บทที่ 74 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 74 แผนร้ายถูกเปิดโปง (3)
หลังจากอี้เป่ยซีกลับถึงบ้าน ตอนนี้บนโต๊ะมีอาหารวางเรียงรายแล้ว เธอมองดูผู้ชายที่ยกกับข้าวออกมาจากห้องครัว อ้าปากด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “นาย นายเข้ามาได้ยังไง ฉันจำได้ว่าล็อคประตูแล้วนะ”
“วางกระเป๋าแล้วกินข้าวก่อนเถอะ”
“อ่อ” เธอวางกระเป๋าลงอย่างเชื่อฟัง เดินไปด้านหน้าโต๊ะกินข้าวเงียบๆ กับข้าวที่ทำเสร็จแล้วต่างจากเมื่อวานมาก คีบชิ้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ อดไม่ได้จนร้องอุทาน
“เป็นไงบ้าง? รสชาติแย่เหรอ?” ลั่วจื่อหานก็ชิมไปคำหนึ่ง ขมวดคิ้วกันเล็กน้อย “วันนี้ไฟอ่อนไปหน่อย”
“หา!” ไม่เกินไปหน่อยมั้ง ทำไมกินให้ตายยังไงเธอก็กินไม่ออก คิดพลางเล่นข้าวในถ้วยด้วยความขับข้องใจเล็กน้อย
ลั่วจื่อหานเห็นการกระทำของเธอ เอ่ยปาก “ช่างเถอะ ไม่งั้นไปกินข้างนอกไหม?”
“ไม่ๆๆ รสชาติไม่เลวเลยนะ ไฟอ่อนไฟแรงอะไรนั่น ฉันกินไม่ออกหรอก”
“ฉันก็นึกว่า…” เขาเห็นท่าทางของอี้เป่ยซีที่เตรียมลงมือกิน “ไม่มีอะไร”
“อืมๆ”
หลังจากกินข้าวแล้วไม่ว่าจะพูดอย่างไรลั่วจื่อหานก็ไม่ยอมให้เธอเข้าไปล้างถ้วย อี้เป่ยซีได้แต่นั่งบนโซฟา หยิบนิตยสารเล่มหนึ่งออกมาอ่าน ยังคงเป็นข่าวปกติทั่วไป ชีวิตยังคงเรียบนิ่งราวกับสายน้ำ เธอทนไม่ไหวโยนนิตยสารไปอีกทาง อยากเล่นมือถือจังเลย พระเจ้า เธอจากมันมากนานเท่าไรแล้ว
เธอนอนหงายอยู่บนโซฟา ข่มความกระวนกระวานภายในร่างกายเอาไว้ มองดูเพดาน เบื่อหน่ายเป็นที่สุด
“ลั่วจื่อหาน นายรู้ไหมว่ามือถือฉันอยู่ไหน?” คนในห้องครัวแหย่มือออกมา พยักหน้า วางโทรศัพท์มือถือที่มีเคสสีเขียวบนโต๊ะกาแฟ อี้เป่ยซีลุกขึ้นมารวดเร็ว ราวกับได้เจอเพื่อนสนิทที่หายไปหลายปี คว้าหมับทันที
เปิดเครื่อง นอกจากข้อความไม่กี่ข้อความจากสำนักงานธุรกิจแล้วก็ไม่มีอะไรเลย จู่ๆ ก็รู้สึกท้อแท้ ไหนบอกว่าตัวเองสลบไปตั้งนานไม่ใช่เหรอ ทำไมข้อความถามสารทุกข์สุกดิบสักข้อความก็ไม่มีเลย แม้แต่พี่เป่ยเฉินก็ไม่มี
แปลก แปลกมาก แปลกเกินไปแล้ว
ดวงตาโตของเธอสอดส่องไปรอบกาย สุดท้ายหยุดอยู่บนใบหน้าของลั่วจื่อหาน
“ลั่วจื่อหาน” เธอยิ้ม คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นก็สบสายตากับเธอ ระคนด้วยความลึกซึ้งและความรัก อี้เป่ยซีลืมว่าตัวเองต้องการพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
“หืม?”
เธอเบือนหน้าหนีทันที มองไปอีกทางพลางพูด “คือว่า ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมพวกนายทุกคนแปลกๆ กันทั้งนั้นเลย”
“เป่ยซี เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าอยากพูดแบบนี้?”
เธอกระแอมไอ หันกลับมา ก้มหน้า มองดูปลายนิ้วของตัวเอง “แบบนี้ก็ได้มั้ง อัยยา อย่าเปลี่ยนหัวข้อสิ นายก็รู้อะไรใช่ไหม?”
“อาจเป็นเพราะเธอสลบนานไป ก็เลยอ่อนไหวบ้าง ทุกคนก็รู้สึกว่าทุกอย่างปกติดี”
“แต่ว่า ฉันรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิมนะ พี่เป่ยเฉินไม่มาหาฉัน คนอื่นพอเห็นฉันก็หลบหน้า ฉู่ซ่งก็อ้ำๆ อึ้งๆ” เธอจับชายเสื้อของตัวเอง “ยังไงก็ไม่เหมือนเดิมแต่ว่าฉันพูดไม่ถูก”
“แบบนี้ไหม งั้นฉันจะช่วยเธอถามฉู่ซ่งให้ ถ้ามีเรื่องอะไร ฉันจะบอกเธอเป็นไง?” ลั่วจื่อหานเหมือนกับกำลังกล่อมเด็กตัวน้อย น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน
อี้เป่ยซีมองสีหน้าของเขา ทุกอย่างเป็นปกติ แต่ก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เธอพยักหน้า
ทำไมถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอ
แม้จะมีความขี้เกียจจนเป็นนิสัย แต่ครั้งนี้อี้เป่ยซีก็อยากจะเข้าใจโดยเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพื่อขจัดความกังวลใจในตอนนี้ออกไปให้สิ้น
งั้นก็ไปสืบเองแล้วกัน
เธอพยักหน้ากับตัวเอง ไม่ได้พูดอะไรอีก ลั่วจื่อหานง่วนอยู่สักพักก็ออกมาพร้อมผลไม้อีกครั้ง หลังจากกำชับให้เธอกินก็ไม่ได้อยู่ต่อนานนัก เธอครุ่นคิดเพียงลำพังอยู่ในความเงียบสงัด
จะเริ่มจากใครดี เธอกัดผลไม้ชิ้นหนึ่ง เท้าศีรษะ นักศึกษาคนอื่น? ดูแล้วคงจะไม่บอกอะไรกับเธอแน่ ถังเสวี่ย? ถ้าเธออยากพูดก็คงพูดนานแล้ว ฟางหมิ่นฉินรั่วเข่อ อัยยา จะไปหาใครดีนะ
ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเอง อีกทั้งการคาดเดาก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร เช่นนั้นใครจะบอกเรื่องพวกนี้กับเธอได้บ้างล่ะ?
เธอวางส้อมในมือลง ใช่แล้ว ฉินเยวี่ยเข่อ ดูจากท่าทีของเธอวันนี้แล้ว เธอจะต้องรู้ทุกอย่างแน่ พรุ่งนี้ไปหาเธอก็แล้วกัน ตามนี้แหละ
เธอไปที่ห้องหนังสือหาซีรีส์ที่ดูเมื่อวาน ดูไปไม่กี่ตอน รอจนเวลาทั้งหมดบนหน้าจอกลับไปที่เลขศูนย์จึงลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจ ล้างหน้าล้างตา แล้วก็เตรียมตัวเข้านอน ทันใดนั้นเองก็นึกเรื่องนึงขึ้นมาได้ รีบเปิดโปรแกรมแชทด้วยความร้อนรน
ในเวลานี้ เขาน่าจะยังไม่นอนมั้ง
หลิงซี: เซี่ยเช่อ นายอยู่ไหม?
ผ่านไปหลายนาที ในขณะที่อี้เป่ยซีกำลังจะเข้าสู่ความฝันอยู่นั้น เสียงข้อความในมือถือดังขึ้น
พี่เป่ยเฉิน? เธอเปิดข้อความ
“เสี่ยวซี ยังไม่นอนเหรอ ตอนนี้พี่อยู่ข้างล่าง” อี้เป่ยซีวิ่งลงไปข้างล่างโดยไม่คิดอะไร เห็นอี้เป่ยเฉินกำลังพิงอยู่ที่รถของเขา ในมือคีบบุหรี่มวนหนึ่ง เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าอี้เป่ยเฉินซูบผอมลงมาก ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงเล็กน้อย ดวงตาก็แดงก่ำอีกทั้งยังรื้นน้ำตา เธอเรียกเบาๆ
อี้เป่ยซีทิ้งบุหรี่ในมือ กอดเธอแน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป อี้เป่ยซีก็เอื้อมมือโอบเอวของเขา แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่อี้เป่ยซีทำให้เขาหดหู่เช่นนี้ รู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวเหลือเกิน
“พี่เป่ยเฉิน”
“ชู่ว์ ขอให้พี่กอดแบบนี้อีกหน่อย” น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง เหมือนกับคนที่ไม่ได้พูดมานาน หรือคนที่พูดมากเสียจนทำให้เส้นเสียงเสียหาย คนที่พูดพยายามอย่างมาก พยายามมาก พยายามจนชวนให้คนปวดใจ
อี้เป่ยซีก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ รักษากิริยาเมื่อครู่ไว้ ฟังเสียงหัวใจเต้นบนหน้าอกเขาเงียบๆ มันเต้นถี่เล็กน้อยแต่ว่าทรงพลังมาก
ผ่านไปเนิ่นนานเนิ่นนาน นานเสียจนลมฤดูใบไม้ผลิยามค่ำคืนพัดโชยจนเสื้อผ้าบนตัวเย็น นานเสียจนปลายนิ้วก็หนาวเหน็บด้วยอี้เป่ยเฉินจึงค่อยๆ ปล่อยเธอ เขาประคองไหล่ของอี้เป่ยซี ยื่นมือสางผมที่ยุ่งเหยิงของเธอ
“พี่เป่ย…อือ…” อี้เป่ยซีมองคนข้างหน้าอย่างเหลือเชื่อ ริมฝีปากถูกเขาประกบอย่างแรง เจือปนความเอาแต่ใจและความอุกอาจไม่ลังเล สองมือถูกกุมไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีที่ว่างสำหรับการต่อต้านเลย ปิดปากแน่น ในดวงตาก็ค่อยๆ เต็มไปด้วยน้ำตา
“เสี่ยวซี” เสียงที่สั่นเครือของอี้เป่ยเฉินเต็มไปด้วยความเสียใจและการตำหนิตัวเอง อี้เป่ยซีไม่ฟังเขาอธิบาย วิ่งกลับห้องของตัวเองทันที ปิดประตูอย่างแรง นั่งอยู่บนพื้นไร้เรี่ยวแรง
อี้เป่ยเฉินเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว สุดท้ายก็วางมือลงอย่างหมดแรง จุดบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน นั่งอยู่หน้าประตูด้วยความกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง แสงจันทร์สดใสไร้ซึ่งดวงดาว กลิ่นของดอกไม้ที่หอมสดชื่นยังคงลอยอยู่กลางอากาศแต่ว่ามันก็ไม่สามารถบดบังกลิ่นความเศร้าอันหนักอึ้งของบุหรี่ได้
เขาพิงประตู เหมือนว่ายังได้ยินเสียงคนที่อยู่ในห้องสะอึกสะอื้น คิ้วที่ย่นอยู่แล้วยิ่งขมวดกันหนักกว่าเดิม
………………………….