ตอนที่ 306 ไม่เคยยอมรับเรื่องการแต่งงานมาก่อน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หากว่าร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลันไม่สามารถรักษาให้หายได้ จะใช้ร่างของเหลียงเซิงเซิงผู้นี้แทนก็ไม่เลว

 

 

รอยประทับบนริมฝีปากล่างนั่น เป็นเครื่องรับรองที่ดีที่สุด

 

 

“ข้าไม่ใช่คนร้ายหรอก แค่อยากจะช่วยท่าน” พอไม่ได้รับคำตอบ สองแก้มของเหลียงเซิงเซิงก็ชักจะแดงขึ้นมา

 

 

นางอุ้มของกินเอาไว้มากมาย จึงรู้สึกว่าน่าอายอยู่บ้าง

 

 

นางไม่ค่อยได้เจอกับคนจากภายนอก แต่พอได้พบกับพี่สาวผู้นี้กลับรู้สึกคุ้นเคย ทั้งยังเห็นว่านางงดงามมาก จึงคิดจะช่วยเหลือนาง

 

 

หากโชคดี อาจจะช่วยรักษาสมองที่ถูกลาถีบนั่นให้หายดีก็ได้นะ?

 

 

พอตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่จริงใจของนาง คำปฏิเสธที่มาถึงริมฝีปากก็จำใจต้องกลืนกลับไป “ตกลง”

 

 

ดวงตาทั้งคู่ของเหลียงเซิงเซิงเป็นประกาย “งั้นข้าจะพาท่านไปที่บ้านในตอนนี้เลย!”

 

 

พูดแล้ว ก็เห็นนางก้าวยาวๆ ขึ้นมาบนรถม้า เอาสิ่งของในอ้อมแขนกลิ้งหลุนๆ เข้าไปในรถม้า จากนั้นก็ออกไปนั่งด้านหน้าของรถม้า บังคับรถม้านั้นด้วยตนเอง

 

 

ทันทีที่บังเ**ยนในมือขยับ ม้าตัวนั้นก็ขยับกีบเท้าวิ่งออกไปปานจะเหาะได้

 

 

เมืองกู่เย่วหลังฝนตก มีกลิ่นหอมสดชื่นของดินและหญ้าชัดเจน

 

 

ภายในรถม้า สีหน้าของตู๋กูซิงหลันสงบนิ่ง ตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่ในเมืองกู่เย่ว นอกจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว นางเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องผู้นั้น นางได้ยินข่าวเล่าลือมาไม่น้อย

 

 

หนึ่งในห้าแม่ทัพผู้ก่อตั้งประเทศ ย่อมเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็ง

 

 

เมืองกู่เย่วภายใต้การฟื้นฟูของเขา มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ปวงประชาเป็นสุข

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องเอง ก็ได้รับความเคารพยกย่องจากชาวบ้านทั้งหลาย

 

 

แต่บุคคลเช่นนี้ กลับมีใจคิดคดต่อแคว้นต้าโจว

 

 

ไม่ไกลจากศาลเจ้าของเจียงชวี่ปิ้ง ตู๋กูซิงหลันและชือหลีพบเจอลานฝึกอาวุธแห่งหนึ่ง ในนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มไปหมด

 

 

ถึงแม้จะบอกว่าเมืองกู่เย่วได้รับพระบัญชาให้สร้างโรงอาวุธ แต่ว่าอาวุธเหล่านั้นก็สมควรจะส่งมอบให้กับราชสำนัก

 

 

ตอนนี้เหลียงจวิ้นอ๋องกลับสะสมอาวุธเอาไว้มากมาย เขากำลังคิดอะไรอยู่ แค่ดูก็รู้แล้ว

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นไม่เพียงแต่มีสถานที่ฝึกและสะสมอาวุธ แต่ทหารจากเมืองกู่เย่วที่ฝึกฝนอยู่ที่นั่นก็มีมากพอควร พอรวมเข้ากับอาวุธก็ไม่แน่ว่ามีจำนวนเท่าไหร่กันแน่

 

 

ในเมื่อตู๋กูซิงหลันมาแล้ว ย่อมไม่อาจนั่งดูโดยไม่ใส่ใจได้

 

 

ในโลกนี้ มีแต่นางเท่านั้นที่สามารถก่อกบฏกับจีเฉวียน

 

 

ผู้อื่นถอยไปด้านข้างเสียเถอะ

 

 

“พี่สาว ยังไม่รู้เลยว่าท่านมีนามว่ากระไร?” พอรถม้าเข้าสู่ตัวเมือง เหลียงเซิงเซิงถึงได้หันกลับมาถาม

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบออกไปสองคำ “เยี่ยซิง”

 

 

“ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว?”

 

 

“สิบหก”

 

 

“เช่นนั้นต่อไป ข้าจะเรียกท่านว่าพี่ซิงนะเจ้าคะ” เหลียงเซิงเซิงยิ้มหวาน ขยับบังเ**ยนในมือ บังคับม้าผ่านเข้าไปในเมือง

 

 

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นพวกนางก็มาถึงตำหนักจวิ้นอ๋อง

 

 

ตำหนักจวิ้นอ๋องงดงามแปลกตา เพียงเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นต้นไม้สูงใหญ่เขียวขจี

 

 

เพียงแวบแรก ตู๋กูซิงหลันก็ถูกต้นไห่ถางที่โดดเด่นอยู่ในตำหนักดึงดูดใจเข้าแล้ว

 

 

ที่จริงยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้นไม้ส่วนมากล้วนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แต่ว่าต้นไห่ถางภายในตำหนักยังคงเบ่งบานอย่างงดงาม

 

 

กิ่งที่มีดอกทอดยาวออกมาจากในสวน สายลมพัดโชยมาเบาๆ กลีบดอกสีแดงเข้มก็ร่วงลงมา ปลิวเข้ามาในรถม้าพอดี

 

 

ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปรับกลีบดอกไม้เอาไว้

 

 

สีสันเช่นนี้ กลิ่นเช่นนี้ ช่างเหมือนกับในตำหนักเฟิ่งหมิงกงเหลือเกิน

 

 

รถม้าขับเข้ามาทางประตูหลัง ผ่านสวนดอกไห่ถางที่กำลังผลิบานอย่างแน่นขนัด หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายรอบค่อยหยุดลงที่เรือนหลังหนึ่ง

 

 

ตลอดทางที่เข้ามานี้ ตู๋กูซิงหลันเห็นแต่ต้นดอกไห่ถางเท่านั้น

 

 

ในตำหนักอ๋อง นอกจากต้นไห่ถางแล้วก็ไม่ได้พบเห็นต้นไม้ชนิดอื่นใดอีก แม้แต่หญ้าสักต้น

 

 

“ตำหนักอ๋องของพวกเราสร้างขึ้นมาจากซากปรักหักพังของวังหลวงแคว้นกู่เย่ว

 

 

ต้นไห่ถางเหล่านี้เป็นองค์หญิงแคว้นกู่เย่วทรงปลูกไว้ด้วยพระองค์เอง” เหลียงเซิงเซิงอธิบาย พลางกระโดดลงไปจากรถม้า

 

 

พอพึ่งจะลงไปก็มีสาวใช้สองนางเดินเข้ามาหาอย่างกระตือรือล้น พลางกระซิบลงที่ริมหูนางหลายคำ

 

 

แววตาของเหลียงเซิงเซิงเปลี่ยนไปทันที นางรีบหันมากล่าวกับตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนรถม้าว่า “พี่ซิงเจ้าคะ ข้ามีธุระ จำต้องขออนุญาตไปก่อนก้าวหนึ่ง หากมีเรื่องใดท่านบอกสักคำ เสี่ยวชุ่ยกับเสี่ยวหงจะคอยช่วยเหลือท่านเอง”

 

 

“อืม” ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ

 

 

นางพึ่งจะรับคำ ก็เห็นเหลียงเซิงเซิงเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองแล้ว

 

 

ท่าทางของนางรีบร้อนประหนึ่งจะไปพบกับคนรักก็ไม่ปาน

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของนางที่เดินจากไป ก็รู้สึกว่าภายใต้กลีบดอกไห่ถางสีแดงที่กำลังร่วงลงมานั้น เงาหลังของนางช่างงดงามเหมือนรูปวาด

 

 

ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอสาวน้อยผู้นี้ ในใจของตนเองก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

 

 

อยู่ๆ ก็เกิดความต้องการจะใกล้ชิดทำความสนิมสนม

 

 

ช่างบังเอิญจริงๆ ที่เหลียงเซิงเซิงก็คิดเช่นเดียวกัน

 

 

“ไงถูกใจเข้าแล้วรึ?” ชือหลีที่อยู่ด้านข้าง มองตามสายตาของนางไป “ข้าว่าดูท่าเจ้าจะชอบนางมากนะ?”

 

 

“ก็ใช่อยู่……พวกเจ้าล้วนงดงาม ยังมี….” ชือหลีเท้าคาง หรี่ตาลง “แล้วยังมี….รูปโฉมของพวกเจ้ามีความคล้ายคลึงกันอยู่บางส่วน”

 

 

ที่จริงแล้วหากมองแต่เครื่องหน้า ก็ดูไม่เหมือนกัน แต่พอมองดูโดยรวมๆ แล้ว กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก

 

 

นี่จะต้องเป็นร่างใหม่ที่สวรรค์ประทานมาให้อย่างแน่นอน

 

 

ชือหลีขยับตัวอย่างคึกคัก ดวงตาสีแดงทั้งคู่ของนางปรากฏแววมุ่งมั่นปรารถนาขึ้นมา

 

 

………………….

 

 

ตำหนักจวิ้นอ๋อง

 

 

โถงหลัก

 

 

เหลียงจวิ้นอ๋องนั่งเป็นสง่าอยู่ในชุดสีดำทั้งร่าง ดวงหน้าของเขามีแววหนักใจ น้ำชาในมือก็เย็นมากแล้ว

 

 

นายทหารหลายคนนั่งอยู่ข้างกายเขา แต่ละคนมีสีหน้ากลัดกลุ้ม

 

 

“ท่านอ๋องขอรับ ที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาครั้งนี้ ใช่เป็นเพราะพระองค์พบเห็นสิ่งใดเข้าแล้วหรือไม่?” สีหน้าของแม่ทัพเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายจวิ้นอ๋องมีความวิตกกังวล

 

 

“มีเรื่องอะไรจะต้องหวาดกลัวกัน? หากยุ่งยากนักพวกเราก็กบฏเสียเลย!” แม่ทัพหนุ่มน้อยผู้หนึ่งตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “พวกเราไม่ไปหาเรื่องเขา เขากลับพุ่งเข้ามาหาเรื่องพวกเราก่อน หรือว่าพวกเราจะต้องอยู่นิ่งๆ ให้ยอมจับกุมหรือยังไง?”

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราไม่กลัวหรอก! ฮ่องเต้ผู้นั้นก็เป็นแค่เด็กขนอ่อน ที่พึ่งจะขึ้นครองราชย์ ก็จะเปลี่ยนจากระบบศักดินาไปเป็นระบบกระจายอำนาจ คิดจะริดรอนฐานกำลังของอ๋องและเหล่าโหวเหย่ทั้งหลาย”

 

 

“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ เขายังกระจายข่าวลือเรื่องเทพธิดาพิทักษ์แม่น้ำลี่เหอ ขุมสมบัติแคว้นเซอปี่ซือ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้หนุนฐานะฮ่องเต้ของเขาให้มั่นคง และก็มีแต่พวกไอ้โง่เท่านั้นละที่ยอมเชื่อ!”

 

 

แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นอึดอัดฮึดฮัดอย่างยิ่ง ราวกับว่ามีความแค้นอยู่กับจีเฉวียนมากมายอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ดูเอาเฉพาะหน้านี้ก่อนเถอะ ตอนนี้เขาเพ่งเล็งมาที่เมืองกู่เย่วของพวกเราเข้าแล้ว หลายปีก่อนตอนที่ปฐมฮ่องเต้ทรงปราบปรามแคว้นกู่เย่ว ที่นี่เหลือแต่ซาก ตอนนี้ท่านอ๋องของพวกเราสร้างทุกสิ่งขึ้นมาใหม่กับมือ”

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็ถูกเขากระตุ้นจนเกิดโทสะขึ้นมาแล้ว

 

 

“จริงด้วย ตอนที่เหลือแต่ซากราชสำนักไม่เคยสนใจทั้งไม่ให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้พอบูรณะดีแล้ว ก็คิดจะมาริบกลับไปหรือ? ในโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ แบบนั้น!”

 

 

ขณะที่ผู้คนกำลังถกเถียงกันอย่างคึกคัก สีหน้าของจวิ้นอ๋องก็ยังคงมีแต่ความอึมครึม เขายังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ผ่านไปอีกพักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ที่เราผู้เป็นอ๋องกังวลใจมากที่สุดก็คือเซิงเซิง”

 

 

เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้สีหน้าของทั้งหมดเปลี่ยนไป

 

 

จีเฉวียนผู้นั้นช่างหน้าด้านอย่างที่สุด ถึงขนาดบังคับสตรีแต่งงาน!

 

 

ฮ่องเต้ที่เหลิงลำพองผู้นี้ พึ่งจะขึ้นครองราชย์แท้ๆ ก็แต่งตั้งพระสนมถึงแปดสิบสี่นาง คุณหนูน้อยของพวกเขาสูงส่งถึงเพียงไหน เขาส่งราชโองการออกมาฉบับหนึ่งก็แต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟย ฮึ แค่นี้คนก็กลายเป็นสนมของตนเองแล้วรึไง?

 

 

ปีที่แล้ว คุณหนูน้อยพึ่งจะครบสิบสี่เอง!

 

 

แม้แต่เด็กสาวอายุสิบสี่เขาก็ยังไม่ละเว้น เช่นนี้แล้วจะเป็นตัวดีได้อย่างไร?

 

 

“ท่านอ๋องไม่เคยตกลงรับปากการแต่งงานครั้งนี้ หรือว่าจีเฉวียนนั้นยังจะกล้าแย่งชิงเอาหรือ?”

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “เขาตีตราจองเอาไว้แล้ว”