ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 58 สำนักฝึกหลวงที่เดินเข้าสู่ยุคสมัยใหม่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“เจ้าถึงกับยังไม่ลืมเรื่องนี้อีก…” เฉินฉางเซิงตื่นตะลึงอย่างมาก

“สามีภรรยาคู่นั้นล้วนเป็นสมาชิกของแปดมรสุม ใครจะไม่สนใจเรื่องของพวกเขา ที่จริงข้าถึงขนาดสงสัยว่าในตอนนั้นที่อยู่สำนักจวนราชวังหลีอู๋ฉยงปี้กับนักพรตซือหยวนนั้นมีความสัมพันธ์กัน ไม่เช่นนั้นทำไมนางถึงได้ส่งลูกชายแท้ๆ ของตนไปฝ่าอันตรายแทนนักพรตซือหยวน แล้วทำไมเปี๋ยยั่งหงถึงได้ระวังขนาดนี้ ถึงกับให้ซูม่ออวี๋เข้าสำนักฝึกหลวงเข้ามายื้อเอาไว้” ถังซานสือลิ่วเดินไปทางทะเลสาบ แล้วพูดขึ้น “แต่ว่าพูดกลับมาแล้ว เจ้าปัญญาอ่อนเปี๋ยเทียนซินนั่นเป็นลูกแท้ๆ ของอู๋ฉยงปี๋ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นลูกแท้ๆ ของเปี๋ยยั่งหง เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็นลูกของนักพรตซือหยวน เฮ้อ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังมีเรื่องที่ซ่อนเร้นอยู่ ไม่อาจจะแพร่ออกไปได้ โดยเฉพาะอย่าให้ซูม่ออวี๋ได้ยินเข้า อย่างไรเสียก็เป็นอาแท้ๆ ของเขา ช่างเสียหน้ายิ่งนัก”

เขามองไปที่ข้างตัว กลับพบว่าไม่มีคนอยู่สักคน

ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในตอนนี้ก็เดินไปถึงพื้นหญ้าข้างกำแพงนั่นแล้ว

เขามองไปทางนั้นแล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าทำอะไร”

เฉินฉางเซิงไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา โบกมือแล้วพูดขึ้น “ข้าจะไปดูว่าอาหารเสร็จแล้วหรือยัง”

……

……

การประลองสามรอบที่เริ่มตอนเช้าตรู่นั่นจบลงอย่างรวดเร็ว ตอนที่กินข้าวกลางวันก็เลื่อนขึ้นมาแล้ว หลังจากที่กินเสร็จก็ยังมีเวลางีบอีกสักพัก รอจนดวงอาทิตย์ย้ายจากกลางฟ้าไปทางตะวันตกได้ระยะหนึ่ง อากาศที่ร้อนอบอ้าวพลันคลายลง ประตูของสำนักฝึกหลวงถึงได้เปิดขึ้นอีกครั้ง

ยังเป็นถังซานสือลิ่วที่เป็นผู้นำ เหล่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงยืนอยู่บนบันไดหินด้านหลังเขา ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกับไม่สงบผสมปนเปกัน

ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายใด นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงที่ออกมาสู้เป็นคนแรกก็แพ้แล้ว ก็เป็นตอนที่กระบี่ของคู่ต่อสู้กำลังจะตกลง เสียงของถังซานสือลิ่วก็ดังขึ้นอย่างทันเวลา “ถึงแค่นี้พอ”

รอบที่สองแพ้แล้ว รอบที่สามเองก็แพ้แล้ว การประลองหลายรอบที่ตามมา สำนักฝึกหลวงล้วนพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ บรรยากาศที่คึกคักอย่างหาใดเปรียบตามปกติในตอนนี้พลันเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อขึ้นมา และได้ยินเพียงแค่เสียงของถังซานสือลิ่วกับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง

“พอได้แล้วนะ”

“ข้าพูดว่าให้เจ้าพอได้แล้วไง!”

“ข้าพูดทำไมเจ้าถึงไม่ฟังกัน”

นี่เป็นคำพูดที่ถังซานสือลิ่วพูด เป็นคำพูดที่เขาใช้พูดกับพวกคนที่มาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง

คำพูดของเหล่านักเรียนใหม่จากสำนักฝึกหลวงก็ยิ่งเรียบง่ายเข้าไปใหญ่ โดยพื้นฐานแล้วล้วนไม่เกินห้าคำ

“ยอมแพ้”

“ข้ายอมแพ้”

“ข้ายอมแพ้แล้ว”

ขอเพียงพวกเขาเดินกลับไปที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ความกังวลกับความไม่คุ้นเคยในการต่อสู้ก่อนหน้าก็ถูกปลดปล่อยออกมา คำพูดก็จะมีมากขึ้นอยู่บ้าง เมื่อยืนอยู่บนบันไดหินก็พากันพูดคุยกับเพื่อนร่วมสำนักขึ้นมา

“เมื่อครู่กระบี่นั่นที่ข้าใช้มีปัญหาหรือไม่”

“เมื่อคืนวานเจ้าสำนักพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ จุดอ่อนของคู่ต่อสู้เจ้าคือความเร็ว ดังนั้นกระบี่ของเจ้าน่าจะเร็วกว่านี้อีกหน่อย”

“ข้าพยายามให้เร็วอย่างสุดความสามารถแล้ว”

“เห็นได้ชัดว่าเพลงกระบี่ดอกเหมยบานสามหนของเจ้ายังฝึกได้ไม่เชี่ยวชาญพอ”

“เมื่อคืนวานเจ้าสำนักยังพูดว่ามีเพลงกระบี่อีกอย่างที่สามารถสยบคนผู้นี้ได้ ชื่อว่าอะไรนะ”

“ลำนำชาวประมงสามบทเพลง นั่นเป็นเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งของพรรคกระบี่หลีซาน ได้ยินว่าแม้แต่เหลียงปั้นหูก็ยังใช้ไม่ได้ และเป็นท่าไม้ตายของโก่วหานสือ อาศัยระดับของเจ้าในตอนนี้ไม่มีทางเรียนได้”

……

……

เหล่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงที่พูดคุยกัน ดูแล้วมองไม่เห็นถึงความรู้สึกที่พ่ายแพ้เลยสักนิด การพ่ายแพ้ติดต่อกันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของพวกเขา

บ่าวของตระกูลเปี๋ยผู้นั้นพูดเอาไว้ถูกต้องจริงๆ ดาบและกระบี่ไร้ตา โดยเฉพาะการประลองที่ความแข็งแกร่งต่างกันมากเช่นนี้ สายตาของถังซานสือลิ่วจะแหลมคมเช่นไร จะตะโกนได้ทันเวลาขนาดไหน ก็ยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาบ้าง แต่นั่นก็ไม่สามารถโทษพวกยอดฝีมือที่มาท้าประลองสำนักฝึกหลวงเหล่านั้นได้จริงๆ โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นผลมาจากเหล่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงกังวลมากเกินไป

ในตอนที่เริ่มย่ำสนธยา ทางด้านสำนักฝึกหลวงก็พ่ายแพ้ไปนับสิบรอบแล้ว มีนักเรียนใหม่หกคนที่ได้รับบาดเจ็บ ในนั้นมีสองคนที่บาดแผลค่อนข้างจะสาหัสอยู่บ้าง แต่ว่านักเรียนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีการต่อว่าอะไร และยิ่งไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่ถังซานสือลิ่วเคยรับปากไว้เมื่อหลายวันก่อนว่าจะไม่ให้พวกเขาได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เป็นอันขาด กลับกันในใจกลับรู้สึกซาบซึ้ง

เพราะว่าพวกเขาชัดเจนยิ่งกว่าใครทั้งนั้น การได้รับคำชี้แนะจากเฉินฉางเซิง และยังมีโอกาสได้ต่อสู้จริงกับยอดฝีมือที่หาได้ยากเช่นนี้ ตนได้รับความก้าวหน้าที่มากมาย เพียงแค่มุมมองก็กว้างกว่าตอนก่อนเข้าสำนักฝึกหลวงไปไม่รู้กี่เท่า

ในจิงตูได้นำพามาซึ่งคลื่นลมที่ใหญ่โต การประลองของสำนักฝึกหลวงที่นำพาความคึกคักมาให้ชาวเมืองเป็นอย่างมาก ในที่สุดวันนี้ก็ได้เข้าไปสู่ช่วงใหม่อย่างสิ้นเชิง

สำนักฝึกหลวงเริ่มที่จะพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะเป็นผู้แพ้ เพราะว่าตัวแทนของสำนักฝึกหลวงที่ออกมาสู้ก็ล้วนเป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะรับเข้ามาเมื่อหลายวันก่อน

แน่นอน ก็ยิ่งไม่มีผู้ชนะ

พวกนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงล้วนอารมณ์ดีกันอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วถังซานสือลิ่วก็ถือว่าพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่เมื่อได้เห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างขอไปทีในการต่อสู้เช่นนี้ เหล่าชาวเมืองที่มาชมเรื่องสนุกก็รู้สึกว่าแสนจะน่าเบื่อ เบื่อจนทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมีบางคนที่เริ่มง่วง และหาวขึ้นมา

ที่เบื่อที่สุดก็ยังเป็นพวกยอดฝีมือที่มาจากตระกูลเทียนไห่และสำนักไม้เลื้อยเหล่านั้น พวกเขาพบว่าวันนี้ตนได้เปลี่ยนมาเป็นคู่ซ้อม มีบางคนที่เกิดพลั้งมือขึ้นมาจริงๆ ไม่ระวังทำให้นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงบาดเจ็บ เมื่อคิดถึงคำขู่ของถังซานสือลิ่วเมื่อตอนเช้าตรู่ของวันนี้ ก็รู้สึกไม่สงบขึ้นมาอยู่บ้าง กระทั่งมองเห็นสีหน้าของถังซานสือลิ่วยังเป็นปกติอยู่ ถึงได้วางใจลงมา และยิ้มอย่างขมขื่นกลับไป

……

……

ท้องฟ้าเริ่มมืด ประตูสำนักฝึกหลวงได้ปิดลง นักบวชส่วนใหญ่ที่มาจากพระราชวังหลีก็พากันกลับตำหนักของตน เหลือเพียงผู้ที่อยู่เวรกลางคืนไปจนถึงกองทัพนิกายหลวงกองหนึ่ง ชาวเมืองจิงตูก็พากันกลับบ้านไปเตรียมอาหารค่ำ ผู้ดูแลของสี่โรงพนันใหญ่ที่อยู่ใต้ศาลาเมื่อมองการเดิมพันในวันนี้ คิ้วก็หมวดกันแน่น พวกยอดฝีมือที่มาท้าประลองสำนักฝึกหลวงเหล่านั้น ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างน่าประหลาด

หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ อาจารย์กับนักเรียนในสำนักฝึกหลวงก็เริ่มทำการสรุปผล ในเวลาเดียวกันก็เตรียมตัวสำหรับการประลองในวันพรุ่งนี้

เมื่อทำเรื่องทั้งหมดเสร็จแล้ว พวกเฉินฉางเซิงก็กลับมาที่สวนเปี๋ย

วันนี้เซวียนหยวนผ้อตามพ่อครัวใหญ่ของหอเฉิงหูตลอดทั้งวัน ในสายตาของเขา ความคึกคักของกระทะเหล็กในห้องครัวเหล่านั้น และวิธีการจัดการวัตถุดิบที่เขาไม่แม้แต่จะเคยได้ยินเหล่านั้น ก็สำคัญยิ่งกว่าความคึกคักที่นอกประตูสำนักมากนัก จนกระทั่งถึงตอนที่สรุปผลเมื่อครู่ เขาถึงได้รู้ว่าการประลองที่นอกประตูในวันนี้มีสถานการณ์เป็นอย่างไร จึงถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ถ้าหากการยอมแพ้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ไยต้องรับนักเรียนใหม่มามากมายขนาดนี้ พวกเรายอมแพ้ไปเลยก็จบแล้ว”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าว่าเจ้ามีความเห็นกับการรับนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงมาโดยตลอด เพราะอะไร”

เซวียนหยวนผ้อพูดขึ้น “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามื้อกลางวันกับมื้อค่ำสองมื้อนี้ อาหารดีๆ ขนาดนั้น ล้วนให้พวกเขากินจนหมดแล้ว”

“ดูสิ นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องทำเช่นนี้” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “เพราะว่าเจ้าขายหน้าให้กับคนเหล่านั้นได้ แต่ว่าข้าไม่”

เซวียนหยวนผ้อฟังไม่ค่อยเข้าใจ คิดดูแล้วถึงได้เข้าใจว่าวิธีการพูดเช่นนี้เรียกว่าการแฝงความหมายโดยนัย

“ข้านั้นจะต้องเอาชนะติดต่อกันให้เกินห้าสิบแปดรอบ จะยอมให้ขาดลงตรงนี้ได้อย่างไร” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย

เฉินฉางเซิงมองเขาแวบหนึ่ง และรู้ว่าเรื่องราวจะต้องไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้