ถังซานสือลิ่วเดินลงมาจากบันไดหิน ยืนอยู่ที่ข้างนักเรียนใหม่ที่ชื่อเฉินฟู่กุ้ย มองเขาแล้วพยักหน้าพูดขึ้น “ทำได้ไม่เลวเลย หลังจากนี้เจ้าก็ฝึกวิชาพยัคฆ์ทะยานป่ายามราตรีชุดนี้เสีย”
เมื่อเฉินฟู่กุ้ยได้ยินก็ตกตะลึง หลังจากนั้นถึงได้ตอบสนองขึ้นมาได้ ใบหน้าเผยให้เห็นความยินดีเป็นล้นพ้น พลางเอ่ยพูดด้วยเสียงที่สั่นเทา “ขอบคุณผู้คุมกฎ ขอบคุณผู้คุมกฎ”
ถังซานสือลิ่วหันไปมองนักเรียนใหม่นับสิบคนนั้น แล้วพูดขึ้น “มองเห็นแล้วหรือยัง นี่ก็คือสิ่งที่เมื่อคืนวานพูดไว้ เมื่อสองทัพปะทะกันสำคัญอยู่ที่ท่าที ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้หรือไม่ ต้องสู้ดูก่อนถึงจะรู้ และในตอนก่อนที่จะลงมือ อย่าได้คิดว่าตัวเองสู้ไม่ได้เป็นอันขาด อย่างที่พูดไว้ว่ายอมถูกซัดจนตายดีกว่าถูกทำให้กลัวจนตาย และก็เหมือนที่พูดกันว่า ฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายตกใจจนตาย”
นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงเหล่านั้นขานรับกันอย่างพร้อมเพรียง เสียงดังฟังชัดอย่างมาก สายตาที่มองเฉินฟู่กุ้ยก็เต็มไปด้วยความอิจฉาและเลื่อมใส
ผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นถูกเหตุการณ์นี้ทำให้มึนงงไปหมด จนถึงตอนนี้ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่สู้แล้วหรือ”
ถังซานสือลิ่วถามเฉินฟู่กุ้ยขึ้น “เจ้าสู้เขาได้หรือไม่”
ก่อนจะเริ่มสู้เขาก็เคยถามคำถามนี้ ในตอนนั้นเฉินฟู่กุ้ยพูดว่ายังไม่ได้สู้จะรู้ได้อย่างไรว่าสู้ได้หรือไม่ ในตอนนี้ได้สู้กันไปแล้ว…
เขากล่าวยอมรับขึ้นอย่างซื่อตรง “สู้ไม่ได้”
“ไม่ต้องท้อแท้ เจ้าเพิ่งจะอยู่ในขั้นถอดจิตขั้นต้นได้ไม่ถึงสองเดือน แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นคู่มือของขั้นทะลวงอเวจี เจ้าไม่ได้เป็นอัจฉริยะของโลกเหมือนข้ากับเฉินฉางเซิง”
ถังซานสือลิ่วยื่นมือมาตบบ่าของเขาอย่างหนักหน่วง แล้วพูดปลอบใจขึ้น “ตอนกลางคืนก็สรุปการต่อสู้ในวันนี้ หลังจากนั้นก็เตรียมตัวในการเรียนต่อจากนี้ให้เรียบร้อย”
ชาวเมืองที่มาชมการประลองคิดว่าการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้น อะไรก็ยังไม่ได้ทำ จะไปมีอะไรให้สรุปกัน
ผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นมองเฉินฟู่กุ้ยที่เดินกลับขึ้นไปบนบันไดหิน เขามีความมึนงงอยู่บ้าง จึงมองถังซานสือลิ่วแล้วถามขึ้น “หลังจากนั้นเล่า”
การต่อสู้เพิ่งจะเริ่ม แม้แต่กระบี่เขาก็ยังไม่ทันได้ใช้ ก็ถูกตะโกนสั่งให้หยุดแล้ว เช่นนั้น…ต่อจากนี้ไม่ใช่ว่าควรจะสู้กันต่อหรือ
ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับมองคนปัญญาอ่อน แล้วพูดขึ้น “สู้ไม่ได้ แน่นอนว่าก็ต้องยอมแพ้สิ”
ผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีในตอนนี้ได้โง่ไปแล้วจริงๆ หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งถึงได้สติขึ้นมา และถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ใช่หรือเปล่า จะจบลงเช่นนี้หรือ”
“ไม่เช่นนั้นเล่า เจ้ายังอยากจะอยู่กินข้าวต่อ โรงอาหารสำนักฝึกหลวงของพวกข้านั้นเชิญพ่อครัวของหอเฉิงหูมาทำเชียวนะ คนธรรมดาอย่าได้คิดจะมาขอข้าวกิน”
ถังซานสือลิ่วทิ้งคำพูดประโยคนี้เอาไว้ ก็เดินไปทางประตูสำนักฝึกหลวง เตรียมการสำหรับการประลองคู่ที่สอง
ผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นโมโหเป็นอย่างมาก ไอพลังปราณพลันเพิ่มพูนขึ้นอย่างกะทันหัน กระบี่ในมือแผ่ไอเย็นเยียบออกมาสายหนึ่ง
ถังซานสือลิ่วหยุดเท้าลง หันกลับไปมองเขา แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าลองก้าวขึ้นมาอีกก้าวดู”
ด้านข้างทั้งสองฝั่งที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง กองทัพของนิกายหลวงซึ่งมีทวนเย็นๆ อยู่ในมือทั้งสองกอง ต่างจ้องมองเหตุการณ์นี้อย่างเย็นชา
ที่ด้านบนของกำแพงสำนักก็ยังพอจะมองเห็นถึงการมีอยู่ของพลธนู
ผู้คนที่มาชมจนถึงตอนนี้ถึงได้เข้าใจขึ้นมาว่าสำนักฝึกหลวงเตรียมตัวจะทำอะไร จึงระเบิดเสียงกันขึ้นมา หลังจากนั้นก็ถูกไอสังหารที่อยู่ตรงนั้นสะกดกลับไป
“นี่สำนักฝึกหลวง…เตรียมจะเล่นลูกไม้หรือ”
บนถนนพลันมีเสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น น่าจะเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่มาท้าประลองสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น
ถังซานสือลิ่วไม่ได้สนใจคนเหล่านั้น เขาเดินตรงไปที่ด้านหน้าของนักเรียนใหม่เหล่านั้น มองดูใบรายชื่อในมือแล้วตะโกนขึ้นมา “ฝูซินจือคือผู้ใด”
มีคนยืนขึ้นมา ซึ่งก็คือนักเรียนหนุ่มที่แสดงออกว่ามีความมั่นใจในวันที่สำนักฝึกหลวงรับนักเรียนใหม่ผู้นั้น
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “ในบรรดาเพื่อนร่วมสำนักทั้งหมด เจ้ามีระดับความแข็งแกร่งมากที่สุด ทำให้ดีหน่อย ให้คนนอกเหล่านั้นได้เห็นว่าสำนักฝึกหลวงของพวกเราแข็งแกร่งอย่างแท้จริง”
ฝูซินจือประสานมือคำนับ เขาค่อยๆ ชักกระบี่เล่มยาวออกจากฝัก เดินตรงออกมาด้วยท่าทีที่ค่อนข้างสุขุม
ผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลีผู้นั้นยังยืนอยู่ตรงนี้ โดยที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครสนใจเขาที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว มองดูแล้วก็น่าสงสาร และก็น่าหัวเราะอยู่บ้าง
เขาเป็นผู้ชนะในการประลองนี้ชัดๆ แต่ไหนเลยจะมีความดีใจในชัยชนะแม้เพียงน้อยนิด
เขาจ้องมองถังซานสือลิ่วอยู่ปราดหนึ่ง แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินกลับไป
ที่ออกมาต่อจากเขา ก็เป็นมือกระบี่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นกลางผู้หนึ่งเช่นกัน ส่วนที่ใช้สถานะอาจารย์ของสำนักใดมาท้าประลองนั้น ถังซานสือลิ่วก็จำไม่ได้แล้ว เขารู้เพียงแค่ว่าเมื่อคืนวานเฉินฉางเซิงพูดเอาไว้อย่างชัดเจน คู่ต่อสู้ของฝูซินจือจะมีเพียงแค่มือกระบี่ผู้นี้เท่านั้น และในใบรายชื่อเฉินฉางเซิงก็ยังเขียนหมายเหตุเอาไว้อย่างละเอียด อธิบายไว้ว่าฝูซินจือจะใช้กระบี่อย่างไร สามารถใช้เพลงกระบี่ได้มากสุดกี่ท่า
เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้า หรือจะพูดได้ว่าการประลองแรกนั้นจบลงอย่างรวดเร็วเกินไป ในตอนนี้ยังคงเป็นยามเช้าตรู่ ถึงแม้จะเป็นช่วงกลางฤดูร้อน ก็ไม่ได้ร้อนสักเท่าไหร่
ฝูซินชือถือกระบี่ยืนอยู่บนที่ราบหน้าประตูสำนักฝึกหลวง ปล่อยให้สายลมพัดผ่าน ปล่อยให้ชายเสื้อโบกพัด มองดูแล้วก็มีความเป็นผู้หลุดพ้นอยู่บ้าง
คู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นมือกระบี่ผู้หนึ่ง ชุดสีเขียวเข้มสะท้อนแสงในยามเช้า คมกระบี่แผ่ไอเย็น มองดูแล้วก็มีสภาพยอดเยี่ยมเหมือนกัน
มองดูภาพเหตุการณ์นี้ ชาวเมืองที่ยังไม่พอใจเพราะการต่อสู้ครั้งก่อนจบลงอย่างเหลวไหลเช่นนี้ก็ตั้งสติกันขึ้นมาในทันที
มือกระบี่พูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เชิญ”
ฝูซินจือมองใบหน้าของคู่ต่อสู้ที่อยู่ภายในแสงยามเช้า สีหน้าที่มองดูแล้วสุขุม ที่จริงแล้วมีเพียงเขาที่รู้ว่าตนกังวลมากมายขนาดไหน
เขาเป็นนักเรียนที่มาจากเมืองสุยหยาง ไม่เหมือนนักเรียนในจิงตูที่ได้รับความรู้ในด้านการบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ยังเล็ก ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะไม่เลว แต่ระดับความแข็งแกร่งก็ไม่ได้สูงนัก
ส่วนความสามารถในการต่อสู้…ตอนที่เขาอยู่ที่เมืองสุยหยาง ก็ไม่เคยต่อสู้กับผู้อื่นจริงๆ มาก่อน
วันนี้เป็นการประลองครั้งแรกในชีวิตของเขาอย่างแท้จริง และคู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นผู้ที่ตนไม่อาจจะจินตนาการได้ครั้นอยู่ที่เมืองสุยหยาง และทำได้เพียงแค่มองว่าเป็นผู้อาวุโสในขั้นทะลวงอเวจีขั้นกลางที่สูงส่ง!
นี่จะให้เขาไม่กังวลได้อย่างไร
ไม่สามารถกังวลได้ เมื่อคืนวานที่เจ้าสำนักเฉินพูดซ้ำมากที่สุดก็คือสิ่งนี้
สิ่งสำคัญอันดับแรกคือท่าที ท่าทีไม่ได้อยู่ที่ความดุดัน แต่อยู่ที่ความสงบ ที่ผู้คุมกฎพูดซ้ำตั้งแต่คาบเช้าจนมาถึงช่วงก่อนหน้านี้ก็คือเหตุผลนี้
เขานำสิ่งที่เจ้าสำนักเฉินพูดกับเขาเมื่อคืนวานอย่างพวกตำแหน่งของเพลงกระบี่ ความเร็ว วิธีการเคลื่อนปราณแท้เหล่านั้นท่องซ้ำอยู่ในใจอีกรอบ หลังจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปครั้งหนึ่ง
เขาสงบใจลงมา หลังจากนั้นก็ชักกระบี่
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น หน้าประตูสำนักฝึกหลวงราวกับมีลมฝนก่อตัวขึ้น
เพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานกระบวนท่าที่หนึ่ง ยกบุษราคราม!
กระบี่ของเขาแทงผ่านลมฝนนั่นไปอย่างรวดเร็ว มาจนถึงด้านหน้าของมือกระบี่ผู้นั้น
ใบหน้าของมือกระบี่ผู้นั้นยังคงไร้อารมณ์ กระบี่ถูกชักออกจากฝัก ปราณแท้แผ่ขยายออกมา และทำการสะท้อนกระบี่ของฝูซินจือกลับไปในทางเดิม
ฝูซินจือไม่ได้ลนลาน
ไม่รู้เพราะอะไร ก็เหมือนที่เมื่อคืนวานเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วพูดกับนักเรียนใหม่ทั้งหมดเช่นนั้น…
หลังจากที่เขาใช้เพลงกระบี่แรกไป ความหวาดกลัวที่มีต่อผู้ซึ่งอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีในยามปกติขณะอยู่ในเมืองสุยหยางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
อีกทั้งสถานการณ์ในปัจจุบัน เมื่อคืนก็ได้ฝึกซ้อมมาหลายครั้งแล้ว กระบี่ของเขาก็อยู่ในตำแหน่งนั้นพอดี ตำแหน่งที่เฉินฉางเซิงอนุมานขึ้นมานั่น
ตำแหน่งนั้นพอดีอย่างมาก และเหมาะที่จะให้เพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานกระบวนท่าที่ห้า
เขารวบรวมสมาธิ ใช้กระบวนท่ากระบี่ออกมา ลมฝนพลันรวมตัว และแทงไปยังคู่ต่อสู้ของตนอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน เขาก็นับขึ้นมาในใจ “นี่เป็นกระบี่ที่สอง”
เมื่อคืนวานเฉินฉางเซิงได้พูดเอาไว้ ขอเพียงในวันนี้เขาสามารถใช้เพลงกระบี่ต่อหน้าคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งผู้นี้ได้สี่กระบวนท่า เช่นนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ประกายแสงจากกระบี่ปรากฏขึ้นไม่หยุด หลังจากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลมฝนที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน ที่เหลืออยู่คือความกระจ่างใส ไปจนถึงอากาศร้อนที่ตามมาในภายหลัง
มือกระบี่ผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ โดยที่ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย บนร่างของเขาไร้ซึ่งบาดแผล มีเพียงด้านหน้าของชุดที่เป็นรอยขาดเล็กๆ
ฝูซินจือถือกระบี่ ที่หน้าอกขยับขึ้นลงน้อยๆ ที่ไหล่ซ้ายมีแผลลึกจากกระบี่ปรากฏขึ้นรอยหนึ่ง เลือดสดๆ กำลังไหลออกมาไม่หยุด
แต่เขาราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดก็มิปาน ดวงตายังคงกระจ่างใสอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเขาไม่อาจได้รับชัยชนะ ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเด็กใหม่ที่เข้ามาในสำนักฝึกหลวง แต่ความห่างชั้นของขั้นทะลวงอเวจีก็ยังคงไม่อาจก้าวข้ามไปได้
ทว่าเขาใช้เพลงกระบี่ไปสี่กระบวนท่าแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และก็เป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงหวังว่าเขาจะทำได้
ดังนั้นไม่เพียงแต่เขาจะไม่รู้สึกล้มเหลวแต่อย่างใด ทว่ากลับรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างมาก
เขาเพิ่งจะเข้าสำนักฝึกหลวงมาได้ยังไม่ถึงห้าวัน ถึงกับสามารถใช้เพลงกระบี่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงอเวจีได้ติดกันถึงสี่กระบวนท่า!
เช่นนั้นถ้าหากมีเวลาเรียนอยู่ในสำนักฝึกหลวงนานกว่านี้อีกสักหน่อย ตนจะสามารถก้าวไปได้ถึงขั้นไหนกัน
เขามองดวงตาของมือกระบี่ผู้นั้น ในใจคิด ปีหน้า ขอเพียงแค่ปีหน้า ข้าจะต้องสามารถเอาชนะเจ้าได้อย่างแท้จริง!
“ยังจะยืนตรงนั้นทำไม”
ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงมีเสียงของถังซานสือลิ่วดังขึ้น
ฝูซินจือพลันได้สติขึ้นมา เขาเก็บกระบี่เข้าฝัก คำนับไปทางมือกระบี่ผู้นั้น หลังจากนั้นก็เดินกลับไป
มือกระบี่ผู้นั้นไม่ได้โมโหเหมือนกับผู้ท้าประลองจากสำนักจวนราชวังหลี และก็ไม่มีเจตนาจะขัดขวาง แต่เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกองทัพของนิกายหลวงกับพลธนูที่อยู่บนกำแพงเหล่านั้น
ถังซานสือลิ่วมองฝูซินจือที่เดินกลับมา แล้วพูดขึ้น “ตามการอนุมานของเมื่อคืนวาน ถ้าหากเจ้าอยากจะให้เพลงกระบี่ทั้งสี่ออกมาให้หมด ก็จริงอยู่ที่เป็นไปได้อย่างมากว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะสาหัสถึงเพียงนี้”
เมื่อฝูซินจือเดินกลับมาถึง เพื่อนร่วมสำนักเหล่านั้นถึงได้เห็นว่าบาดแผลจากกระบี่นั้นลึกถึงเพียงนี้ กระทั่งพอจะสามารถเห็นถึงกระดูกได้เลย
“กระบี่สุดท้ายนั่นข้าใช้ลึกเกินไปหน่อย” เขาพูดขึ้นอย่างค่อนข้างเป็นกังวล “เพราะว่า…ข้าอยากจะลองดูอย่างมาก ว่าจะสามารถแทงอีกฝ่ายได้หรือไม่”
กระบี่สุดท้ายของเขาไม่ได้แทงถูกร่างของอีกฝ่าย เพียงแค่ทำให้ชุดของอีกฝ่ายมีรอยขาดเล็กๆ เท่านั้น ถ้าหากไม่มองอย่างละเอียด ก็ไม่อาจมองออกด้วยซ้ำ
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วถามขึ้น “เจ้ารู้สึกว่ามันคุ้มหรือ”
ใช้แผลจากกระบี่ที่ลึกจนเห็นกระดูก ไปแลกกับรอยขาดเล็กๆ บนชุดของอีกฝ่าย ไม่ว่าใครจะมอง ก็ล้วนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่ฝูซินจือคิดอย่างจริงจังแล้ว ก็พูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่าคุ้ม”
“ตนเองรู้สึกว่าคุ้ม เช่นนั้นก็คุ้ม” ถังซานสือลิ่วเผยรอยยิ้มออกมา มองดูเขาแล้วพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ “ยกตัวอย่างเช่นข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่เลว เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เลวจริงๆ”
ก็เป็นในตอนนี้เอง ที่ตรงนั้นก็มีเสียงของมือกระบี่ผู้นั้นดังขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เสียงของมือกระบี่ผู้นั้นถึงสั่นคลอนอยู่บ้าง แยกได้ไม่ชัดเจนว่าหวาดกลัวหรือว่าตื่นเต้น
“เพลงกระบี่ที่ดี”
ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา เขาไม่ได้มองไปที่ฝูซินจือ แต่กำลังมองไปยังถังซานสือลิ่ว
ไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความตื่นเต้น กระทั่งเป็นความตกตะลึงอย่างหนึ่งหลังจากที่ได้เห็นทะเลหมอกอันงดงามของภูเขาเลื่องชื่อ
ด้วยระดับของฝูซินจือ สามารถเรียนรู้เพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานได้ ต่อให้เป็นเพียงแค่สองกระบวนท่า เรื่องนี้ก็เพียงพอจะให้คนตกตะลึงแล้ว
แต่ความตื่นเต้นและชื่นชมจากมือกระบี่ผู้นี้ไม่ได้มาจากตรงนี้
ที่ทำให้เขาตกตะลึงจริงๆ คือคนผู้นั้นที่สอนเพลงกระบี่ให้กับฝูซินจือ