให้ไกล มือเขายิ่งออกแรงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทั้งสองคนมาถึงร้านอาหารที่ธรรมดามากร้านหนึ่งนอกมหาวิทยาลัย ฉู่ซ่งสั่งกับข้าวจำนวนมาก ท่าทางอยากอาหารเป็นอย่างยิ่ง อี้เป่ยซีมองดูอาหารชั้นเลิศแต่กลับไม่มีความอยากอาหาร

“ฉู่ซ่ง ฉันขอมือถือนายแป๊บนึงสิ”

“ธะ เธอจะทำอะไร?”

“โทรหาพี่…ไม่ ฉันจะโทรหาลั่วจื่อหาน เมื่อวานเอ่อ…อยากบอกอะไรเขาหน่อย”

ฉู่ซ่งยิ้มด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม พยักหน้าให้ “ฉันเข้าใจ อยากให้ฉันหลบไปหรือเปล่า ให้พวกเธอได้คุยอะไรกัน?”

อี้เป่ยซีคว้าโทรศัพท์มือถือมาทันที จากนั้นเปิดประตูห้องอาหารออกไป หามุมหนึ่งแล้วกดโทรหาเบอร์ของอี้เป่ยเฉิน

“ฮัลโหล” น้ำเสียงปลายสายเต็มไปด้วยความอ้อนล้าและกระสับกระส่าย เขาเป็นอะไรไป? อี้เป่ยซีนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก

“พี่เป่ยเฉิน”

“เสี่ยวซี ตอนนี้เธอดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

“พี่เป่ยเฉิน พี่ก็รู้แล้ว ทำไมไม่มาเยี่ยมเสี่ยวซีล่ะ”

“เสี่ยวซี พี่มีธุระด่วนต้องจัดการจริงๆ เดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว รอจนสุดสัปดาห์ เดี๋ยวพี่จะพาเสี่ยวซีไปเที่ยวเป็นการชดเชยดีไหม?”

“ได้ งั้นพี่ไปทำงานเถอะ เสี่ยวซีไม่รบกวนพี่แล้ว วางหูแล้วนะ”

“เสี่ยวซี”

“หืม?”

“เธอต้องเชื่อพี่นะ” ไม่รู้ว่าทำไม อี้เป่ยซีรู้สึกว่าเขามีความกังวลใจและทำอะไรไม่ถูก คงจะกดดันมากเกินไปล่ะมั้ง

“พี่เป่ยเฉิน เสี่ยวซีจะเชื่อพี่ตลอดไป พี่ก็ต้องเชื่อในตัวเองด้วย สู้ๆ นะ”

“อืม สู้ๆ”

อี้เป่ยซีวางสาย รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม จึงลบบันทึกการโทรออกไป ขณะที่กำลังจะก้าวเดินก็ครุ่นคิดเล็กน้อย และยังเลือกโทรหาลั่วจื่อหาน รอจนเสียงสัญญาณดังขึ้นสามครั้งถึงรีบตัดสาย แล้วจึงเดินเข้าไปที่ห้องส่วนตัว

“กับข้าวมาครบแล้ว เธอรีบกินเถอะ”

อี้เป่ยซียัดโทรศัพท์มือถือใส่ตัวของเขา ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้ถาม ฉู่ซ่งนึกว่าเธอเขินจึงไม่ได้พูดอะไรมาก กินไปได้ครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์กลับดังขึ้น

“พี่จื่อหาน?”

อี้เป่ยซีได้ยินเสียงก็แย่งโทรศัพท์มือถือไปทันที แล้วออกไปข้างนอก

“ฮัลโหล ฉันเอง”

“เดาอยู่แล้วว่าเป็นเธอ เมื่อกี้กำลังประชุม มีอะไรเหรอเป่ยซี?”

“คือว่า…” เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะโทรหาเขาด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง มือกำโทรศัพท์มือถือแน่นเล็กน้อย ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ “แค่อยากถามว่านายเห็นมือถือฉันไหม? เมื่อเช้าฉันหายังไงก็หาไม่เจอ”

“เด็กโง่” เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยความเอ็นดู แม้ไม่เห็นเธอก็จินตนาการถึงใบหน้าตกใจที่อมยิ้มชวนหลงใหลได้

“ฉันเปล่าซะหน่อย งั้นนายรู้สิว่ามันอยู่ไหน?”

“อือ บ่ายวันนี้กลับอะพาร์ตเมนต์ฉันจะช่วยเธอหา”

“เฮ้อ แต่ว่าฉันหาทั่วอะพาร์ตเมนต์แล้วนะ”

“เธอน่ะ จะไปสังเกตเห็นตรงซอกเล็กๆ ที่ไหนล่ะ คืนนี้อยากกินอะไร ฉันจะซื้อข้าวเข้าไปให้”

“อยากกิน…” อี้เป่ยซีเพิ่งรู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเขาแบบนี้เหมือนคนสนิทที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย

อีกฝ่ายดูเหมือนจะเข้าใจว่าทำไมเธอถึงหยุดไป จึงหัวเราะออกมา “เอาเถอะ ฉันรู้แล้ว”

“นายรู้ว่าอะไร?”

“ฉันยังมีประชุม คืนนี้ค่อยคุยกันเถอะ”

“อ้อ”

เธอกุมโทรศัพท์ไว้ จิตใจรู้สึกสงบมาก แต่ก็รู้สึกว่าไม่สมจริงเล็กน้อย รู้สึกว่าเห็นชัดๆ ว่ายืนอยู่บนพื้นแต่เท้ากลับล่องลอย ความรู้สึกประเภทนี้บอบบางมาก ชวนให้รู้สึกว่าไขว่คว้าไม่ได้ทั้งๆ ที่อยู่ในมือ

อี้เป่ยซีถอนหายใจ เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าชีวิตสับสนวุ่นวายอีกแล้ว ตัวเองจะต้องมีสติ ต้องมีสติ

อาจเป็นเพราะคิดมากเกินไป อี้เป่ยซีเห็นกับข้าวเต็มโต๊ะก็กินอย่างสำราญเต็มที่ แย่งไปแย่งมากับฉู่ซ่งราวกับเด็กน้อยสองคน บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง

สุดท้ายภายใต้คำขอร้องอันแรงกล้าของฉู่ซ่ง อี้เป่ยซีได้แต่จำใจพาเขาไปที่คาบเรียนช่วงบ่ายของตัวเองด้วย คาบของเซี่ยเช่อ ในห้องเรียนเต็มไปด้วยผู้คนเช่นเคย

รอจนกระทั่งออดคาบเรียนดังขึ้น คนที่เข้ามากลับไม่ใช่เซี่ยเช่อ แต่เป็นอาจารย์เฉินที่ลือกันว่าลาคลอด เธอมองนักศึกษาที่อยู่ด้านล่างเวทีด้วยความขึงขัง แล้วเริ่มบรรยายวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะของตัวเอง ด้านล่างหลับกันเป็นแถบ

“เอ๊ะ นี่เหมือนจะไม่ใช่อาจารย์ต่างชาติที่พวกเขาว่ากันว่าหล่อมากนี่นา?” ฉู่ซ่งเท้าศีรษะถาม เห็นได้ชัดว่าก็ง่วงนอนเช่นกัน

“ไม่ใช่เขา” อี้เป่ยซีคิดอยากเอาโทรศัพท์มือถือออกมาถามความเป็นไปสักหน่อย แต่นึกได้ว่ามือถือของตัวเองหายไป จึงถอนหายใจ ไม่มีมือถือนี่ไม่ชินเลยจริงๆ

………………………