ในหลายวันต่อมา การประลองที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงยังคงดำเนินต่อไป ตัวแทนของสำนักฝึกหลวงที่ออกมาสู้ก็ยังเป็นนักเรียนใหม่เหล่านั้น
นักเรียนใหม่เหล่านั้นล้วนชำระกระดูกสำเร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจพูดว่าเป็นพวกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงได้ แต่ไหนเลยจะสามารถมาเทียบเคียงกับยอดฝีมือที่แท้จริงจากตระกูลเทียนไห่ไปจนถึงสำนักไม้เลื้อยต่างๆ ได้
เหล่านักเรียนใหม่ล้วนชัดเจนถึงระดับของตนเองดี จึงปฏิบัติตามที่เฉินฉางเซิงชี้แนะ ในการประลองก็นำสิ่งที่ตนสามารถใช้ได้แสดงออกมาทั้งหมด นำสิ่งที่อยากรับรู้รับรู้ให้หมด หลังจากนั้นก็ยอมแพ้ และได้กลายเป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยที่สุดที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงแล้ว
จนกระทั่งสุดท้าย ยอดฝีมือธรรมดาของตระกูลเทียนไห่กับสำนักไม้เลื้อยต่างๆ ล้วนชนะไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่พวกผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
ในตอนนี้ผู้ที่เดินเข้ามา ก็คือผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวผู้หนึ่งของหอจงซื่อ เขาเป็นนักบวชผู้หนึ่งที่บำเพ็ญเพียรอย่างลำบาก เดิมทีกำลังหอบสังขารบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ถึงกับถูกใต้เท้ามุขนายกของตำหนักทั้งสองเรียกตัวกลับมา
นักบวชผู้บำเพ็ญเพียรอย่างลำบากผู้นี้สวมหมวกงอบอยู่ ถึงจะเป็นกลางฤดูร้อนที่อากาศอบอ้าว ก็ยังคงสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ใบหน้าที่ถูกเงาจากหมวกงอบบดบังเอาไว้ จึงมองเห็นได้เพียงแค่ดวงตาคู่นั้นที่ปล่อยจิตสังหารออกมา
เขามองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “วันนี้เจ้าสำนักเฉินน่าจะออกมาให้คำชี้แนะด้วยตัวเองนะ”
ที่จริงจากคำเรียกขานก็สามารถมองออกว่ายอดฝีมือที่มาท้าประลองสำนักฝึกหลวงเหล่านี้ แท้จริงแล้วขึ้นตรงกับใคร พวกที่ขึ้นตรงกับสำนักไม้เลื้อยต่างๆ เพียงในนาม แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นผู้แข็งแกร่งของตระกูลเทียนไห่ โดยพื้นฐานแล้วล้วนเรียกเฉินฉางเซิงด้วยชื่อแซ่ แต่พวกที่เป็นยอดฝีมือของสำนักไม้เลื้อยต่างๆ จริงๆ ต่อให้ความประทับใจที่มีต่อเฉินฉางเซิงจะแย่ขนาดไหน ก็จำเป็นต้องเคารพลำดับศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในนิกายหลวงอย่างเคร่งครัด และเรียกเขาอย่างให้เกียรติว่าเจ้าสำนัก
“ขออภัยอย่างมาก หลายวันมานี้เจ้าสำนักเฉินสิ้นเปลืองมันสมองไปมาก กำลังอ่านหนังสือพักผ่อนอยู่ภายในสำนัก”
ถังซานสือลิ่วมองดูนักบวชที่บำเพ็ญเพียรอย่างลำบากผู้นี้ที่เขาเคยได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยที่ตนยังอยู่ที่เวิ่นสุ่ย แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “นักบวชเป้ย คู่ต่อสู้ของท่านในวันนี้เป็นคนอื่น”
สายตาของนักบวชผู้บำเพ็ญเพียรอย่างลำบากผู้นั้นได้ทะลุผ่านเงาของหมวกงอบออกมา หยุดอยู่บนใบหน้าของถังซานสือลิ่ว พลางพูดขึ้นอย่างเอาจริงเอาจัง “ได้ยินมาว่าในสุสานเทียนซูคุณชายถังบรรลุระดับพลังติดกันถึงสามขั้น หากสามารถขอคำชี้แนะได้ ก็ไม่ถือว่าการเดินทางนี้สูญเปล่า”
จากทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ห่างไกลกลับมาถึงจิงตู ก็เป็นการเดินทางที่ยาวนานอย่างมากจริงๆ
จากตรงนี้ก็สามารถมองออกได้ สองผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงอย่างนักพรตซือหยวนกับราชันย์แห่งหลิงไห่นี้ ที่จริงก็เริ่มเตรียมการกดดันสำนักฝึกหลวงเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เพียงสายตาของอีกฝ่ายหยุดอยู่บนใบหน้าของถังซานสือลิ่ว ถังซานสือลิ่วถึงกับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เขาหรี่ตาลงและอยากจะพูดว่า คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างเจ้า ข้านั้นไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้ ต่อให้สามารถเอาชนะได้ ก็เกรงว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
“คู่ต่อสู้ของท่านไม่ใช่ข้า แต่เป็นเขา”
เขามองนักบวชที่บำเพ็ญเพียรอย่างลำบากผู้นั้นแล้วแนะนำอย่างจริงจัง “เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดในนักเรียนปีนี้ของสำนักฝึกหลวง”
ตามมือของเขาไป นักเรียนหนุ่มผู้หนึ่งได้เดินลงไปจากบันไดหิน
นักเรียนผู้นี้ดูอายุน้อยอย่างมากจริงๆ อายุน้อยอย่างมาก จนน่าจะเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่ม ดูแล้วก็มีอายุไม่เกินสิบสามสิบสี่ปี สีหน้ามีความกังวล ดวงตาที่เดิมทีเฉียบคม ในตอนนี้ก็ดูงุ่มง่ามอยู่บ้าง
มองดูเด็กหนุ่มผู้นี้ นักบวชผู้บำเพ็ญเพียรอย่างลำบากผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไป แล้วพูดขึ้น “ถ้าหากข้ามองไม่ผิด…เด็กคนนี้น่าจะเพิ่งชำระกระดูกสำเร็จ”
ถังซานสือลิ่วกล่าวชื่นชม “สมแล้วที่เป็นนักบวชเป้ยผู้บำเพ็ญเพียรอย่างลำบากให้บรรลุผล ช่างมีดวงตาที่แหลมคมยิ่งนัก ท่านมองไม่ผิด เด็กคนนี้เพิ่งจะชำระกระดูกสำเร็จเมื่อสามเดือนก่อน ในครั้งนี้ได้เข้าจิงตูมาเพื่อเตรียมตัวจะเข้าร่วมการสอบเตรียมของการสอบใหญ่ เพื่อลองเสี่ยงโชคดู”
หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ในตอนนี้ไม่ได้คึกคักเหมือนเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่ก็ยังมีคนอยู่ไม่น้อย ตอนแรกที่ได้เห็นนักบวชเป้ยผู้มีชื่อเสียงปรากฏตัวขึ้นมา ผู้คนก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นก็ได้พบว่า คู่ต่อสู้ที่สำนักฝึกหลวงเตรียมไว้ให้กับนักบวชเป้ย ถึงกับเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ ในที่นี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบอย่างหาใดเปรียบในทันที ในใจคิดว่าสำนักฝึกหลวงกำลังทำอะไรกันแน่
“ความหมายของเจ้าคือ…คู่ต่อสู้ของข้าก็คือเด็กน้อยผู้นี้หรือ”
เสียงของนักบวชเป้ยพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาอย่างสมเหตุสมผล และตะโกนขึ้นเสียงดัง “นี่เจ้ากำลังดูหมิ่นข้า!”
ถังซานสือลิ่วแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น โดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด “นักบวชพูดผิดไปแล้ว เจตนาของการประลองระหว่างสำนัก นอกจากการแข่งขันมุ่งไปข้างหน้าแล้ว ก็ยังมีความหมายให้ผู้อาวุโสชี้แนะผู้น้อยแฝงอยู่ เด็กคนนี้เป็นนักเรียนใหม่ที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดในสำนักฝึกหลวงจริงๆ ถึงแม้จะยังไม่เคยประมือกับใครมาก่อน จึงกังวลเป็นอย่างมาก แต่ยังคงมีความกล้าออกมา ขอให้ผู้อาวุโสชี้แนะ นี่จะเรียกว่าเป็นการดูหมิ่นได้อย่างไร”
ไอพลังปราณที่ดุดันอย่างมากสายหนึ่ง ได้กระจายออกมาตามขอบของหมวกงอบ นักบวชเป้ยพลันพูดขึ้นโดยสะกดความโกรธเอาไว้ “ขอให้เจ้าเคารพข้าด้วย”
ถังซานสือลิ่วค่อยๆ เก็บรอยยิ้มลง มองไปที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “สองคำพูดนี้ของนักบวชค่อนข้างจะคุ้นหูอยู่ เหมือนกับพวกขุนนางในกรมอาญาเหล่านั้นที่คิดว่าตนใจซื่อมือสะอาด”
นักบวชเป้ยจ้องตาของเขาแล้วตะโกนขึ้นมาอย่างรุนแรง “เจ้าถึงกับเอาข้าไปเทียบกับพวกโฉดชั่วเหล่านั้น!”
“เมื่อก่อนข้านั้นเลื่อมใสท่านอย่างมาก” ถังซานสือลิ่วชะงักไป มองเขาแล้วพูดขึ้นต่อ “แต่การกลับมาจิงตูของท่านในครั้งนี้ ก็ทำให้ข้าไม่อาจจะกลับมาเลื่อมใสได้อีกจริงๆ”
สายตาของนักบวชเป้ยย้ายไปมาระหว่างเขากับเด็กหนุ่มของสำนักฝึกหลวงผู้นั้น แล้วพูดขึ้น “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่อาจลงมือกับเขาได้”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เพราะว่าท่านเป็นสัตบุรุษ”
นักบวชเป้ยพูดขึ้น “ดังนั้นเจ้าจึงจงใจเลือกเด็กคนนี้มาต่อกรกับข้า”
ถังซานสือลิ่วไม่ได้ปฏิเสธ แล้วพูดขึ้น “ไม่ปิดบังท่าน รายชื่อในการประลองโดยส่วนใหญ่ ล้วนมีเฉินฉางเซิงเป็นผู้กำหนด มีเพียงการประลองรอบนี้ของท่าน ที่ข้าเป็นผู้ยืนยันด้วยตัวเอง”
นักบวชเป้ยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจออกมาพลางพูดขึ้น “โลกในวันนี้ กลายเป็นของพวกคนชั่วแล้วหรือ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็หันกายพร้อมจะจากไป
เดิมทีถังซานสือลิ่วไม่คิดจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นเงาหลังของนักบวชผู้บำเพ็ญเพียรอย่างลำบากจนมีชื่อเสียงอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ค่อนข้างจะเงียบเหงาผู้นี้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดขึ้น “สัตบุรุษสามารถใช้วิธีการที่สมเหตุสมผลไปหลอกลวงผู้อื่น แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่สัตบุรุษ แต่ก็ไม่ใช่คนชั่ว แต่ท่านที่เคยเป็นสัตบุรุษผู้นี้ ถึงกับถูกคนชั่วใช้ให้ทำเรื่องที่ไม่เป็นสัตบุรุษ เช่นนั้นแน่นอนว่าข้าก็ทำได้ เพียงใช้วิธีการของคนชั่วรับมือ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นักบวชเป้ยก็ราวกับถูกฟ้าผ่าใส่จนร่างกายแข็งค้าง อีกครู่หนึ่งให้หลังถึงได้ยกเท้าขึ้นมาเดินต่อไปใหม่ เดินไปภายในฝูงคน
มองดูเงาร่างที่ค่อยๆ ไกลออกไปจากบนถนนกับหมวกงอบที่เล็กลงเรื่อยๆ ใบนั้น ถังซานสือลิ่วก็นิ่งเงียบไม่พูดจา
“จดเอาไว้ การประลองครั้งนี้สำนักฝึกหลวงของพวกเราเป็นฝ่ายชนะ”
ไม่รอให้ฝูงคนที่มามุ่งดูส่งเสียงโห่ร้อง เขาก็พูดขึ้นอย่างสงบ “คนต่อไป”
……
……
ไม่ใช่ว่าทุกการประลองจะมีเรื่องราวของมัน ไม่ใช่ว่านิทานทุกเรื่องในตอนสุดท้ายจะมีจุดจบที่มีความหมายลึกล้ำ การประลองที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงได้ดำเนินต่อไป ไม่มีเลือดสดๆ และก็ไม่มีเงามืดของความตาย แน่นอนว่าความตื่นเต้นนั้นน้อยลงไปมาก และเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อขึ้นมาเรื่อยๆ สำหรับพวกชาวเมืองเหล่านั้นแล้ว ถ้าหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีภาพเหตุการณ์พลิกภูเขาทำลายแผ่นฟ้าเหล่านั้น การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในดินแดนต้าลู่ที่เหยียบเข้าไปในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น จะไปมีความแตกต่างอะไรกับการต่อสู้ของเด็กๆ ตามถนน ก็แค่มีแรงมากกว่าหน่อยก็แค่นั้น
มีเพียงคนที่มองเข้าใจถึงจะสามารถมองออกถึงข้อมูลที่แพร่งพรายออกมาจากการประลองเหล่านี้
นักเรียนใหม่ที่ออกมาสู้แทนสำนักฝึกหลวง นอกจากซูม่ออวี๋กับเด็กหนุ่มผู้นั้นที่สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ นักเรียนใหม่คนอื่นถึงแม้ว่าจนถึงตอนนี้จะยังไม่เคยได้รับชัยชนะ กระทั่งความเป็นไปได้ที่จะชนะก็ยังมองไม่เห็น แต่เวลาในการประลองที่แสนสั้น พวกเขากลับสามารถแสดงการเปลี่ยนแปลงและเพลงกระบี่ที่ทำให้คนคาดไม่ถึงออกมา ถึงแม้ผู้คนจะรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ได้รับการชี้แนะมาจากเฉินฉางเซิง แต่การที่นักเรียนใหม่เหล่านั้นสามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ก็ได้แสดงถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว
เด็กที่มาจากชนบทต่างเมืองเหล่านี้ นักเรียนที่เหล่าสำนักไม้เลื้อยไม่มีใครสนใจเหล่านี้ ทันใดนั้นก็เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเดิมแล้ว
คนที่มาชมการประลองที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง นอกจากชาวเมืองที่มาชมเรื่องสนุกแล้ว ก็ยังมีอาจารย์กับนักเรียนของสำนักไม้เลื้อยต่างๆ ที่ปลอมตัวกันมา พวกเขามองนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงที่อยู่บนบันไดหินเหล่านั้น เขาก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง นั่นก็คือเว่ยถงที่แสนจะดื้อรั้นที่ตนเคยสอนผู้นั้นหรือ นั่นก็คือชูเหวินปินที่วันๆ รู้จักแต่นอนผู้นั้นหรือ
เหล่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต บนร่างราวกับว่ามีประกายแสงเพิ่มขึ้นมา ที่สำคัญก็อยู่ตรงที่ จิตใจของพวกเขาในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มั่นใจในตัวเองแต่กลับสุขุม ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดที่จะขัดขวางพวกเขาได้ ถึงแม้จะดูแล้วว่าเป็นความพ่ายแพ้อันไร้ที่สิ้นสุดแต่ก็ไม่หวาดกลัว ยังคงเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถได้รับความสำเร็จในตอนสุดท้าย ทั้งหมดนี้เมื่อรวมเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นท่าทีที่เรียกว่าสุขุมเยือกเย็น
เพราะว่าสุขุมเยือกเย็น ดังนั้นจึงเรียบเฉย ถึงได้สามารถแย้มยิ้มอย่างเป็นปกติต่อหน้าฝูงคนได้ ไม่มีทางที่จะเป็นกังวลและดูถูกตัวเองจากการหัวเราะเยาะหรือมองข้ามของผู้อื่น
ถ้าหากพูดว่าปีก่อนเฉินฉางเซิงกลายมาเป็นนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง รับลั่วลั่ว เซวียนหยวนผ้อ ถังซานสือลิ่ว เจ๋อซิ่วเข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง เช่นนั้นสำนักฝึกหลวงในตอนนี้ก็สามารถพูดได้ว่าเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว ก็เหมือนกับนักเรียนหนุ่มสาวเหล่านี้ บางทีอาจพูดได้ว่า เป็นเพราะการมาของพวกเขา
การเปลี่ยนแปลงของนักเรียนหนุ่มสาวเหล่านี้ แน่นอนว่าก็มาจากสำนักฝึกหลวง สองคนที่สำคัญที่สุดก็คือเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่ว
ยังไม่ต้องพูดถึงถังซานสือลิ่วก่อน ความสำคัญของเฉินฉางเซิงก็ล้วนสามารถเห็นได้แล้ว ถ้าหากไม่ใช่เขาที่ทำการชี้แนะในทุกๆ คืน สิ้นเปลืองสมองไปกับการวิเคราะห์วิชากับจุดอ่อนของยอดฝีมือเหล่านั้น ไหนเลยที่เหล่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงจะมีความกล้าไปเผชิญหน้ากับเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีระดับสูงกว่าตนเองไม่รู้กี่เท่า และไหนเลยจะมีความมั่นใจในตัวเองมากมายขนาดนี้
หลังจากที่สำนักฝึกหลวงรับนักเรียนใหม่ เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้ลงมือในการประลองอีกเลย กระทั่งไม่แม้แต่จะออกมาดูที่หน้าประตูสำนักด้วยซ้ำ แต่คนทั่วทั้งจิงตูต่างรู้กัน ว่าเขามองภายนอกจากด้านในสำนักฝึกหลวงมาโดยตลอด เขาอาศัยการประลองนับสิบรอบนี้แสดงถึงพรสวรรค์กับความสามารถในวิถีกระบี่ที่ยากจะจินตนาการของตนออกมา
พรสวรรค์ในวิถีกระบี่เช่นนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ความสามารถเช่นนั้นที่โดดเด่นสะดุดตาถึงเพียงนี้ สามารถที่จะทำให้ทั่วทั้งจิงตูถูกสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง
ตั้งแต่ฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้วเป็นต้นมา เขาได้ทำให้จิงตูไปจนถึงทั่วทั้งโลกมนุษย์ต้องตกตะลึงไปหลายครั้ง งานชุมนุมไม้เลื้อย การสอบใหญ่ สุสานเทียนซู สวนโจว เมืองสวินหยาง…เดิมทีคนจำนวนมากล้วนคิดว่าตนนั้นถูกเฉินฉางเซิงทำให้ตกตะลึงจนแทบจะด้านชาไปแล้ว ไม่ว่าภายหลังเขาจะทำเรื่องใดขึ้นมาอีก ก็ล้วนไม่ประหลาดใจแล้ว แต่ในครั้งนี้พวกเขาก็ยังคงถูกทำให้ตกตะลึงอีก
ด้วยอายุของเฉินฉางเซิง การที่สามารถมีการบำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ที่ลึกล้ำได้ถึงเพียงนี้ ก็เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้เป็นอย่างมาก แต่ที่ยากจะจินตนาการได้ยิ่งกว่าคือ เขายังสามารถชี้แนะผู้อื่นให้เรียนกระบี่ได้ด้วย ต้องรู้ว่า นี่ไม่ได้ง่ายดายเหมือนการสอนเด็กเขียนหนังสือเช่นนั้น…การถ่ายทอดและไขข้อสงสัย นี่คืออาจารย์
เฉินฉางเซิงในตอนนี้ ถึงกับพอจะมีท่าทีของปรมาจารย์แล้ว…เพราะว่าอายุของเขาน้อยเกินไปจริงๆ ในตอนที่ทุกคนเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ก็ล้วนต้องส่ายหน้าของตนเพื่อปฏิเสธไป แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ถ้าหากให้เวลากับเขามากสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นให้เขาสักสิบกว่าปี หลังจากรอจนเขาสุกงอมอย่างแท้จริง บางทีก็อาจจะกลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงที่มีชื่อขึ้นมาจริงๆ
สายตาของทุกคนล้วนมาหยุดอยู่ที่สำนักฝึกหลวง ในตอนที่ตกตะลึงและชื่นชมการบำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ของเฉินฉางเซิง มีเพียงคนผู้หนึ่งที่ยังคงไม่คิดเช่นนั้น
“ก็แค่เรื่องเหลวไหลเท่านั้น”
ม่ออวี่มองเงาหลังของเหนียงเหนียง และเล่นแหวนหญ้าที่อยู่บนนิ้วมืออย่างเบื่อหน่าย พลางพูดขึ้น “ก็ไม่รู้ว่าทำไมคนที่อยู่ในราชสำนักกับพระราชวังหลีเหล่านั้นถึงได้เป็นกระต่ายตื่นตูมกันนัก”