ตอนที่ 1812

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,812 : ต้วนหลิงเทียนโมโห!

 

อย่างไรก็ตามแม้จ้าวคุนจะไม่กล้าถามจ้าวจี้ออกมาแบบนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะฟังคำของจ้าวจี้…

 

ล้อกันเล่นเหรอ!?

 

โอกาสฆ่าหลิงเทียนตั้งอยู่ต่อหน้าต่อตา มันย่อมไม่มีวันยอมแพ้เว้นแต่มันจะเป็นตัวโง่งม!

 

หากมันฆ่าหลิงเทียนในโถงเป็นตายได้สำเร็จ มันก็จะได้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้นำสูงสุดสกุลจ้าว…จ้าวจิน!

 

ถึงตอนนั้นศักดิ์ฐานะของมันจะอยู่ในรุ่นเดียวกันกับรองจ้าวตำหนักอย่าง จ้าวเติง! ถึงแม้ความจริงมันอาจจะไม่มีอำนาจเท่าจ้าวเติง แต่ก็ยังเหนือกว่าอาวุโสคนอื่นๆแน่นอน คราวนี้กระทั่งจ้าวจี้ยามพบเห็นมันยังต้องเรียก ท่านอา!

 

พอนึกถึงฉากเรื่องราวนั้น จ้าวคุนก็เคลิบเคลิ้มคล้ายร่างกำลังลอยละล่องในสายธารไหลเอื่อย มีหรือจะยังสนใจฟังคำจ้าวจี้อีก!!

 

“แต่ถ้าหากเจ้าหวาดกลัวไม่กล้า ข้าก็เข้าใจ…”

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยังเงียบไม่ตอบ จ้าวคุนพลันยิ้มกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย คล้ายจะรับหรือไม่รับคำท้าก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร

 

ทว่ารอยยิ้มของมันเห็นชัดว่าเป็นการเย้ยหยัน

 

แววตายังเผยความดูถูกออกมาไม่คิดปกปิด

 

หลังจากกล่าวจบแล้ว จ้าวคุนก็กล่าวออกมาด้วยเจตนาทับถมสืบต่อทันที “เพราะอย่างไรเสียเจ้าที่กำเนิดจากบิดามารดาขลาดเขลาดั่งมุสิก ก็สมควรเป็นตัวขี้ขลาดเหมือนกันแน่แท้! จึกๆ ชื่อหลิงเทียนหรือ…สมควรเปลี่ยนเป็นฉู่เทียน!”

(ฉู่ = หนู)

 

หากวาจาก่อนหน้าของจ้าวคุนเพียงกระแนะกระแหนเสียดสีอ้อมๆล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าวาจาประโยคหลังนี้จงใจเหยียดหยามดูหมิ่นชัดเจน!

 

“ฮ่าๆๆๆๆ!!!”

 

ได้ยินคำหมิ่นของจ้าวคุน คนสกุลจ้าวอีก 3 คนที่อยู่หลังจ้าวจี้ อดไม่ไหวอีกต่อไปพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “ฉู่เทียนหรือ! นามอันประเสริฐนัก!!”

 

“ข้าว่าเหมาะสมดี อย่างน้อยๆก็ดีกว่าหลิงเทียน!”

 

เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังฆ่าต้วนหลิงเทียน จ้าวคุนก็แทบจะขาดการยับยั้งชั่งใจอะไรสืบไป

 

“จ้าวคุน เจ้ากำลังทำบ้าอะไร!?”

 

จ้าวจี้ถลึงมองจ้าวคุนตาขวาง ยังกล่าวออกมาด้วยโทสะ

 

มันมคิดไม่ฝันเลยว่าจ้าวคุนจะกล้าไม่ฟังคำสั่งของมัน ถึงขั้นทำตรงข้ามไม่สนใจมันแบบนี้

 

อย่างไรก็ตามแม้มันจะขึ้นเสียงแล้ว แต่จ้าวคุนก็ยังไม่คิดจะสนใจฟังอะไร!

 

เพราะตอนนี้จ้าวคุนต้องการฆ่าหลิงเทียนและรับรางวัลให้จงได้ กระทั่งยังเห็นภาพผู้พิทักษ์จ้าวรับมันเป็นบุตรบุญธรรม สุดท้ายมันก็ได้ใช้ชีวิตหรูหราผ่านคืนวันอันดี!

 

จังหวะนี้อย่าว่าแต่จ้าวจี้เลย ให้จ้าวเติงบิดาจ้าวจี้มามันก็จะไม่สนใจฟัง!

 

ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดมัน จ้าวคุน ไม่ให้ทะยานสู่ฟ้าได้!!

 

ทันทีที่คำหมิ่นหยามของจ้าวคุนดังจบ ทุกคนบนยอดเขาวังนภาถึงกับหันไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน ต่างอยากรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบโต้อย่างไร

 

“จ้าวคุนผู้นี้ไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ…คิดหลอกล่อให้หลิงเทียนไปประลองเป็นตายกับมันที่โถงเป็นตายด้วยการใช้วาจายั่วยุต่ำช้าแบบนี้?”

 

“นั่นสิ วาจาแบบนี้นับว่าต่ำช้าเกินไป…ถึงกับยกอ้างบิดามารดาผู้อื่นหมายให้หลิงเทียนรับคำท้า! ช่างน่ารังเกียจยิ่ง!!”

 

“หลิงเทียนสมควรเห็นเจตนามันชัดเจน ไม่มีทางหลงกลมันหรอก”

 

……

 

อย่างไรก็ตามเหล่าความคิดของเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ คล้ายถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องผิดพลาด

 

หากจ้าวคุนเพียงกล่าววาจาหยามหยันหลิงเทียนเฉยๆ เจ้าตัวคงไม่คิดสนใจ…ทว่าไม่สนใจก็เรื่องหนึ่ง เรื่องรับคำท้าประลองเป็นตายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…ในเมื่อมันอยากตายนักเขาก็จะจัดให้!

 

ทว่ามันกลับกล้าลามปามหมิ่นหยามไปถึงบิดามารดาเขา!

 

มังกรทุกตัวล้วนมีเกล็ดย้อน ผู้ใดแตะต้องจับถูก ตาย!

 

บิดามารดาของต้วนหลิงเทียนก็เสมือนเกล็ดย้อนของเขา ซึ่งในสายตาเขาถือว่ามีค่ามากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก ทว่าวันนี้กลับต้องมาถูกสวะตัวหนึ่งหยามหมิ่น?

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังอยากจะตบร่างมันแหลกในฝ่ามือเดียว!

 

ทว่าด้วยความมีเหตุผลก็ยังทำให้เขาสามารถสงบใจลงได้

 

หากเขาลงมือฆ่าจ้าวคุนแบบนั้น มันก็ผิดกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างไม่ต้องสงสัยเลย และตอนนี้อาศัยพลังส่วนตัวก็ยากที่เขาจะต่อต้านหอคุมกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับ

 

เช่นนั้นเขาจึงเลือกที่จะสงบอารมณ์

 

แน่นอนว่าความสงบที่ว่า เป็นการสงบมากแล้วสำหรับตัวเขาเอง

 

ทว่าในสายตาของผู้อื่นไม่เว้นจ้าวคุน ทีท่าอาการของต้วนหลิงเทียนไม่ได้สงบแม้แต่น้อย

 

หลังจากถูกยั่วยุด้วยวาจาต่ำช้าของจ้าวคุน เรียกว่าสีหน้าของต้วนหลิงเทียนในสายตาคนอื่นมันไม่ได้เฉยเมยอีกต่อไป!

 

“แววตานั่น…ท่าทางหลิงเทียนจะโมโหแล้ว”

 

“เหลวไหล! จ้าวคุนกล่าววาจาลามปามถึงบุพการีเช่นนี้ หากยังไม่โมโหก็แปลกคนแล้ว! ลองมีคนมาด่าว่าบิดามารดาเจ้าดูบ้าง เจ้าจะยังใจเย็นได้อยู่หรือไม่?”

 

“ไม่แน่นอน ข้าพเจ้าจะทุบปากมันเสีย!”

 

……

 

ตอนนี้ผู้คนชักไม่แน่ใจแล้วว่าต้วนหลิงเทียนจะยังครองสติไว้และหนักแน่นพอจะปฏิเสธคำท้าประลองเป็นตายนั่นของจ้าวคุนหรือไม่

 

“ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก งั้นข้าก็จะให้เจ้าสมหวัง!”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกปานผุดซึมออกมาจากหล่มน้ำแข็ง พาลให้ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก

 

และทันทีที่กล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็ย่ำเท้าเหินลอยขึ้นไปบนฟ้า ออกจากยอดเขาวังนภาทันที

 

“ยอมรับแล้วหรือ?”

 

ส่วนวาจาที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งกล่าว ผู้คนก็พึ่งตระหนักได้หลังจากนั้น ทว่ายังอดประหลาดใจกันเสียไม่ได้ “นี่หลิงเทียนยอมรับคำท้าประลองเป็นตายกับจ้าวคุนแล้วหรือ?”

 

“สมควรเป็นเช่นนั้น…ฟังจากวาจาที่กล่าวเมื่อครู่ กับเหินร่างออกไปเช่นนั้น มิพ้นต้องมุ่งหน้าไปโถงเป็นตายแน่นอน!”

 

“ไม่จริงน่า! ไฉนยอมรับง่ายๆเช่นนี้เล่า มิวู่วามไปหน่อยรึไร?”

 

“ทุกคนล้วนมีสิ่งที่มิอาจแตะต้อง…สำหรับหลิงเทียนแล้วมิแคล้วบิดามารดาคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาแน่ แม้รู้ว่าตัวเองต้องตาย แต่ก็คิดสู้เพื่อบิดามารดาของตัว….”

 

“การกระทำครั้งนี้ของหลิงเทียน แม้จะแลดูโง่งม แต่ข้าพเจ้าอดมิได้ที่จะชื่นชม ช่างเป็นลูกกตัญญูนัก!”

 

“กตัญญูบ้านเจ้า! นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ! เจ้าคิดว่าบิดามารดาหลิงเทียนอยากเห็นลูกตายเช่นนี้หรือ!?”

 

……

 

แม้บทสนทนาจะกระหึ่มออกมาดั่งระลอกคลื่นจนระงมไปทั่วยอดเขาวังนภา แต่ทุกคนก็ไม่ลืมเหินร่างมุ่งหน้าไปยังโถงเป็นตาย

 

แน่นอนว่ามีหลายร่างที่พุ่งแยกย้ายออกไปด้วยความเร็วสูง คล้ายจะไปพาสหายมาชมดูเรื่องสนุกสนาน

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตำหนักฟ้าลี้ลับมีโถงแห่งความตายมากมาย ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาโถงเป็นตายของวังนภาก็เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนแวะเวียนไปใช้ ไม่มีศิษย์คนใดไปทำสัญญาเป็นตายสักคน…

 

ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย…ผู้คนย่อมให้ความสนใจการประลองเป็นตายในโถงเป็นตายวังนภาวันนี้ทั้งสิ้น! ข่าวเรื่องราวแพร่ไปไวนัก!

 

กระทั่งศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ในตำหนักหลัก หรือผู้ที่ติดรายนามฟ้าลี้ลับ ก็ถึงกับลงมาดู

 

เรียกว่าเพียงเวลาแค่ไม่นานโถงเป็นตายของวังนภาก็คาคั่งไปด้วยผู้คน! ยังมาถึงลานประลองก่อนต้วนหลิงเทียนที่ต้องไปลงทะเบียนยิบย่อยอะไรเสียอีก!

 

และผู้คนที่มารวมตัวกันในโถงเป็นตายก่อน ก็จงใจเว้นทางให้ต้วนหลิงเทียนที่เสร็จเรื่องแล้ว ค่อยๆก้าวเดินเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน…

 

“ศิษย์น้องหลิงเทียน!”

 

ทันใดนั้นปรากฏร่างหนึ่งพุ่งวูบออกมาจากฝูงชนหยุดขวางไว้เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน “เจ้าอย่าได้วู่วาม!”

 

คนที่มาปรากฏตัวนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหงกัง ที่อยู่กับพวกหวางเฟยเซวียนก่อนหน้า

 

เนื่องจากพวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัส สีหน้าจึงยังซีดเซียวอยู่ มันพยายามยืนหยัดขวางทางต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างยากลำบาก

 

ในสายตาของพวกมัน การที่ต้วนหลิงเทียนต้องมาตกกระไดพลอยโจร ถึงขั้นเข้าโถงเป็นตายแบบนี้ มีต้นเหตุมาจากพวกมันทั้งสิ้น!

 

ด้วยเหตุนี้มันไม่ต้องการให้ต้วนหลิงเทียนเกิดเรื่อง!

 

“ศิษย์พี่หงกัง!”

 

ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้ตอบคำอะไร หวางเฟยเซวียนเองก็ติดตามมาหยุดยืนข้างๆหงกัง นางกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาทันที “ตอนที่เจ้าอยู่ในแดนลับเซียน เจ้าเผยความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้นให้ข้าเห็น…เจ้ามั่นใจในการประลองกับจ้าวคุนหรือไม่ หากไม่ก็อย่าได้หุนหันลงมือเพราะวาจายั่วยุพวกนี้เลย!”

 

ถึงแม้หวางเฟยเซวียนจะเชื่อว่าหากไม่มั่นใจต้วนหลิงเทียนคงไม่รับคำท้าประลองเป็นตายของจ้าวคุน…

 

แต่ตอนนี้นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามเพื่อยืนยัน

 

“มันต้องตายวันนี้!”

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเมื่อได้ยินคำถามของหวางเฟยเซวียน ต่อมาประกายเย็นเยียบอำมหิตหนึ่งก็เรืองวูบขึ้นมา ตอบคำหวางเฟยเซวียน

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับ และเตรียมที่จะกล่าวบอกหงกังให้หลีกทาง อย่าได้ขวางต้วนหลิงเทียนอีก

 

ทว่าหวางเฟยเซวียนไม่ทันได้กล่าวคำใด กลับมีคนเอ่ยวาจาเย้ยหยันออกมาพอดี “ทำไม? พวกเจ้าสองคนอยากทำสัญญาเป็นตาย และขึ้นมาประลองเป็นตายกับข้าด้วยรึไง?”

 

เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น จ้าวคุน ที่พึ่งมาถึงโถงเป็นตาย!

 

วาจาที่มันกล่าวเห็นชัดว่าเจตนาพูดกับหวางเฟยเซวียนและหงกังที่ขวางทาง

 

“ศิษย์พี่หงกัง ท่านมั่นใจได้เลยว่าหลิงเทียนฆ่ามันได้แน่…พวกเราถอยไปกันก่อนเถอะ”

 

พอหวางเฟยเซวียนส่งเสียงไปกล่าวบอกหงกังจบคำ นางก็ฉุดลากหงกังออกไปอย่างดุดันโดยที่หงกังไม่ทันได้ตั้งตัว เปิดทางให้ต้วนหลิงเทียนเดินต่อท่ามกลางฝูงชน

 

“โฮ่! พวกเจ้าสนิทกันดีนี่!”

 

เมื่อเห็นหวางเฟยเซวียนกับหงกังรีบรุดจากไปทั้งคู่ จ้าวคุนก็แสยะยิ้มกล่าวเสียดสีออกมา มันคิดว่าทั้งคู่ล้วนหวาดกลัวมัน!

 

ผู้คนรอบๆ ก็คิดเหมือนมันเป็นธรรมดา

 

“ศิษย์น้อง…เจ้าบอกว่าหลิงเทียนสามารถฆ่ามันได้หรือ?”

 

หงกังที่ถูกมือบางๆหอบหิ้วมาราวลูกไก่ พอตั้งสติได้สองตาพลันทอแสงเรืองวาบ รีบส่งเสียงกล่าวถามหวางเฟยเซวียนทันที

 

“ศิษย์พี่อย่าได้ห่วงไป…หลิงเทียนมิใช่คนที่จะลงมือทำอะไรหากไม่มั่นใจ ข้าเชื่อใจเขาที่สุด!”

 

หวางเฟยเซวียนกล่าวรับประกันเป็นมั่นเหมาะ ทว่าพอกล่าวจบก็พึ่งรู้ตัวว่ากล่าวอะไรออกไป สีหน้าพลันแดงเรื่อขึ้นมาทันที…

 

ทว่าหงกังไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้

 

วาจาของหวางเฟยเซวียนไม่ต่างใดจากอัสนียามแล้ง ที่ไร้การตั้งเค้ามาก่อน ใจมันถึงกับเลื่อนลอยว่างเปล่า กว่าจะรู้สึกตัวก็ผ่านไปสักพัก

 

และพอมันกลับมารู้สึกตัว ในใจก็รู้สึกว่าเรื่องราวน่าเหลือเชื่อนัก ‘มิใช่หลิงเทียนพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่นานหรือไร…ไฉนตอนนี้ศิษย์น้องทำเหมือนเขาทะลวงผ่านอริยะเซียนแล้วเล่า? ไม่มั่นใจไม่ลงมือหรือ?’

 

ถึงแม้มันจะไม่ได้รู้จักกับศิษย์น้องคนนี้นานนัก แต่มันรู้นิสัยนางดีว่าใช่คนชอบกล่าววาจาเหลวไหล

 

ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์ของจูลู่ฉีอีก 2 คนก็ตามมาถึง

 

“หลิงเทียนมั่นใจหรือ?”

 

พอพวกมันได้รับทราบเรื่องราวจากปากหวางเฟยเซวียน พวกมันก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ

 

อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะตกใจ แต่พวกมันก็เลือกจะเชื่อศิษย์น้องร่างบางเบื้องหน้า

 

โถงเป็นตายนั้นปกติว่างเปล่าร้างผู้คน ทว่าอยู่ดีๆมีศิษย์มากันแน่นขนัด เจ้าหน้าที่ทั่วไปที่รับหน้าที่ดูแลการลงทะเบียนยิบย่อยก็แตกตื่นรีบให้คนไปตามผู้ดูแลโถงกันจ้าละหวั่น และนั่นย่อมทำให้อาวุโสที่รับหน้าที่ดูแลโถงถึงกับแปลกใจไม่น้อย รีบลงมาดูเรื่องราวด้วยตัวเองทันที

 

เมื่ออาวุโสผู้ดูแลโถงเดินมาถึงลานประลอง มันก็ได้ยินบทสนทนาโดยรอบ ทำให้พอรับทราบถึงเรื่องราว

 

“พวกเจ้า 2 คน คิดลงนามในสัญญาเป็นตายงั้นเหรอ?”

 

สายตาของผู้อาวุโสผู้ดูแลโถงเป็นตาย มองร่างต้วนหลิงเทียนสลับไปมากับจ้าวคุน หยีตากล่าวถาม