มือกระบี่ผู้นี้อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นกลาง ตามหลักแล้ว การสู้กับเด็กหนุ่มที่อยู่ในขั้นถอดจิตผู้หนึ่ง แค่ฟันกระบี่ออกไปตามใจชอบสักกระบวนท่าก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่เพลงกระบี่กระบวนท่าแรกของฝูซิน จือมาอย่างรวดเร็วเกินไป ทำให้เขาจำเป็นต้องต้องท่าป้องกันไว้ก่อน แต่ในตอนที่เขาเตรียมจะเปลี่ยนจากป้องกันมาเป็นโจมตี เพลงกระบี่ชุดที่สองของฝูซินจือก็มาถึง และยังคงรวดเร็วเป็นอย่างมาก
สามารถรวดเร็วได้ขนาดนี้ ก็สามารถพูดได้ว่าระหว่างเพลงกระบี่ทั้งสองกระบวนท่าของฝูซินจือ ไม่มีจุดที่ชะงักแต่อย่างใด
และกระบวนท่าที่หนึ่งกับกระบวนท่าที่ห้าของเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน ตามหลักแล้วก็ยากที่จะประสานกันได้ และยิ่งไม่สามารถจะราบรื่นได้ถึงเพียงนี้
ปัญหาก็อยู่ที่ กระบี่ของเขานั้นสะท้อนให้กระบี่ของฝูซินจือกระเด็นขึ้นไป
และก็เป็นตำแหน่ง และมุมองศานั้น ถึงสามารถทำให้กระบี่ทั้งสองกระบวนท่าของฝูซินจือประสานกันได้รวดเร็วราวสายฟ้า
เขาเคยเห็นเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานมาก่อน แต่เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเพลงกระบี่แห่งเขาจงซานจะสามารถใช้เช่นนี้ได้
ที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกตกตะลึงก็คือ กระบี่ที่สามกับสี่ของฝูซินจือ
กระบวนท่าทั้งสองนั้นคือเพลงกระบี่สำนักฝึกหลวง
การเปลี่ยนจากเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานมาเป็นเพลงกระบี่สำนักฝึกหลวง ทำไมถึงได้สามารถเปลี่ยนมาใช้ได้อย่างราบรื่นถึงเพียงนี้ กระทั่งทำให้คนเกิดความรู้สึกยอดเยี่ยมราวกับสวรรค์สร้าง
เห็นชัดๆ ว่าไม่ใช่เพลงกระบี่ชุดเดียวกัน แต่ทำไมกลับเป็นเหมือนเพลงกระบี่ที่สร้างโดยปรมาจารย์ในวิถีกระบี่ที่ผ่านการสั่งสมประสบการณ์มายาวนานนับพันปี
สำหรับมือกระบี่ผู้นี้ กระบี่ทั้งสี่กระบวนท่านี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก และก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
เขาชัดเจนอย่างมาก ถ้าหากไม่ใช่ว่าระดับของฝูซินจือไม่อาจเทียบกับตนได้ ตัวเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรับมือกับกระบี่ทั้งสี่กระบวนท่านี้อย่างไร
พูดอีกอย่างนั่นก็คือ ถ้าหากฝูซินจือสามารถบรรลุถึงขั้นทะลวงอเวจี ต่อให้อยู่ต่ำกว่าเขาหนึ่งขั้นเต็มๆ ก็สามารถที่จะใช้กระบี่สี่กระบวนท่านี้คุกคามตนได้
กระบี่ทั้งสี่กระบวนท่านี้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่นักเรียนใหม่จากชนบทที่เพิ่งเข้าสำนักฝึกหลวงจะสามารถคิดออกมาได้
และก่อนที่กระบวนท่ากระบี่ของฝูซินจือจะเปลี่ยนท่า ก็ดูเหมือนว่าจะมีการอนุมานถึงสถานการณ์ได้แม่นยำอย่างหาใดเปรียบ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่ามีคนวางแผนให้เขาล่วงหน้าเอาไว้แล้ว
ใครจะสามารถคำนวณถึงรายละเอียดทั้งหมดของการประลองกระบี่ในวันนี้ และยังสามารถมอบวิธีรับมือที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ออกมาได้กัน
มือกระบี่ผู้นั้นนึกขึ้นมาว่าบนโลกถึงกับมีคนเช่นนี้อยู่ ก็รู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วร่าง และรู้สึกรุ่มร้อนไปทั้งกาย
เมื่อเขาคิดว่าถึงกับมีคนที่สามารถมาถึงวิถีกระบี่ในขั้นนี้ได้ ก็ตื่นเต้นจนถึงขีดสุด จนแทบจะไปดื่มฉลองเสียตอนนี้เลย!
“นี่…คือเพลงกระบี่ของเจ้าสำนักเฉินหรือ” เขามองถังซานสือลิ่วด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ใช่”
มือกระบี่ผู้นั้นเงียบไปเป็นเวลานาน ถึงได้สงบลงจากความตื่นตะลึงมาบ้าง แล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อปีก่อนที่งานชุมนุมไม้เลื้อยเขากับโก่วหานสือถกกันเรื่องกระบี่ ทุกครั้งที่ได้ยินถึงรายละเอียดเหล่านั้น ก็มักจะรู้สึกว่าผู้ที่เล่าพูดจาเกินจริง และดูโอ้อวดเกินไป อย่างไรเสียในตอนนั้นเขายังอยู่เพียงแค่ขั้นถอดจิต ในตอนนี้ข้าถึงได้รู้ ที่แท้ในวิถีกระบี่ ก็มีผู้ที่รู้มาตั้งแต่เกิดจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ถังซานสือลิ่วเองก็นึกถึงเหตุการณ์การที่งามชุมนุมไม้เลื้อยเมื่อปีก่อนนั้นขึ้นมา และก็รู้สึกปลงอนิจจังเป็นอย่างมากเช่นกัน “อย่าว่าแต่เจ้าที่ไม่เชื่อ ในตอนที่เขาพูดเพลงกระบี่ ข้ารับหน้าที่สู้ตาม แต่ก่อนที่จะลงมือข้าเองก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถช่วยให้ข้าเอาชนะชีเจียนได้ แต่ว่า…เจ้าหมอนั่นก็สามารถทำได้จริงๆ”
มือกระบี่ผู้นั้นพลันพูดปลงอนิจจังขึ้นอีกครั้ง “พรสวรรค์ในวิถีกระบี่ระดับนี้ ช่างทำให้คนตกตะลึงเสียจริง”
“คำชมของเจ้า ข้าจะนำไปบอกกับเขา แต่ว่า เขาจะต้องไม่ยอมรับว่าตนเป็นอัจฉริยะในวิถีกระบี่อย่างแน่นอน…”
ถังซานสือลิ่วพูดต่อ “เขาคงพูดเพียงว่าตนเพียงแค่ค่อนข้างจะขยัน และมีความจำที่ค่อนข้างดีก็แค่นั้น”
มือกระบี่ผู้นั้นเมื่อได้ยินก็อึ้งไป ในใจคิดว่าพรสวรรค์ในวิถีกระบี่ระดับนี้ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออก จะปฏิเสธไปได้อย่างไร…ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรเลย
“ข้าเองก็รู้สึกว่าท่าทีตอนที่เขาพูดประโยคนี้น่ารำคาญอย่างมาก อืม ยังน่ารำคาญยิ่งกว่าข้าในบางครั้งเสียอีก”
ถังซานสือลิ่วประสานมือไปทางมือกระบี่ผู้นั้น
มือกระบี่ผู้นั้นพยักหน้า แล้วเดินกลับไปทางฝูงคน แต่กลับไม่ได้ไปยืนอยู่ร่วมกับบรรดายอดฝีมือของตระกูลเทียนไห่เหล่านั้น แต่เดินต่อไปยังที่ไกลออกไป
เชื่อว่าเขาจะไปไกลแสนไกล จนกระทั่งเดินข้ามสะพานหน่ายเหอ เดินออกจากประตูเมือง หลังจากนั้นก็เดินไปสู่แผ่นดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
วันนี้ได้เห็นว่าวิถีกระบี่กว้างใหญ่ราวมหาสมุทร แล้วจะสามารถหยุดอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างจิงตูได้อย่างไร
……
……
การประลองรอบที่สามไม่นานก็มาถึงแล้ว
ยอดฝีมือที่มาท้าประลองสำนักฝึกหลวงผู้นั้นมีสีหน้าอำมหิต เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนดี และก็ไม่ได้ซุกซ่อนจิตสังหารในดวงตาของตนเลย
ตัวแทนของสำนักฝึกหลวง เป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ย้ายมาจากสำนักเทียนเต้า มีชื่อว่าชูเหวินปิน
“ศิษย์พี่…ดูเหมือนว่าสถานการณ์ไม่ค่อยถูกต้องนะ” ชูเหวินปินมองยอดฝีมือผู้นั้น จึงพูดขึ้นเสียงเบาอย่างไม่ค่อยสงบ
ก่อนหน้านี้เขาเป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้า ก่อนหน้านี้ถังซานสือลิ่วก็เป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้า เดิมทีก็รู้จักกัน ในตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงแล้ว ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นหัวอกเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีมิตรภาพหลายส่วนที่ต่างกัน ในตอนนี้เมื่อกังวลขึ้นมา เขาจึงเรียกถังซานสือลิ่วด้วยความเคยชินว่าศิษย์พี่ แล้วลืมไปว่าควรจะเรียกว่าผู้คุมกฎ ถังซานสือลิ่วที่ใส่ใจเรื่องนี้อย่างมากก็ไม่ได้โกรธอะไร
“เป็นอะไร” ถังซานสือลิ่วหันข้างไปถาม
ชูเหวินปินมองไปยังสนามด้วยความกลัว พลางพูดขึ้น “รู้สึกว่าคนผู้นั้นค่อนข้างดุร้าย”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ที่เมื่อคืนวานเจ้าสำนักเฉินสอนเจ้าไปกระบวนท่าหนึ่ง ก็เป็นวิธีต่อกรกับคนผู้นี้โดยเฉพาะ ถ้าหากว่าโชคดี ไม่แน่ว่าจะสามารถได้เปรียบ…ต่อให้เจ้ากลัว ก็ไม่อาจเปลี่ยนคนอย่างกะทันหัน”
ชูเหวินปินจนใจอยู่บ้าง เขาจับกระบี่แล้วเดินจากบันไดหินลงไป
ยอดฝีมือที่มีสีหน้าโหดเหี้ยมผู้นั้น มองชูเหวินปินที่มีผิวขาวราวอิสตรี จึงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พลางพูดขึ้น “ที่แท้ก็มีพวกไม่กลัวตายจริงๆ”
ชูเหวินปินถูกรอยยิ้มนี้ทำเอาตกอกตกใจ จึงหันไปมองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้น “ศิษย์พี่ เขาขู่ข้า”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วขึ้น มองคนผู้นั้นแล้วพูด “ข้าว่าจะสู้ก็สู้ เจ้าจะพูดหา***อะไรกันล่ะ”
คนผู้นั้นเก็บรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “สำนักฝึกหลวงในตอนนี้แม้แต่เรื่องจริงก็ยังไม่กล้าฟังแล้วหรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “มีปัญญาวันนี้เจ้าก็ฆ่าเขาให้ข้าดูสิ”
ชูเหวินปินได้ยินเข้าก็ตกใจอย่างมาก ในใจคิดว่าคำพูดนี้ของศิษย์พี่เท่มาก ช่างดูเกรียงไกรนัก แต่ว่า…ชีวิตเป็นของตัวข้านะ!
คนผู้นั้นพูดเย้ยหยันขึ้น “ฆ่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร”
ถังซานสือลิ่วเม้มปากลงน้อยๆ
ก็เหมือนกับเฉินฉางเซิงตอนที่อยู่ในหอเฉินหูเมื่อตอนนั้น เขาเองก็รู้สึกถึงจิตสังหารของคนผู้นี้…อย่างชัดเจน
“กฎของการประลองระหว่างสำนักไม่มีข้อไหนที่บอกว่าสามารถฆ่าคนตายได้”
เขามองคนผู้นั้นแล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าหากเจ้าอยากทำผิดกฎ แน่นอนว่าข้าก็มีวิธีการที่ไม่ได้อยู่ในกฎ”
คนผู้นั้นยิ้มขึ้นมา บวกกับใบหน้าที่ซีดขาวและดวงตาที่ชั่วร้าย รอยยิ้มก็ยิ่งดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก “หลายวันก่อน คุณชายของข้าเคยผู้ไว้ ดาบกระบี่ไร้ตา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนถึงได้รู้ ที่แท้คนผู้นี้ก็เป็นลูกน้องของเปี๋ยเทียนซิน บางทีอาจจะเป็นบ่าวในบ้านของเขา
อย่ามองเพียงแค่ว่าเป็นลูกน้องหรือกระทั่งเป็นบ่าวผู้หนึ่ง แต่ว่าการที่สามารถติดตามเปี๋ยเทียนซินท่องโลกไปได้ และทำให้แปดมรสุมทั้งสองวางใจ…คนผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งจนน่ากลัว
“ดาบกระบี่ไร้ตา เจ้าก็ไม่ใช่คนตาบอด”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “ถ้าหากไม่เหมาะสม แน่นอนว่าข้าจะตะโกนให้หยุด”
บ่าวของตระกูลเปี๋ยผู้นั้นพูดขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “นายน้อยถังท่านอาศัยอะไรมาตะโกนให้หยุด แล้วข้าก็ต้องหยุด พูดไป นักเรียนสำนักฝึกหลวงของพวกเจ้าเหล่านี้ก็อ่อนแอเกินไป ข้าต่อสู้เป็นปกติ มีช่วงที่พลั้งมือฆ่าเขาตายก็เป็นเรื่องปกติ”
“พลั้งมือ?” คิ้วของถังซานสือลิ่วเลิกขึ้นมา เหมือนกระบี่เล่มหนึ่งที่กำลังจะออกจากฝัก
บ่าวตระกูลเปี๋ยผู้นั้นดูเหมือนจะพูดอธิบายขึ้นมาอย่างปรารถนาดี “พลั้งมือก็หมายความว่าหยุดไม่ทัน”
“เจ้าพูดถูก แน่นอนว่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงของพวกข้าค่อนข้างจะอ่อนแอ พวกเจ้าสำหรับพวกเขาแล้ว ก็เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย รังแกคนอ่อนแอ แล้วยังจะหยุดไม่ทันอีก…”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “เช่นนั้นไม่แน่ว่า ข้าจะทำได้เพียงให้ทั้งตระกูลของเจ้าต้องหยุดลง”
บ่าวของตระกูลเปี๋ยผู้นั้นมีสีหน้าแข็งค้าง แล้วพูดขึ้น “เจ้าน่าจะชัดเจนอย่างมาก ว่าข้าเป็นคนของตระกูลเปี๋ย”
“แน่นอนว่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบ่าวของตระกูลเปี๋ย เหยี่ยซิงชิ่ง”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “แต่ตระกูลของเจ้าอยู่ที่เมืองซานหนาน อาศัยอำนาจของตระกูลเปี๋ย ในชนบทรังแกชายข่มเหงหญิง กระทำแต่เรื่องชั่ว ยึดที่นานับหมื่นไร่ ได้ยินมาว่าลูกชายของเจ้ายังเป็นเจ้าเมืองด้วย”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของบ่าวตระกูลเปี๋ยที่ชื่อเหยี่ยซิงชิ่งก็เปลี่ยนไปในทันที พลางตวาดขึ้นมา “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ความหมายของข้าคือ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร”
ถังซานสือลิ่วไม่มองเขาอีก เขามองไปที่เหล่ายอดฝีมือที่รับคำสั่งจากตระกูลเทียนไห่มาท้าประลองสำนักฝึกหลวงเหล่านั้นที่อยู่ด้านหลังฝูงคน แล้วพูดขึ้น “พวกเจ้าทุกคน ข้าล้วนรู้ว่าเป็นใคร ดังนั้นจะสู้ก็สู้ แต่ถ้าหากมีคนคิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วพูดอะไรทุเรศๆ อย่างหยุดไม่ทันอีก เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงให้ตระกูลของพวกเจ้าต้องหยุดลง”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังเหยี่ยซิงชิ่งใหม่อีกครั้ง แล้วถามขึ้น “ในตอนนี้ เจ้าฟังเข้าใจแล้วหรือยัง”
บนโลกใบนี้เรื่องที่สามารถทำให้หยุดลงมามีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นกระบี่ ยกตัวอย่างเช่นคำพูด แล้วยังมีอนาคต หรือกระทั่งชีวิต
ตอนที่พูดคำพูดนี้ เขาสงบอย่างมาก ไม่มีความรู้สึกกำเริบและโอ้อวดตามปกติเลยสักนิด
มีเพียงเช่นนี้ คนทั้งหมดในที่นี้ถึงจะรู้ว่าที่เขาพูดเป็นความจริง ไม่ใช่เพียงการพูดขู่
ใช่ ต่อให้เป็นสำนักฝึกหลวงก็ไม่สามารถทำอะไรตระกูลเปี๋ยได้ อย่างไรเสียนั่นก็หมายถึงแปดมรสุมทั้งสอง
แต่อย่างไรเสียเหยี่ยซิงชิ่งก็เป็นเพียงบ่าวของตระกูลเปี๋ย เขามีบ้านของตนเอง มีครอบครัวของตน เช่นนั้นในตอนที่เขาคุกคามสำนักฝึกหลวง ก่อนหน้าเขาก็น่าจะคิดให้ดี ว่าสำนักฝึกหลวงก็สามารถจะคุกคามเขาได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่ถังซานสือลิ่วพูดประโยคนี้จบอย่างชัดเจน เหยี่ยซิงชิ่งก็เข้าใจกระจ่างแล้ว ดังนั้นสีหน้าของเขาถึงได้น่าเกลียดเป็นอย่างมาก
“ศิษย์พี่ เจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง”
ความกลัวของชูเหวินปินนั้นลดลงไปแล้ว เขามองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้นอย่างดีใจ
ถูกชื่นชมเช่นนี้ ถ้าเป็นตามปกติ ถังซานสือลิ่วจะต้องดีใจอย่างมากเป็นแน่ แต่ตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้ดีใจ เพราะเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงเช่นนี้ ที่สำคัญที่สุดคือ ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงในตอนแรก เขาเคยพูดไว้กับทั่วทั้งจิงตู ว่าตนจะไม่มีทางให้การประลองส่งผลกระทบกับนักเรียนใหม่เหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะเสี่ยง
เมื่อคืนวานเขากับเฉินฉางเซิงได้เตรียมการเอาไว้แล้ว จนถึงตอนนี้ก็จบลงอย่างกะทันหัน
ถึงแม้จะต่างจากแผนเดิมไปบ้าง แต่เขาก็ตัดสินใจจะลงมือเอง
ก็เป็นในตอนนี้เอง ในฝูงคนพลันมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา คนผู้นั้นเดินมาที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง แล้วพูดขึ้น “รอบนี้ให้ข้าเถอะ”
นั่นเป็นนักเรียนหนุ่มที่สุภาพเรียบร้อยและสูงส่งผู้หนึ่ง และก็ให้คนรู้สึกถึงความเรียบร้อยจริงจัง
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วถามขึ้น “ทำไมเจ้าถึงดำไปมากขนาดนี้”
นักเรียนหนุ่มผู้นั้นมองเขาไปแวบหนึ่ง และตอบคำถามเขาอย่างไม่รีบร้อน “เจ้าก็รู้ ศาลาของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ป้ายหลังๆ ค่อนข้างเล็ก จึงบังแสงแดดไม่ค่อยได้”