ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 56 นักเรียนที่ย้ายสำนักมาอย่างเหนือความคาดหมาย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สายตาของถังซานสือลิ่วย้ายลงมา เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา แล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นมือทั้งสองข้างของเจ้าทำไมถึงยังขาวขนาดนี้”

นักเรียนหนุ่มผู้นั้นเอ่ยตอบ “ในภายหลังข้าถึงได้เข้าใจ เมื่อเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อและไม่ถูกแสงแดด แน่นอนว่าจะเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิมของมัน”

ถังซานสือลิ่วมองประเมินเขาอยู่รอบหนึ่ง รู้สึกถึงไอพลังปราณจางๆ ที่กระจายออกมาจากร่างของเขา ก็พูดขึ้นอย่างค่อนข้างจะตกตะลึง “ใช้ได้เลยนี่ ถึงกับอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นกลางแล้ว”

นักเรียนหนุ่มผู้นั้นพูดขึ้นอย่างมีมารยาท “ขอบคุณที่ชม เพียงแค่ธรรมดาเท่านั้น”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ไม่ต้องถ่อมตัว ถึงแม้จะยังแย่กว่าข้าอยู่นิดหน่อย แต่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”

นักเรียนหนุ่มผู้นั้นชะงักไป ถึงจะพูดว่าเขากับถังซานสือลิ่วมีการปฏิสัมพันธ์กันอย่างมากที่การสอบใหญ่และในสุสานเทียนซู ก็ยังค่อยชินอยู่บ้าง เขาคิดแล้วพูดขึ้น “เจ้าโชคดี”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นเสียงเย็น “ตอนที่ข้าออกจาสุสานเทียนซู ก็อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงแล้ว เจ้าออกมาช้ากว่าข้าหนึ่งเดือนก็เพิ่งจะอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นกลาง นี่มันเกี่ยวกับโชคตรงไหนกัน”

นักเรียนหนุ่มผู้นั้นคิดดูอีกครั้ง แล้วพูดขึ้น “เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ข้าเทียบเจ้าไม่ได้จริงๆ”

นักเรียนผู้สุภาพเรียบร้อยสูงส่งซึ่งมีคำพูดและการกระทำเคร่งครัด จนออกจะดูพูดน้อยไปบ้างผู้นี้ ก็คือนักเรียนที่มีความสามารถมากที่สุดในช่วงหลายปีมานี้ของสำนักจวนราชวังหลี ซูม่ออวี๋

ในตอนแรกซูม่ออวี๋เคยพูดถึงข้อสงสัยที่มีต่อเฉินฉางเซิงที่ถนนเสินในพระราชวังหลี และในตอนที่เขาพบว่าข้อสงสัยของตนนั้นไม่มีเหตุผล ไม่นานเขาก็รับรู้ถึงความผิดของตน และขอโทษอย่างเคร่งครัด ในการสอบใหญ่เขายังร่วมทางกับพวกคนของสำนักฝึกหลวงเป็นเวลานาน พรสวรรค์ก็โดดเด่นจริงๆ เป็นเพียงเพราะความสัมพันธ์ของข้อตกลง จึงไม่สามารถไปไกลเกินไปได้ ภายหลังทุกคนเข้าสุสานเทียนซูไปมองแผ่นป้ายบรรลุวิถีเต๋า พวกเฉินฉางเซิงได้ออกกันไปก่อน เมื่อเดือนก่อนก็เป็นถังซานสือลิ่วกับพวกศิษย์เขาหลีซานอย่างโก่วหานสือก็ไปกันแล้ว มีเพียงซูม่ออวี๋ที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงได้อยู่มองแผ่นป้ายในสุสานเทียนซูต่อ หลังจากที่พวกเฉินฉางเซิงรู้เรื่องนี้เข้า ก็ถึงขนาดเป็นกังวลว่าเจ้าคนที่หัวโบราณและพูดน้อยผู้นี้จะถูกแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ดึงดูดไปจริงๆ และจะไม่ยอมออกจากสุสานเทียนซูอีก จนกลายไปเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์

ถังซานสือลิ่วมองซูม่ออวี๋แล้วถามขึ้น “เจ้าแน่ใจว่าจะสู้ในรอบนี้จริงๆ หรือ”

ซูม่ออวี๋มองเหยี่ยซิงชิ่ง แล้วพูดขึ้น “การประลองรอบนี้ควรให้ข้าเป็นคนสู้”

ถังซานสือลิ่วฟังไม่ออกมาในคำพูดประโยคนี้มีความหมายแฝงอยู่

ซูม่ออวี๋เหมือนกับจวงห้วนอวี่ที่ฆ่าตัวตายไปแล้ว ซึ่งล้วนเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดในหกสำนักไม้เลื้อย และก็มีผู้มีชื่อเสียงในจิงตู เพียงแค่ในหนึ่งปีมานี้ถูกเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงแย่งความโดดเด่นไปไม่น้อย แต่ชาวเมืองจิงตูก็ยังมีคนจำนวนมากที่รู้จักเขา ข่าวจึงเริ่มแพร่กระจายออกไป ฝูงคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น ทั้งตกตะลึงและไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าเขากลายมาเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่

เหยี่ยซิงชิ่งได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ไม่รู้ว่าทำไมสีหน้าถึงพลันเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ เขามองซูม่ออวี๋ อย่างลังเลแล้วถามขึ้น “ท่าน…ไม่ใช่นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีหรอกหรือ”

ถังซานสือลิ่วไม่ได้สังเกตถึงคำเรียกที่เขาใช้กับซูม่ออวี๋อย่างเคารพ จึงพูดขึ้น “อ๋อ ก่อนหน้านี้เขาสมัครเข้าสำนักฝึกหลวงแล้ว”

หลังจากนั้นเขามองไปทางซูม่ออวี๋แล้วถามขึ้น “มีความมั่นใจไหม”

คำถามนี้ไม่ได้เกินไป เหยี่ยซิงชิ่งไม่ใช่บ่าวธรรมดา แต่เป็นบ่าวที่ถูกแปดมรสุมทั้งสองคนสั่งสอนออกมา

ซูม่ออวี๋เลือกที่จะออกจากสุสานเทียนซู แน่นอนว่าจะต้องแกร่งกว่าเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นระดับพลังหรือว่าแข็งแกร่งล้วนพัฒนาสูงขึ้นมา แต่ยังคงไม่เห็นว่าจะเป็นคู่มือของคนผู้นี้

ก่อนหน้านี้ถังซานสือลิ่วเตรียมจะลงมือด้วยตัวเอง นอกจากคิดว่ามีเพียงตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยของตนที่สามารถเผชิญหน้ากับตระกูลเปี๋ยตรงๆ แล้ว ก็ยังครุ่นคิดถึงเรื่องในส่วนนี้

ซูม่ออวี๋ไม่รู้ว่าคิดอะไร จึงไม่ได้ตอบรับ

ถังซานสือลิ่วคิดดู แล้วพูดขึ้น “ถึงแม้เขาจะเป็นบ่าวของตระกูลเปี๋ย แต่วิชาที่ใช้ไม่ใช่เส้นทางของบุคคลสำคัญทั้งสองท่านนั้น แต่ที่เดินคือผืนนาธารดารา”

ซูม่ออวี๋ค่อนข้างจะตกตะลึง ดูแล้วคงเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้เรื่องนี้

เหยี่ยซิงชิ่งที่ถูกเปิดโปงวิชาที่ใช้ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพียงแค่มองซูม่ออวี๋อย่างไม่ค่อยสงบนัก

“ผืนนาธารดารา ที่เดินก็คือเส้นทางที่โหดเหี้ยมแปลกประหลาด เมื่อวานซืนหลังจากที่สำนักการศึกษากลางได้ส่งเอกสารมา เฉินฉางเซิงก็วิเคราะห์ดูนิดหน่อย และคำนวณแผนรับมือมาหลายอย่าง”

ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่ชูเหวินปินที่ถอยมาถึงด้านบนของบันไดหินแล้ว “แผนการนี้ให้เขาใช้ ก็ทำได้เพียงยื้อเอาไว้ ในเมื่อเจ้าลงมือ ก็น่าจะเอาชนะเขาได้”

เมื่อพูดจบเขาก็ไม่รอให้ซูม่ออวี๋แสดงอะไรออกมา เขาก็นำแผนของเฉินฉางเซิงพูดออกมาทั้งหมด

หน้าประตูสำนักฝึกหลวงพลันเงียบลงมา จนได้ยินเพียงแค่เสียงของเขา

ถ้าหากในคำพูดมีกระบี่อยู่ เช่นนั้นตอนที่เขาพูดอยู่นี้ ก็คือกระบี่ที่เฉินฉางเซิงเตรียมเอาไว้ใช้กับเหยี่ยซิงชิ่งผู้นี้

ก็เหมือนกับการประลองสองรอบก่อน

ชาวเมืองจิงตูที่มาดูเรื่องสนุก แน่นอนว่าต่างฟังไม่เข้าใจ

เหล่านักบวชจากราชวังหลีกับยอดฝีมือที่ท้าประลองสำนักฝึกหลวงนั้น ก็ยิ่งฟังยิ่งนิ่งเงียบ

สีหน้าของเหยี่ยซิงชิ่งก็ค่อยๆ ซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ

คำพูดที่ถังซานสือลิ่วพูดเหล่านี้มีกระบี่ของเฉินฉางเซิงซ่อนอยู่ ได้เปิดโปงความพิเศษในวิชาของเขา เป็นการหาจุดอ่อนของเขาได้แม่นยำหาใดเปรียบ

และในตอนนี้ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้

กระบี่ไม่อยู่ที่จำนวนมาก แค่แหลมคมก็พอแล้ว แผนการของเฉินฉางเซิงก็เรียบง่ายอย่างมาก ขอเพียงแค่ได้ผลก็พอ

ไม่นานนัก ถังซานสือลิ่วก็พูดจบ

ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงยังคงเงียบอยู่ จนกระทั่งสามารถพูดได้ว่าเงียบเป็นเป่าสาก

จนกระทั่งหลังจากนั้นไปนาน ซูม่ออวี๋ถึงได้พูดปลงขึ้น “ข้าเทียบเขาไม่ได้”

ที่เป็นการปลงอนิจจังจากใจจริงของเขา

และก็เป็นความคิดที่อยู่ในใจของหลายๆ คน

“ในตอนนี้มีความมั่นใจหรือยัง” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น

ซูม่ออวี๋มองเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ข้าพูดว่าข้าเทียบกับเฉินฉางเซิงไม่ได้ แต่ตอนไหนกันที่ข้าเคยพูดว่าข้าไม่มั่นใจในการประลองครั้งนี้”

ถังซานสือลิ่วคิดในใจเช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าไม่ตอบรับคำพูดข้าเล่า

ที่จริงต่อให้เมื่อครู่ซูม่ออวี๋พูดว่าตนมีความมั่นใจ เขาก็จะหาโอกาสพูดแผนการที่เฉินฉางเซิงเตรียมเอาไว้เมื่อคืนวานออกมา

คนบนโลกมักจะคิดว่าที่เฉินฉางเซิงสามารถบำเพ็ญเพียรได้มาถึงขั้นนี้ด้วยอายุเช่นนี้ ที่สำคัญก็เป็นเพราะเขามีนิกายหลวงหนุนหลังไปจนถึงปาฏิหาริย์เหล่านั้น และดูถูกพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรกับระดับความขยันของเขา

เขารู้สึกว่านี่ไม่ถูกต้อง เขาคิดว่าพรสวรรค์ของเฉินฉางเซิงคู่ควรให้คนชื่นชมและเคารพยำเกรง

และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่แสนสำคัญ นั่นก็คือเขาไม่ชอบเหยี่ยซิงชิ่งผู้นี้อย่างมาก ดังนั้นเขาต้องการจะนำความลับในวิชากับจุดอ่อนของเขา มาเปิดโปงต่อธารกำนัล

“เช่นนั้นก็ไปสู้” ถังซานสือลิ่วพูดกับซูม่ออวี๋ “ซ้อมจนนายน้อยของเขาจำหน้าไม่ได้”

……

……

ผู้เคยเป็นอัจฉริยะของสำนักจวนราชวังหลี และยังมองแผ่นป้ายบรรลุวิถีเต๋าในสุสานเทียนถึงครึ่งปี ซูม่ออวี๋ในตอนนี้ค่อนข้างที่จะแข็งแกร่ง บวกกับการที่เขาใช้แผนการของเฉินฉางเซิงโดยที่ไม่มีอุปสรรคในใจ อีกทั้งไม่รู้เพราะเหตุใด ในการประลองเหยี่ยซิงชิ่งถึงได้แสดงพลังออกมาในระดับที่ไม่อาจเทียบกับที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้ได้ การประลองรอบนี้จึงจบลงด้วยชัยชนะเหมือนก่อนหน้าอย่างไม่เหนือความคาดหมาย

ส่วนเหยี่ยซิงชิ่งจะถูกซ้อมจนนายน้อยของเขาจำหน้าไม่ได้หรือไม่ ก็ต้องไปถามเปี๋ยเทียนซินเอง อย่างไรเสียอ้างอิงตามที่ซูม่ออวี๋พูดไว้ ก็น่าจะจำไม่ได้แล้ว

การประลองรอบที่สามก็จบไปอย่างรวดเร็ว บวกกับคำพูดเหล่านั้นก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้ยาวมากนัก แสงอาทิตย์ยามเช้าเพิ่งจะเปลี่ยน แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุกำลังมา ถังซานสือลิ่วก็พาซูม่ออวี๋กับนักเรียนใหม่นับสิบคนนั้นกลับไปยังภายในสำนักฝึกหลวง มีเพียงประตูสำนักที่ปิดสนิทเหลือไว้ให้กับพวกชาวเมืองที่ยังไม่สะใจ และพวกผู้ท้าประลองที่นิ่งเงียบไร้คำพูดเหล่านั้น

เหตุผลของถังซานสือลิ่วเรียบง่ายอย่างมาก มีสหายกลับมาจากสุสานเทียนซู พวกข้าต้องฉลองรำลึกความหลังกันก่อน ส่วนเรื่องเล็กน้อยอย่างการประลองระหว่างสำนักนี้ กินเสร็จแล้วค่อยมาต่อ

หญ้าเขียวบนพื้นข้างทะเลสาบ มีนักเรียนจำนวนมากที่นั่งอยู่ ในมือกำลังถือหนังสืออ่าน ใต้ต้นสนที่อยู่ไม่ไกลออกไป มีกุหลาบน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงที่สุดของหอเฉิงหูวางอยู่ โดยที่เหล่านักเรียนสามารถไปหยิบกันได้ตามใจชอบ

มองดูภาพเหตุการณ์นี้ ซูม่ออวี๋ปลงอนิจจังอย่างมาก จึงพูดขึ้น “นี่ก็ออกจะฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เจ้าเข้าสำนักฝึกหลวงมา ไม่มีทางเสียใจในภายหลังแน่”

ด้านบนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบมีกำแพงที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ กำแพงนั้นค่อนข้างจะเตี้ยอยู่บ้าง จึงไม่อาจจะบดบังทิวทัศน์ที่อยู่ด้านใน แน่นอนว่าก็ยิ่งบดบังต้นไทรย้อยต้นใหญ่ต้นนั้นไม่มิด มันเป็นเพียงที่แบ่งเขตเท่านั้น

ป่าที่อยู่ทางกำแพงเตี้ยนั้นก็ยิ่งทึบ และยิ่งเงียบสงบ ไม่มีใครอยู่

ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจี มีอาคารหลังเล็กอยู่หลังหนึ่ง เฉินฉางเซิงอยู่ที่ด้านหน้าอาคาร มองมาที่ซูม่ออวี๋แล้วพูดขึ้น “มาแล้วหรือ”

“อืม” ซูม่ออวี๋สังเกตเห็นสีหน้าของเขา จึงพูดขึ้น “เจ้าดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก”

เฉินฉางเซิงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากจริงๆ หลายวันมานี้เขาวิเคราะห์คู่ต่อสู้เหล่านั้นมาโดยตลอด เพื่อค้นหาช่องโหว่ และทำการชี้แนะนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง วางแผนการ ที่จริงนี่ก็เท่ากับการใช้เพลงกระบี่รอบรู้ตลอดเวลา อีกทั้งเขายังรีบร้อนที่จะเข้าไปในสวนโจวใหม่อีกครั้ง ทุกคืนยังทำการทดลองอยู่หลายครั้ง ดวงจิตก็สูญเสียหายไปเป็นอันมาก

“ตอนนี้สามารถพูดได้แล้ว” ถังซานสือลิ่วมองซูม่ออวี๋แล้วถามขึ้น “ทำไมเจ้าถึงมาที่สำนักฝึกหลวง”

ในคืนนั้นที่ได้เห็นชื่อของซูม่ออวี๋ในใบรายชื่อของคนสมัครสอบ เขากับเฉินฉางเซิงล้วนตกตะลึงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังค่อนข้างจะเป็นกังวล

ในหกสำนักไม้เลื้อยก็มีนักเรียนที่ย้ายมาที่นี่อยู่บ้าง แต่เหล่านั้นล้วนเป็นนักเรียนที่ไม่ได้รับความสำคัญ ซูม่ออวี๋นั้นต่างออกไป เขาเป็นคนที่ถูกสำนักจวนราชวังหลีให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูตลอดช่วงสองปีมานี้ ผลคือหลังจากที่ออกมาจากสุสานเทียนซู ก็ไม่แม้แต่จะแจ้งกับสำนักจวนราชวังหลีสักคำ พลันย้ายมาที่สำนักฝึกหลวงแล้ว หลังจากที่เรื่องที่แพร่ออกไป จะต้องนำมาซึ่งความวุ่นวายบางส่วนเป็นแน่

“ข้ามาเพื่อหลบความวุ่นวาย” ซูม่ออวี๋ไม่มีเจตนาจะปิดบังแต่อย่างใด จึงพูดขึ้นมาตามตรง “คลื่นลมที่พวกเจ้าก่อขึ้นมาในจิงตูใหญ่โตเกินไป ข้าอยู่ในสุสานเทียนซูก็รู้แล้ว ถ้าหากข้ากลับสำนักจวนราชวังหลี ต่อมาก็รอการจัดการของข้า จะต้องเป็นตัวแทนจากสำนักจวนราชวังหลีมาท้าประลองพวกเจ้าอย่างแน่นอน ข้าเพียงแค่ชอบอ่านหนังสือบำเพ็ญเพียร ไม่ชอบทำเรื่องเหล่านี้”

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วเข้าใจแล้ว

นักพรตซือหยวนเป็นหกผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวง เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวง ในเวลาเดียวกันก็เป็นภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักจวนราชวังหลี

เปี๋ยเทียนซินที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นกลางแล้ว ก็ยังดึงดันจะท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงโดยที่ไม่สนใจคำครหา ก็เป็นเพราะบิดามารดาของเขามีมิตรภาพกับนักพรตซือหยวน

ถ้าหากซูม่ออวี๋กลับมาถึงสำนักจวนราชวังหลี แน่นอนว่าก็ไม่อาจจะหลบหนีการจัดการนี้ไป

ถังซานสือลิ่วยังมีส่วนที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง “เจ้าไม่ชอบต่อสู้ ก่อนหน้านี้ทำไมถึงได้ออกไปสู้แทนสำนักฝึกหลวง”

ซูม่ออวี๋พูดขึ้น “เพราะว่าเขาเป็นคนของตระกูลเปี๋ย”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ก็เพราะว่าเขาเป็นคนของตระกูลเปี๋ย การจะจัดการก็ค่อนข้างตึงมือ ดังนั้นที่จริงแล้วข้าถึงได้ลังเลมาโดยตลอด”

“การรังแกแต่คนที่อ่อนแอกว่านั้นไม่ถูกต้อง” ซูม่ออวี๋มองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“มีเหตุผล” ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่ายิ่งมองเขาก็ยิ่งรื่นหูรื่นตา ถึงขนาดที่นับถืออยู่บ้าง

ซูม่ออวี๋พูดขึ้น “อีกทั้งเมื่อครู่ข้าได้พูดกับเจ้าไปแล้ว การประลองรอบนี้ควรจะให้ข้าเป็นคนสู้”

ถังซานสือลิ่วนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เขาพูดเอาไว้เช่นนี้จริงๆ ในตอนนี้นึกขึ้นมาก็รู้สึกว่าคำพูดนี้แปลกอยู่บ้างจริงๆ ทำไมถึงพูดว่าควรจะให้เขาเป็นคนสู้

“ทำไม”

“เพราะว่าเปี๋ยเทียนซินเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า”