ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 57 ท่าทีของเปี๋ยยั่งหง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “เช่นนั้นแล้วเปี๋ยยั่งหงคือ?”

ซูม่ออวี๋พูดขึ้น “อาของข้า”

ถังซานสือลิ่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามขึ้นอีก “อู๋ฉยงปี้เล่า?”

ซูม่ออวี๋คิดในใจว่านี่ยังต้องถามอีกหรือ

“แน่นอนว่าคืออาหญิงของข้า”

ค่อนข้างจะเงียบอย่างน่าประหลาด

ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “คราวหลังเรื่องเช่นนี้เจ้าพูดให้เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ”

ซูม่ออวี๋พูดขึ้น “ไม่เคยมีใครถามข้ามาก่อน และข้าก็ไม่ได้เจอะเจอใครก็ต้องบอกกับเขาว่าอาของข้าคือเปี๋ยยั่งหง”

เฉินฉางเซิงพยักหน้าพูดขึ้น “มีเหตุผล”

ถังซานสือลิ่วมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ข้ายังไม่ได้พูดเลยว่าตอนแรกเจ้าถึงกับปิดบังพวกข้าเรื่องที่เจ้าหมั้นกับสวีโหย่วหรง ไม่ต้องรีบหาพรรคพวกอะไรเลย”

หลังจากนั้นเขาก็มองซูม่ออวี่แล้วพูดขึ้น “พูดต่อเลย”

“ในตอนนั้นที่อาหญิงอยู่ที่สำนักจวนราชวังหลี ก็มีความสัมพันธ์กับนักพรตซือหยวนราวกับพี่น้อง แน่นอนว่าจะยืนอยู่ข้างเขานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…นางก็เป็นคนที่เข้าข้างคนของตนอย่างมาก”

อย่างไรเสียที่พูดก็เป็นผู้อาวุโส สีหน้าของซูม่ออวี๋จึงไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง “ถ้าหากพี่ชายสู้กับพวกเจ้าขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ เกรงว่าก็จะไม่จบลงด้วยดี ไม่แน่ว่าอาหญิงเองก็จะมาที่จิงตู”

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วสบตากัน หลังจากนั้นก็เอ่ยพูดพร้อมกันอย่างน่าประหลาด “ไม่ต้องแล้ว เจ้ารีบเขียนจดหมายไปบอกอาของเจ้าว่าทางนี้ปกติดี”

ซูม่ออวี๋พูดขึ้น “ไม่ต้อง อาของข้าเขียนจดหมายมาหาข้าฉบับหนึ่งแล้ว”

“อะไรนะ”

“ไม่เช่นนั้นข้าจะออกจากสุสานเทียนซูมาได้อย่างไร”

ซูม่ออวี๋คิดถึงเนื้อหาในจดหมายฉบับนั้นอย่างจนใจ ในใจคิดว่าท่านอา…ท่านกลัวภรรยา แล้วคิดว่าข้าไม่กลัวอาหญิงหรือ

“ท่านอาให้ข้าเข้าสำนักฝึกหลวง”

เขาพูดขึ้น “ดังนั้นข้าก็เลยมา”

เมื่อถึงตอนนี้ ในที่สุดเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วถึงได้เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้

เปี๋ยยั่งหงรู้ว่าภรรยาของตนสนับสนุนกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวง ในตอนนี้เปี๋นเทียนซินเป็นตัวแทนของสำนักจวนราชวังหลีมาท้าประลองสำนักฝึกหลวง ถ้าหากชนะแล้ว แน่นอนว่าตระกูลเปี๋ยก็จะล่วงเกินใต้เท้าสังฆราช ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย กระทั่งอาจจะล่วงเกินไปถึงซูหลีกับนักปราชญ์ทั้งสองท่านนั้นที่อยู่ในเมืองไป๋ตี้ ถ้าหากว่าพ่ายแพ้ ภรรยาตนที่มีนิสัยเข้าข้างคนของตัวเองผู้นั้น ไม่แน่ว่าก็จะมาสร้างมรสุมที่เมืองจิงตู

เขาไม่อยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น บางทีเป็นเพราะว่าเขาสนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่าของนิกายหลวง บางทีอาจจะเป็นเพียงเรื่องที่เรียบง่ายอย่างมาก แต่เขาไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับคลื่นลมระลอกนี้ ดังนั้นจึงเขียนจดหมายส่งไปให้ซูม่ออวี๋ที่อยู่ในสุสานเทียนซู เพื่อให้หลานชายที่ใกล้ชิดที่สุดของตนออกหน้า เข้าร่วมกับสำนักฝึกหลวง เพื่อพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ไขเรื่องนี้

ไม่พูดไม่ได้เลยว่า วิธีการของเปี๋ยยั่งหงนี้ช่างชาญฉลาดอย่างมาก ในตอนที่ภรรยายืนอยู่ข้างเดียวกับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวง เขาก็ให้ซูม่ออวี๋เป็นตัวแทนของตนมายืนอยู่อีกข้าง เพื่อแสดงเจตนาดีหรืออย่างน้อยก็มีเจตนาให้เรื่องมันสงบลง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ด้วยสถานะความแข็งแกร่งของพวกเขาสามีภรรยาทั้งสองคน ตระกูลเปี๋ยก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากคลื่นพายุในครั้งนี้ อย่างที่เรียกว่าวางตัวอยู่วงนอก ก็จะสามารถยืนตระหง่านอยู่บนโลก ก็คือเหตุผลนี้ ขอเพียงเป็นเช่นนี้ก็จะมีจุดหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นมา นั่นก็คืออู๋ฉยงปี้ก่อนที่จะทำเรื่องนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ได้ถามความเห็นของเขา บางทีอาจจะพูดได้ว่าไม่ได้ฟังคำเตือนของเขา

แปดมรสุม สามีภรรยาที่รักใคร่ คู่รักในตำนานที่เหมือนเทพเซียนคู่นี้ ที่แท้…ก็ต่างมีความเห็นเป็นของตัวเอง

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินฉางเซิงก็อดไม่ได้ที่จะปลงอนิจจังอยู่บ้าง

ถังซานสือลิ่วนั้นตรงไปตรงมากว่ามาก จึงมองซูม่ออวี๋แล้วถามขึ้น “ความสัมพันธ์ของอากับอาหญิงของเจ้าไม่ดีหรือเปล่า”

บรรยากาศได้หนาวเย็นขึ้นมาอีกครั้ง ซูม่ออวี๋มองเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“คำพูดนี้ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วหัวเราะพลางพูดขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็นับว่าเป็นนายน้อยของตระกูลเปี๋ย มิน่าเมื่อครู่สายตาที่เจ้าหมอนั่นมองมาที่เจ้าถึงไม่ค่อยถูกต้องนัก ก็ใช่ นายน้อยสั่งสอนบ่าว เขายังจะกล้าตอบโต้เชียวหรือ”

ซูม่ออวี๋พูดแก้ขึ้นมาอย่างจริงจัง “ต่อให้เขาสู้เต็มกำลัง ข้าก็สามารถเอาชนะเขาได้”

หลังจากนั้นก็มองไปทางเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าช่างยอดเยี่ยมอย่างมากจริงๆ”

เฉินฉางเซิงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง

ถังซานสือลิ่วไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร และจับไหล่ของเขาแล้วพูดขึ้น “ความหมายที่อาของเจ้าให้เจ้าเข้านักฝึกหลวงในตอนนี้มันชัดเจนอย่างมากแล้ว วันนี้สั่งสอนบ่าวไปแล้ว อีกสองวันพี่ของเจ้ามาก่อเรื่องเช่นนี้ เจ้าก็อย่าได้หลบไปนะ”

คำพูดที่ซูม่ออวี๋คิดอยู่ในใจก็คือคำพูดนี้ ความหมายเองก็เป็นความหมายเช่นนี้ เพียงแต่ทำไมเมื่อออกมาจากปากของเจ้าหมอนี่ ถึงได้แสลงหูถึงขนาดนั้น ที่จริงก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร เขาจึงมองสภาพแวดล้อมรอบด้านที่เงียบสงบของอาคารหลังเล็กแล้วถามขึ้น “ทางด้านนี้ช่างเงียบสงบนัก”

“ทางด้านนี้นักเรียนปกติไม่สามารถเข้ามาได้ กำแพงเตี้ยๆ นั่นเมื่อครู่เจ้าก็น่าจะเห็นแล้ว แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่ใช่นักเรียนธรรมดา เมื่อวานเซวียนหยวนผ้อได้จัดเตรียมห้องของเจ้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อีกสักพักก็จะพาเจ้าไปดู เป็นอย่างไร พวกข้าปฏิบัติกับเจ้าไม่เลวเลยใช่ไหม”

ถังซานสือลิ่วนึกถึงเรื่องบังเอิญเรื่องหนึ่งขึ้นมา แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้าเป็นนายน้อยของตระกูลเปี๋ย สวนที่ถูกกำแพงแบ่งมานี้ก็คือสวนเปี๋ย เจ้าว่านี่เป็นสิ่งที่กำหนดเอาไว้แล้วหรือไม่ เจ้านั้นต้องย้ายมาที่สำนักฝึกหลวงของพวกข้า อีกทั้งยังพักอยู่ที่นี่ด้วย”

ซูม่ออวี๋ไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย จึงส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ล้วนเป็นนักเรียนเหมือนกัน การได้สิทธิพิเศษมันไม่เหมาะสม”

“เขาเป็นเจ้าสำนัก ข้าเป็นผู้คุมกฎ เซวียนหยวนผ้อเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทั่วไป ตำแหน่งของเจ๋อซิ่วก็ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าจะให้มีชื่อว่าอะไรก็ยังไม่ได้ยืนยัน องค์หญิงลั่วลั่วก็เป็นรองเจ้าสำนักตลอดชีวิต สรุปแล้วก็ล้วนไม่ใช่นักเรียนธรรมดา เจ้าต้องการตำแหน่งอะไรก็เลือกได้เลย”

“แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า ทุกคนล้วนเป็นคนหนุ่ม ทำไมจะต้องใช้กำแพงมาแบ่งเขตด้วย”

“เพราะว่าเฉินฉางเซิงพูดว่าเขาชอบความสงบ ข้าว่าเขามีความลับมากเกินไป กลัวว่าจะถูกคนพบมากกว่า”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เฉินฉางเซิงก็ไม่อาจจะรักษาความสงบเอาไว้อีกแล้ว จึงพูดอธิบายกับซูม่ออวี๋ขึ้นมา “เจ้ารู้ การบำเพ็ญเพียรต้องการความสงบ ถ้าหากว่าในบรรดานักเรียนใหม่บรรลุไปถึงขั้นทะลวงอเวจี ก็สามารถที่จะย้ายเข้ามาอยู่ที่สวนเปี๋ยนี้ได้ หรือไม่ก็สามารถอยู่ในสามขั้นแรกของการสอบใหญ่ ก็มีสิทธิ์ที่จะย้ายเข้ามา ตามที่ถังถังพูด ก็มีความหมายในการผลักดันให้อยากเข้ามา”

ซูม่ออวี๋ได้ยินก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่เลวเลย จึงถามขึ้น “ทุกคนตอบสนองอย่างไรบ้าง”

ตอนที่เขาอยู่สำนักจวนราชวังหลีก็ได้เป็นผู้นำเพื่อนร่วมสำนักจนชินแล้ว วันนี้มาถึงสำนักฝึกหลวงเป็นครั้งแรก ในจิตใต้สำนึกก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว

ถังซานสือลิ่วมองไปที่เหล่านักเรียนหนุ่มสาวที่บ้างก็นั่งบ้างก็นอนบนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบเหล่านั้น แล้วพูดขึ้น “พวกเขาล้วนเป็นนักเรียนที่มาจากเมืองที่ห่างไกลจนถึงชนบท บางทีก็เป็นคนที่ไร้ตัวตนที่อยู่ในสำนักไม้เลื้อยแล้วถูกมองข้ามมาเป็นเวลานาน การที่สามารถผ่านการสอบเตรียมการสอบใหญ่ได้ก็แทบจะกราบไหว้ทะเลแห่งดวงดาว กราบไหว้เหนียงเหนียงแล้ว ไหนเลยจะกล้าหวังว่าจะสามารถอยู่ในสามขั้นแรกของการสอบใหญ่ได้ ส่วนเรื่องที่จะบรรลุถึงขั้นทะลวงอเวจี…นั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องที่คิดก็ยังไม่เคยคิดมาก่อนเลย ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจคำพูดของพวกข้าเลย และรู้สึกเพียงแค่ว่านี่เป็นการวาดขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่เอาไว้ให้พวกเขามองเท่านั้น กระทั่งยังมีคำพูดตัดพ้ออยู่บ้าง”

ซูม่ออวี๋คิดว่าในการประลองของการสอบใหญ่เฉินฉางเซิงได้บรรลุถึงขั้นทะลวงอเวจีจนสะเทือนไปทั่วดินแดนต้าลู่ และคิดถึงหลังจากคืนที่แสงดาวส่องสว่างในสุสานเทียนซูขั้นทะลวงอเวจีก็ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้ตามปกติ จิตใต้สำนึกก็สั่งให้มองเขาอยู่แวบหนึ่ง ในใจคิดว่าในตอนนี้มีคนจำนวนเท่าไหร่กันที่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเฉินฉางเซิงได้นำผลประโยชน์อะไรมาให้กับผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์เหล่านี้

ถังซานสือลิ่วมองทางพื้นหญ้านั้นแล้วพูดขึ้น “ที่จริงข้าสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงคิดเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาไม่เอาไหนอย่างมาก ดังนั้นเมื่อวานซืนข้าได้เรียกพวกเขามาด่าทอไปยกใหญ่แล้ว”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า เขาไม่มีทางอยากเจอเรื่องเช่นนั้นอีก ต่อให้เพียงแค่นึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวานซืนนั้น ในชีวิตนี้เขาก็ไม่เคยเห็นถังซานสือลิ่วด่าคนเช่นนี้มาก่อน

ซูม่ออวี๋ไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอนเช่นนี้ จึงส่ายหน้าพูดขึ้น “การด่าคนนั้นไม่ถูกต้อง”

“ข้าไม่ได้พูดคำหยาบสักคำ ก็เหมือนที่ถนนเสินในพระราชวังหลีในตอนนั้นที่เจ้าขวางพวกข้าเอาไว้”

“ถนนเสินในพระราชวังหลี” ซูม่ออวี๋ค่อนข้างจะปลงอนิจจัง เขามองไปที่เฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง โดยที่มีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง

“ข้าบอกกับพวกเขาว่า เวลานี้เมื่อปีก่อน ที่ถนนเสินในพระราชวังหลีเฉินฉางเซิงได้บอกกับทั่วทั้งโลกว่า เขาจะเอาที่หนึ่งของการสอบใหญ่ และในตอนนั้นแม้แต่การชำระกระดูกเขาก็ยังทำไม่สำเร็จ ทุกคนล้วนคิดว่าเขาเป็นคนบ้า ผลล่ะ ผลคือเขาสามารถทำเรื่องที่ทุกคนล้วนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ขึ้นมาได้จริงๆ”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เช่นนั้นบนโลกใบนี้ไหนเลยจะมีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ ขั้นสามของการสอบใหญ่กับบรรลุขั้นทะลวงอเวจีจะนับว่าเป็นอะไรกัน”

ซูม่ออวี๋คิด แล้วพูดขึ้น “มีเหตุผล”

ทั้งสองคนพาซูม่ออวี๋ไปส่งที่ห้อง ให้เขาได้พักผ่อน และก็ออกไปกันก่อน

เมื่อเดินออกจากอาคารหลังเล็ก ถังซานสือลิ่วก็พูดขึ้นอย่างแน่ใจมากๆ “ความสัมพันธ์ของอากับอาหญิงของเขาจะต้องมีปัญหากันแน่ๆ”